นิตยสารรายสะดวก  Fiction  ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
ร้อยใจมังกร #14
ปักษิณ
...ศาลเจ้าเล่าปุนเ​ถ้ากง​ที่​เป็นต้นเพลิงแห่งนี้ แรกเริ่มเดิมทีนั้น​เกิดขึ้น​มาจาก​ความศรัทธา ​และ​ความเชื่อของชาวจีน​ที่อพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ​โดย​ได้ขึ้น​เรือ​ที่ท่าน้ำทรงวาด...

ตอน : บทที่ 14

คลิกดูภาพขยาย



ศาลเจ้าเล่าปุนเ​ถ้ากง​ที่​เป็นต้นเพลิงแห่งนี้ แรกเริ่มเดิมทีนั้น​เกิดขึ้น​มาจาก​ความศรัทธา ​และ​ความเชื่อของชาวจีน​ที่อพยพมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ ​โดย​ได้ขึ้น​เรือ​ที่ท่าน้ำทรงวาด​ซึ่ง​แต่เดิม​เป็นท่าน้ำ​ที่​ใช้ในการขนส่งสินค้า ​และมีการติดต่อ​กับชาวต่างประเทศจำนวนมาก ชาวจีน​ที่อพยพมา​ต้องการ​กำลังใจในการทำงานในสถาน​ที่​ที่ไม่ใช่บ้านเกิดของตนเอง จึง​ได้ตั้งศาลเจ้า​เพื่อ​เป็น​ที่เคารพบูชา ​เพื่อ​เป็น​ที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ขอให้อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองในการดำเนินชีวิตประจำวัน ​และทำกิจการค้า​โดยเฉพาะชาวจีนแต้จิ๋ว ​ทั้งนี้​เนื่องจากการเดินทางออกจากประเทศจีนในสมัยก่อน​ได้รับ​ความลำบากมาก ดังนั้น​การนับถือเทพเจ้า​เพราะเชื่อว่าเทพคุ้มครอง ​และช่วยเหลือ ​เมื่อ​ต้องเผชิญ​กับอุปสรรคหรือปัญหา ทำให้ตนมี​ความปลอดภัยประสบ​ความสำเร็จในการทำงาน จึงเปรียบเสมือน​กำลังใจ​ที่ทำให้เกิด​ความมุมานะ ​และอดทนต่ออุปสรรคใน​การปฏิบัติงาน ปรากฏหลักฐาน​ซึ่ง​เป็นระฆังใบใหญ่ในศาลเจ้ามีตัวอักษรจีนจารึกไว้ว่าสร้างในปี​ที่ 4 ของกษัตริย์เต้ากวงแห่งราชวงศ์ซิง ประมาณปี พ.ศ. 2367 ตรง​กับสมัยรัชกาล​ที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรีของไทย จากแผน​ที่ไฟไหม้ตำบลสำเพ็งวัน​ที่ 4 เมษายน ปี พ.ศ. 2449 แสดงให้เห็นว่า​แต่เดิมศาลเจ้าตั้งอยู่​บริเวณด้านหลังของศาลปัจจุบัน

​เมื่อเกิดไฟไหม้สำเพ็งในครั้งนั้น​ ตันเต็งกุย​พร้อมด้วยล้อบ้วนสูน​และกิมเช็ง​ได้​ไปช่วยนายหญิงของพวก​เขา​คือเ​ถ้าแก่เนี้ยลิ้มกิมหงให้รอดพ้นจากกองเพลิง ​เมื่อปรากฏว่าเธอ​เป็นห่วงสมบัติ ขณะ​ที่ขึ้น​​ไปชั้นบนของอาคาร​เพื่อ​เอาหีบกำปั่นใส่เครื่องเพชรทองหยก​และของมีค่าต่างๆ​ ลิ้มกิมหงพลันติดอยู่​ในกองเพลิง​และสำลักควันไฟจนล้มลง​ไป​กับพื้นเกือบหมดสติ หาก​แต่ตันเต็งกุย​ได้ขึ้น​​ไปช่วยอุ้มเธอออกมาจากกองเพลิง​ที่​กำลังลุกโชติช่วง ทำให้ลิ้มกิมหงรอดชีวิตจากการ​ที่ถูกไฟครอก ​โดย​สามารถ​เอาทรัพย์สมบัติรอดออกมา​ได้​แต่เพียงหีบกำปั่นใบเดียว ข้าวของอื่นๆ​​ทั้งหมดล้วนถูกไฟครอกมอดไหม้​เป็นเ​ถ้าถ่าน​ไปเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น​

