![]() |
![]() |
ปักษิณ![]() |
...ภายหลังจาก ที่ได้ซักซ้อมกันถึงวิธีการที่จะพาสาวน้อยกฤษณาไปส่งคืนยังบ้านของพระยาประดิษฐานาเวศน์แบบชนิดบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นแล้ว สายชลก็จึงคัดลูกน้อง...
ตอน : บทที่ 12
ภายหลังจากที่ได้ซักซ้อมกันถึงวิธีการที่จะพาสาวน้อยกฤษณาไปส่งคืนยังบ้านของพระยาประดิษฐานาเวศน์แบบชนิดบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่นแล้ว สายชลก็จึงคัดลูกน้องที่เป็นฝีพายเพียงสี่คนไปกับเขา ส่วนจิวบุ้นเพ้งนั้นรับอาสาที่จะนั่งไปพร้อมกับตันเต็งกุยและกฤษณาด้วยในเรือประทุน โดยมีเล่และสองสหายแห่งบางลำพูแจวเรือตกกุ้งตามมาติดๆเมื่อไปถึงท่าเตียนสายชลได้จัดรถม้าสองคัน ซึ่งเขานั่งไปกับจิวบุ้นเพ้งและสองสหายหนุ่มเพลงยาวคันหนึ่ง ส่วนอีกคันหนึ่งที่แล่นมาตามหลังนั้น มีเล่และตันเต็งกุยนั่งหน้าคู่กับคนขับโดยมีกฤษณานั่งอยู่ภายในเก๋ง
ครั้นถึงบ้านของพระยาประดิษฐานาเวศน์แล้ว ทั้งหมดก็ได้พากันเข้าไปส่งกฤษณาถึงภายในบ้าน ในขณะนั้นคุณหญิงเจือและบรรดาบ่าวไพร่ต่างก็กำลังรอฟังข่าวกันด้วยความกระวนกระวายใจ ตะเกียงเจ้าพายุและไฟทุกดวงถูกจุดขึ้นสว่างจ้าไปทั่วทั้งบริเวณบ้าน
"กระผมพาคุณหนูกฤษณามาส่งครับคุณหญิง" สายชลเอ่ยบอกเจ้าของบ้านด้วยกิริยานอบน้อม ราวกับว่าเขามิใช่ตัวต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
"ขวัญเอ๋ยขวัญมากฤษณาลูกแม่ แม่เป็นห่วงลูกเกือบตาย ไม่รู้จะทำอย่างไรถูกแล้วลูกเอ๊ย" คุณหญิงเจือโผเข้ากอดรับขวัญธิดาสาวของท่านด้วยน้ำตานองหน้า จากนั้นก็หันหน้าไปทางหนุ่มสายชลพลางเอ่ยถามด้วยความกังขา "แล้วนี่พ่อสายชลไปพบลูกสาวของฉันได้อย่างไรกันล่ะ?"
"เอ้อ..เรื่องมันยาวครับคุณหญิง คือคุณหนูกฤษณาเธอถูกพวกคนสัปเยกชาวญวนลักพาตัวไปโดยทำร้ายคนลากรถเจ๊กของท่านจนบาดเจ็บด้วยครับ"
"พวกคนสัปเยกชาวญวนหรือ?" คุณหญิงเจือถามด้วยสีหน้าตื่นๆ
"ครับ..คุณหญิง พวกคนสัปเยกชาวญวนนี่มันเลวจริงๆครับ จากนั้นพวกมันก็พาคุณหนูลงเรือข้ามฟากไปฝั่งธนบุรี บังเอิญนายบุญธรรมและเพื่อนของเขาพบคนลากรถเจ๊กนอนเจ็บอยู่ สอบถามได้ความว่าถูกทำร้าย จึงพากันวิ่งตามไปพบกับนายเล่ซึ่งเป็นมหาดเล็กของเสด็จในกรมฯแห่งวังนางเลิ้งกำลังแจวเรืออยู่ริมตลิ่งที่ท่าเตียนพอดี จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้นายเล่ฟัง" สายชลหนุ่มนักรักเจ้าเล่ห์อธิบายเป็นฉากๆตามที่ได้ซักซ้อมกันเอาไว้
"อ้อ..คุณเป็นคนของเสด็จในกรมฯท่านหรือ?" คุณหญิงเจือเอ