ครั้นล้อบ้วนสูนกลับ​ไปบ้านก็พบซิ่วอิงภรรยาของ​เขาออกมายืนกอดบุ้นป่าบุตรชายร้องไห้มองห้องเช่า ​ที่บัดนี้เห็น​แต่กองเพลิง​ที่เหลือเพียงควันไฟคุกรุ่น สมบัติ​ที่มีอยู่​เพียงน้อยนิดก็หาย​ไป​กับกองเพลิงจนเกือบหมด ซิ่วอิงนำสิ่งของออกมา​พร้อมลูกน้อย​ได้​แต่เพียงถุงใส่เสื้อผ้า​ที่จำ​เป็น​และเงินทองก้อนสุดท้ายเท่านั้น​เอง ด้วย​ความรันทดใจ​เขาจึงพาลูก​และเมียย้อนกลับมาหาเ​ถ้าแก่เนี้ยลิ้มกิมหง​ที่ยืนรวมกันอยู่​​กับตันเต็งกุย​และกิมเช็ง ​ส่วนพวกบ่าวไพร่อื่นๆ​ต่างก็พากันหลบหนีไฟแตกกระสานซ่านเซ็น​ไปจนหมดสิ้น

เ​ถ้าแก่เนี้ยลิ้มกิมหง​ซึ่งบัดนี้เหลือเพียง​แต่ตัวคนเดียว​กับหีบกำปั่น ​เพราะปรากฏว่าขณะนั้น​เจ้าสัวลิ้ม​ไปค้าขาย​ที่เมืองจีนยังไม่กลับ ด้วย​ความ​ที่เหลือเพียงตัวคนเดียว เธอจึงถามล้อบ้วนสูน​พร้อม​ทั้งตันเต็งกุย​และกิมเช็งว่า​จะ​ไปอยู่​​ที่ไหนกัน

​ซึ่งล้อบ้วนสูนบอกว่า​จะ​ไปเปิดร้านขายยาจีน​ที่นครปฐม​เพราะมีคน​ได้ติดต่อให้อยู่​แล้ว​ เพียง​แต่ขาดทุนทรัพย์ ไม่แน่ว่า​จะ​สามารถทำ​ได้แค่ไหน ลิ้มกิมหงจึงบอกว่า​จะช่วยออกทุนให้ก่อน​ส่วนหนึ่ง​จากเงินในกำปั่น​ที่รอดมาจากกองเพลิง

ฝ่ายสาวน้อยกิมเช็งบอกว่า​จะขอกลับ​ไปช่วยเตี่ย​และอาม้าทำเต้าหู้ขาย​ที่บ้านเดิม​คือ​ที่นครปฐมเหมือนกัน ลิ้มกิมหงก็บอกว่า​จะช่วยออกทุนในการทำโรงเต้าหู้ให้​เป็นสิ่งตอบแทน​ที่กิมเช็ง​ได้เคยรับ​ใช้ช่วยเหลือเธอด้วยดีตลอดมา

​ส่วนตันเต็งกุยนั้น​​เขา​ได้บอก​กับเธอว่า ​เขารับปาก​กับ​เพื่อน​ที่ชื่อจิวบุ้นเพ้ง​เอาไว้ว่า ​จะเดินทาง​ไปนครไชยศรี​เพื่อรับงานคุมคนงานจีน​ซึ่ง​กำลังก่อสร้างค้างคาอยู่​​ที่องค์​พระปฐมเจดีย์ ลิ้มกิมหงจึงเอ่ยปากชวน​เขาให้​ไปเริ่มต้นชีวิต ณ ​ที่แห่งใหม่ในแผ่นดินสยาม​จะ​เอาไหม? ​เพราะตัวเธอเอง​แต่เดิมนั้น​แซ่เตียก็​เป็นชาวเมืองนครปฐมเหมือนกัน กิมเช็ง​เป็นญาติห่างๆ​ของเธอ กิมหง​เป็นลูกชาวสวนผัก​และชาวนา พ่อแม่ของเธอทำสวนผัก ทำนา​และเลี้ยงเป็ดอยู่​​ที่ตำบลดอนยายหอม ​ถ้า​เขาสนใจ​ที่​จะ​ไปทำนาเธอสัญญาว่า​จะแบ่ง​ที่นาให้ทำ ​เพราะครอบครัวเธอมี​ที่ดินมาก ​เป็นครอบครัวชาวสวน​และชาวนา​ที่พอมีอัน​จะกินครอบครัวหนึ่ง​ในละแวกนั้น​

ชายหนุ่มตกลงใจเปลี่ยนอาชีพ​โดยไม่ลังเล ​เพราะตั้งแต่อยู่​​ที่เมืองซัวเถาครอบครัวของ​เขาก็​คือชาวไร่ชาวนาลำบากมาก่อน ​เขายอมหนัก​เอาเบาสู้ดีกว่า​ไป​เป็นลูกจ้างคนอื่น ​ทั้งนี้ก็​เพื่ออนาคตในชีวิต​ที่ดีกว่า ​เขาอาจ​จะมีโอกาสร่ำรวย​ได้​ถ้ามี​ความขยันอดทนเพียงพอ

ลิ้มกิมหงบอกทุกคนว่าตัวเธอเองนั้น​ก็​จะกลับ​ไปอยู่​บ้าน​ที่ดอนยายหอมเหมือนกัน ​เพราะเธอเบื่ออาชีพ​ที่​ต้องปั้นหน้า​เป็นเ​ถ้าแก่เนี้ย คบ​แต่พวกผู้ดีคุณหญิงคุณนาย วางท่าทาง​เป็นผู้ดีมีเงิน​เพื่อ​ที่​จะอยู่​ในสังคมเมืองกรุง ​ทั้ง​ที่รู้ดีว่ากำพืดของ​ใคร​เป็นมาอย่างไร ​เอา​แต่ใส่หน้ากากเข้าหากันเท่านั้น​

​เมื่อพวก​เขา​ทั้งสามคนพากันถามว่าแล้ว​กิมหงไม่กลัวเจ้าสัวลิ้ม​จะตามกลับ​ไปหรือ เธอก็บอกว่านั่นมัน​เป็นอนาคต​จะ​เอามาคิดให้เปลืองสมองทำไม สู้ทำวันนี้ให้ดี​ที่สุดดีกว่า ​จะให้เธอบากหน้ากลับ​ไปหาอาซ้อคนอื่นๆ​​เพื่อพึ่งพาอาศัยรอเจ้าสัวกลับจากเมืองจีนนั้น​ เธอคงไม่​เอาด้วยหรอก ปล่อยให้เจ้าสัว​เขามี​ความสุขของท่าน​ไปคนเดียวเถิด

คลิกดูภาพขยาย


เวลา​ต่อมาในวันเดียวกันนั้น​เอง ลิ้มกิมหงก็​ได้ว่าจ้างเรือประทุน​ที่จอดเทียบอยู่​ ณ ท่าเรือวัดสำเพ็ง* (*วัดปทุมคงคา ในปัจจุบัน) ให้แจว​ไปส่งล้อบ้วนสูน​และครอบครัว​พร้อม​ทั้งส่งกิมเช็ง​ที่คลองเจดีย์บูชาแห่งเมืองนครปฐม ​และจากนั้น​ก็​ได้ว่าจ้างต่อให้​ไปส่งเธอ​และตันเต็งกุย​ที่บ้านดอนยายหอม​โดยยินดีให้ราคาว่าจ้าง​เป็นพิเศษ

​ทั้งกิมเช็ง​และล้อบ้วนสูน​พร้อมครอบครัว​ได้พากันกล่าวแสดง​ความขอบคุณแก่เ​ถ้าแก่เนี้ยผู้มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีเมตตาอารีแก่ผู้​ที่ตกทุกข์​ได้ยาก​โดยไม่มีท่าทีรังเกียจ​และหวังสิ่งตอบแทนเลย​​แม้​แต่น้อย เธออวยพรให้กิมเช็ง​และครอบครัวล้อบ้วนสูนประสบ​ความสำเร็จดัง​ที่​ได้ตั้งใจไว้ด้วยดี

​เมื่อลิ้มกิมหง​และตันเต็งกุย​ได้เดินทาง​ไปถึงบ้านดอนยายหอมแล้ว​ ตันเต็งกุยก็เริ่มต้นอาชีพใหม่ของ​เขาด้วยการทำสวน ทำนา​และเลี้ยงเป็ดเช่นเดียว​กับครอบครัวของลิ้มกิมหง ​โดยกิมหง​ได้แบ่ง​ที่นา​ที่​เป็นมรดกของเธอจำนวน 10 ไร่ให้​เขาทำ​ไปพลางๆ​ก่อน​เป็นการเริ่มต้น ​โดยตกลงกันว่า​เขา​จะ​ต้อง​ใช้หนี้ค่า​ที่นาให้เธอ​เป็นจำนวนข้าวเปลือกปีละ 2 เกวียน​เป็นเวลา 10 ปี ต่อจากนั้น​ก็​จะตก​เป็นกรรมสิทธิ์ของ​เขา​โดยสมบูรณ์ เพียง​แต่​เขา​จะ​ต้องมีเมียคนไทยหรือหญิง​ที่เกิดในเมืองไทย​เพื่อ​ที่​จะ​ใช้สิทธิตามกฎหมายในการครอบครอง​เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์​ที่ดินเท่านั้น​เอง ​เพราะกว่า​จะถึงเวลา 10 ปี ​เขาก็คง​จะมีคู่ครอง​ที่​เป็นสาวไทย​เป็นตัว​เป็นตนแล้ว​

เรื่อง​นี้บรรดาเหล่าชาวนา​ที่ดอนยายหอมต่างก็ล้วนสงสัย​และพากันลือว่าตันเต็งกุยนั้น​​คือสามีใหม่ของกิมหง ​ซึ่ง​ทั้งคู่​ได้พากันอพยพหลบหนีกลับมาอยู่​ด้วยกัน เพียง​แต่แยกกันอยู่​พอ​เป็นพิธี​เพื่อไม่ให้น่ารังเกียจ​เป็น​ที่ครหานินทา​ได้เท่านั้น​

นายเดช​ซึ่ง​เป็นนักเลงหัวไม้คนดังประจำหมู่บ้าน เคยชอบสาวกิมหงอยู่​ก่อน​ที่เธอ​จะ​ไปอยู่​บางกอก​ได้ฉวยโอกาส​ที่หญิงสาวกลับมาอยู่​บ้านเดิม ​เมื่อทราบข่าวว่ากิมหงกลับมาอยู่​บ้านเดิม ​เขาจึงหวนกลับมาก้อร่อก้อติก​กับเธออีกครั้ง ​และทุกครั้ง​เมื่อเดชเห็นเธอยืนคุยอยู่​​กับตันเต็งกุยอย่างสนิทสนม ทำให้​เขารู้สึกขัดหูขัดตา​และไม่พอใจ ​แม้​เขา​จะรู้ว่าชาวบ้านพากันนินทาว่ากิมหง​เป็นเมียของเต็งกุยแล้ว​ ​แต่​เขาก็ไม่ปลงใจเชื่อ ​เพราะคน​ทั้งคู่แยกกันอยู่​คนละบ้าน​โดยเต็งกุยปลูกกระต๊อบอยู่​ท้ายหมู่บ้านคนละแห่ง​กับบ้านของเ​ถ้าแก่เตียซู่ลิหรือเ​ถ้าแก่ลิผู้​เป็นเตี่ยของกิมหงนั่นเอง

เดช​เป็นลูกชายของนายมะเด่นผู้​เป็นนายบ้านหรือกำนันคนแรกของบ้านดอนยายหอม ​ความ​ที่​เป็นผู้กว้างอยู่​ก่อนในฐานะลูกกำนัน จึงทำให้เดชรู้สึกเขื่อง​และวางโต​ไปทั่ว น้อยคนนัก​ที่​จะกล้าขัดใจ​เขา ​ทั้งนี้ก็​เพราะต่างพากันเกรงบารมีของนายมะเด่นผู้​เป็นพ่อ ยิ่งนานวัน​เขาก็ยิ่ง​ได้ใจ ทำอะไร​ตามอำเภอใจมากขึ้น​ทุกที ครั้นวันนี้​เขามา​ที่บ้านของเ​ถ้าแก่ลิบังเอิญเห็นกิมหง​กำลังยืนคุยอยู่​​กับเต็งกุยด้วยท่าทีร่าเริงสนุกสนาน ก็อารมณ์บูดขึ้น​มาทันที

"กลับมาอยู่​บ้านคราวนี้ดูสดชื่นขึ้น​มากนะจ๊ะ​กิมหง?" เดชพูดพลางชายหางตา​ไปทางเต็งกุยด้วยสีหน้าดูถูกดูแคลน

"บ้านเราอุดมสมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่องก็​ต้องสดชื่น​เป็นธรรมดาแหละ​จ้ะ​พี่เดช" หญิงสาวยังคงหน้าระรื่นเจรจาโต้ตอบเหมือนไม่มีเหตุผิดปกติ

"วันนี้พี่คิดว่า​จะมาชวนน้องกิมหง​ไปเ​ที่ยวงานบุญ​ที่วัดโคกขนาก ​ไปด้วยกันนะจ๊ะ​?" เดชส่งสายตากระลิ้มกระเหลี่ยให้กิมหง

"​ที่วัดโคกขนาก​เขามีงานอะไร​หรือจ๊ะ​?"

"มีงานบุญปิดทอง​พระประจำปีจ้ะ​ ​ไปทำบุญร่วมกันไว้เถอะนะจ๊ะ​คนดีของพี่?"

"ขอโทษนะพี่เดช ​พอดีวันนี้หงไม่ว่าง"

"ไม่ว่าง..มีเรื่อง​สำคัญสิ่งใดด่วนหรือเปล่าน้องกิมหง?"

"ก็ไม่ใช่เรื่อง​สำคัญหรือเรื่อง​ด่วนอะไร​หรอกพี่เดช เพียง​แต่หงติดธุระ​ไปช่วยเต็งกุย​เขาหาแขกมาช่วยดำนานะจ้ะ​"

"ดำนาแปลงไหนกันล่ะกิมหง พี่​จะ​ได้บอกคนของพี่​ไปช่วย?"

"แปลงข้างลำประโดงท้ายสวนนั่นแหละ​จ้ะ​ ​เป็นนาลุ่มแปลง​ที่ยกให้เต็งกุย​เขาทำ ทีนี้​เมื่อ​เขาทำเทือกไว้แล้ว​​แต่เต็งกุย​เขาไม่รู้จัก​ใคร​ที่นี่สักกี่คน หงเลย​กะว่า​จะ​ไปช่วยบอกแขกชาวบ้านแถวนี้​เขาให้มาช่วยกัน​เพื่อ​เอาแรงกันไว้"

"ยก​ที่นาให้นายเต็งกุยเนี่ยนะรึ?"

"ยกให้แกมขายแบบให้​เขาผ่อนส่ง​เป็นรายปีน่ะ ​เขาลำบากตกทุกข์​ได้ยากมา คนเราก็​ต้องช่วยเหลือกัน​เป็นธรรมดาไม่ใช่หรือ?"

"พี่ก็ไม่​ได้ว่าอะไร​สักหน่อย​ เพียง​แต่ถามดูเท่านั้น​เอง ​เอาอย่างนี้ก็แล้ว​กัน พี่​จะให้คนของพี่​ไปช่วย​เขาสักสี่ห้าคนก็คง​จะพอ แล้ว​เรา​ไปเ​ที่ยวงานบุญ​ที่วัดโคกขนากกัน ตกลงนะจ๊ะ​?"

"ขอบคุณพี่เดชมากจ้ะ​ ​ที่​ได้กรุณา​จะให้คนของพี่มาช่วยเต็งกุย​เขา เรื่อง​​ไปเ​ที่ยวงานบุญ​ที่วัดเนี่ย ​เอาไว้วันหลัง​ได้ไหมล่ะจ๊ะ​พี่เดช?" กิมหงทำเสียงอ้อนด้วยสำเนียงอ่อนหวาน

"อ้าว..ทำไมล่ะจ๊ะ​?" เดชเลิกคิ้วท่าทางไม่พอใจ

"​คือหงมีธุระ​จะ​ไปคลองจินดาให้เตี่ย​เขาช่วงบ่ายนี้น่ะจ้ะ​พี่เดช"

"ดีเหมือนกัน เอ้อ..​ถ้าอย่างนั้น​พี่​จะ​ไป​เป็น​เพื่อนน้องกิมหงเอง"

"พี่ไม่​ไปวัดโคกขนากแล้ว​หรือจ๊ะ​ อุตส่าห์ตั้งใจ​จะ​ไปงานบุญมิใช่หรือ?"

"​เอาไว้เรากลับมาจากคลองจินดาแล้ว​ ตอนเย็นค่อยพายเรือเลย​​ไปเ​ที่ยวก็ยังทันนี่จ๊ะ​ พี่ขอรับอาสา​เป็นคนดูแล​ความปลอดภัยให้น้องกิมหงเอง"

"แหม..หงเกรงใจไม่อยากรบกวนพี่เดชหรอก อีกอย่างตอนนี้หงเองก็ไม่ใช่สาวใช่แส้แล้ว​ เดี๋ยวบรรดาสาวๆ​แถวนี้​เขา​จะพากันมาแหกอกหรือค้อนหง​เอา​ได้นะจ๊ะ​พี่"

"สาว​ที่ไหน​จะกล้ามาค้อนน้องกิมหงของพี่กันล่ะจ๊ะ​ ​เพราะสาวๆ​แถวนี้​ทั้งบางต่างก็พากันรู้ดีอยู่​แล้ว​ว่าพี่​กับน้องกิมหงเคย​เป็นอะไร​กันมาก่อน จริงมั้ยล่ะ?"

"พี่เดชพูดอย่างนี้ หงเสียหายนะจ๊ะ​ ​เพราะหงไม่ใช่ตัวคนเดียวอีกต่อ​ไปแล้ว​!" กิมหงพูดสะบัดเสียงทำหน้างอ

"เลิกพูดเรื่อง​เจ้าสัวลิ้ม​ได้แล้ว​ล่ะจ้ะ​น้องกิมหง พี่ไม่สนใจหรอกว่า​ใคร​จะว่าอย่างไร ตอนนี้น้องของพี่กลับมาอยู่​บ้านเราแล้ว​​จะ​ไปกลัวอะไร​​กับปากคน พี่ขอรับรองด้วยเกียรติของลูกผู้ชายชาตินักเลงว่า​จะไม่ทำให้น้องกิมหง​ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างเด็ดขาด!" เดชทำเสียงให้ดูขึงขัง​พร้อม​กับทำไม้ทำมือแสดงท่าทางประกอบคำพูด

"​ถ้าพี่เดช​จะ​เอาอย่างนั้น​ก็ตามใจ เรา​ไปตามหาคนของพี่เดชมาช่วยเต็งกุย​เขาเดี๋ยวนี้เลย​ดีกว่า ​จะ​ได้เริ่มงานกันไวๆ​" กิมหงมีท่าทางอ่อนอกอ่อนใจในการตื๊อของเดช ​แต่​เนื่องจาก​เพื่อมารยาทเธอจึงยอมตามอย่างเสียไม่​ได้

"​ไปสิจ๊ะ​น้องกิมหง อ้าวเฮ้ย!..ไอ้เต็งกุย..ลื้อมัวยืนเซ่ออยู่​ทำไมล่ะวะ รีบตามมาสิ ​จะ​ได้​ไปรับคนมาช่วยลงแขกดำนาไงล่ะ!" เดชส่งเสียงร้องบอกเต็งกุยด้วยท่าทีเหยียดๆ​

"ครับ​ๆ​..​ไปเดี๋ยวนี้ครับ​!" หนุ่มจีนใหม่ทำท่าทางผงกศีรษะยึกๆ​คำนับจนตัวงอเหมือนกุ้งด้วย​ความเกรงใจ

ประเพณีการลงแขก ​คือการหา การวาน ​เพื่อมาช่วยกันทำงาน​โดยไม่มีค่าจ้าง ลักษณะ​เป็นการแสดงน้ำใจในการช่วยเหลือกัน ​ซึ่งชาวนาใน​แต่ละบ้าน​จะหมุนเวียนช่วยกัน​ไปเรื่อยๆ​ จากบ้านหนึ่ง​​ไปอีกบ้านหนึ่ง​ ​โดยเจ้าบ้าน​จะมีการจัด​แต่งข้าวปลาอาหาร เหล้าไห ไก่ตัว ​เป็นการตอบแทน บางทีมีการร่ายรำ​ไปด้วย ก่อให้เกิดเพลงเต้นกำรำเคียว​ที่มีชื่อเสียง ​จะเห็น​ได้ว่าการลงแขก​คือ การบอกกล่าวขอแรงบรรดาญาติสนิทมิตรสหาย ให้มาช่วยทำงานนั่นเอง ​ส่วนใหญ่มัก​เป็นงาน​ที่เกิน​กำลังของคนในครอบครัว หรืองาน​ที่รีบเร่ง​ต้องให้เสร็จในเวลา​ที่สั้นๆ​ เช่นการลงแขกดำนา

การทำนานั้น​​เป็นงาน​ที่หนัก​และรอบหนึ่ง​ปี ​ต้อง​ใช้แรงงานถึง 4 วาระ ​คือ ช่วงดำนา ช่วงเกี่ยวข้าว ช่วงตีหรือนวดข้าว ​และช่วง​เอาข้าวเข้ายุ้งฉาง อีก​ทั้งมีปัจจัยอื่น​ที่ทำให้​ต้องรีบเร่ง เช่น เรื่อง​น้ำในนา หากน้ำมีน้อย หรือฝนตกทิ้งระยะห่างเกิน​ไป ชาวนา​ส่วนมากจึงนิยมลงแขกช่วยงานกันทดน้ำ​และวิดน้ำเข้านา ​เพื่อ​จะ​ได้ทำเทือกดำนากันต่อ​ไป



​เนื่องจากตันเต็งกุยนั้น​​เป็นจีนใหม่​ที่เพิ่ง​จะเข้ามาสู่วงการทำนาในเมืองสยามใหม่ๆ​ ​เขา​ต้องประสบ​กับ​ความยากลำบาก​เอามากๆ​​เป็นธรรมดา ​แต่ใน​เมื่อ​เขามีเ​ถ้าแก่เนี้ยลิ้มกิมหงคอยช่วยเหลือเกือบ​จะทุกอย่าง จึงทำให้เหตุการณ์​ที่ดูยากค่อยคลายเข้าสู่ภาวะ​ที่ค่อนข้าง​จะเรียบร้อย​​ได้​โดยไม่ยาก

ฉะนั้น​วันนี้กิมหงจึงให้คนในบ้านของเธอ​เป็นธุระเรื่อง​จัดอาหารการกิน สำหรับแขก​ซึ่ง​เป็นคนในอาณัติของเดช ​ที่มาช่วยลงแรง​โดยไม่มีค่าจ้างตามประเพณี ฉะนั้น​เหล้ายา อาหารจึงไม่ขาดตกบกพร่องเลย​​แม้​แต่น้อย ​และเต็งกุยก็ตกปากรับคำว่า​จะ​ไปช่วย​เอาแรงลงแขกทำนาคืนให้แก่พวก​ที่เคยมาช่วย​เขาด้วย​ความเต็มใจ

ชาวบ้าน​ที่เดชบอกหรือไหว้วานให้มาช่วยตันเต็งกุยทำนานั้น​มีด้วยกันห้าคน ​เป็นชาวนาบ้านดอนยายหอมสองคน​คือนายวัน​และนายเบี้ยว แล้ว​อีกสามคนนั้น​​เป็นชาวนาบ้านตาลเดี่ยว​คือนายสั้น นายคง ​และนายหยอย ​ทั้งหมดล้วน​เป็นลูกหนี้ของกำนันมะเด่น​ทั้งสิ้น ฉะนั้น​​เมื่อเดชออกปากบอกพวก​เขา จึงไม่มี​ใครกล้า​ที่​จะบิดพลิ้วเลย​สักรายเดียว

"พ่อกุ่ย​เป็นอะไร​​กับแม่กิมหง​เขาหรือ?" นายวันถามด้วยสีหน้ายิ้มๆ​ขณะ​ที่มือของ​เขาก็​กำลังปักต้นกล้าลงในนาข้าว

"​เป็นอะไร​..นายวันหมาย​ความว่ายังไง?" เต็งกุยย้อนถามด้วย​ความสงสัย

"ก็หมาย​ความว่า​เป็นผัวเมียหรือ​เป็นญาติกันแน่นะสิ ​จะอะไร​เสียอีกล่ะ?"

"เปล่าน่อ..ไม่​ได้​เป็น​ทั้งสองอย่างนั่นแหละ​ อั๊วมาทำนา​ใช้หนี้​เขาน่ะ"

"อ้อ..​เป็นหนี้​เขาเหมือนกันดอกรึ โธ่ถัง..นึกว่า​เป็นผัวเมียกันเสียอีก!" นายวันอุทานแบบปลงอนิจจัง

"ทำไมนายวันถึงคิดว่าเราสองคน​เป็นผัวเมียกันล่ะ?" เต็งกุยถามด้วย​ความกังขา

"ก็ชาวบ้านแถวนี้​เขาลือกันให้แซ่ด ว่าพวกลื้อสองคน​เป็นชู้กัน แล้ว​ก็พากันหลบหนีเจ้าสัวลิ้มผัวของแม่กิมหง​เขามาจากบางกอก แอบหลบมาอยู่​ด้วยกัน​ที่ดอนยายหอมนี้นะสิวะ" นายเบี้ยวผสมโรงอธิบายให้เต็งกุยฟัง ทำ​เอาชายหนุ่มถึง​กับสะดุ้งเฮือก

 

F a c t   C a r d
Article ID S-3558 Article's Rate 1 votes
ชื่อเรื่อง ร้อยใจมังกร --Series
ชื่อตอน บทที่ 14 --อ่านตอนอื่นที่ตีพิมพ์แล้ว คลิก!
ผู้แต่ง ปักษิณ
ตีพิมพ์เมื่อ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ เรื่องยาว ซีรีส์
จำนวนผู้เปิดอ่าน ๑๐๘ ครั้ง
จำนวนความเห็น ๐ ความเห็น
จำนวนดอกไม้รวม
| | | |
เชิญโหวตให้เรตติ้งดอกไม้แก่ข้อเขียนนี้  
R e a d e r ' s   C o m m e n t

สั่งให้ระบบส่งเมลแจ้งการเพิ่มเติมความเห็น
 ศาลานกน้อย พร้อมบริการเสมอ และยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกท่าน  ติดต่อเว็บมาสเตอร์ได้ทางคอลัมน์ คุยกับลุงเปี๊ยก หรือทางอีเมลได้ที่ uncle-piak@noknoi.com  พัฒนาระบบ : ธีรพงษ์ สุทธิวราภิรักษ์  โลโกนกน้อย : สุชา สนิทวงศ์  ภาพดอกไม้ในนกแชท : ณัฐพร บุญประภา  ลิขสิทธิ์งานเขียนในนิตยสารรายสะดวก เป็นของผู้เขียนเรื่องนั้น  ข้อความที่โพสบนเว็บไซต์แห่งนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสทั้งสิ้น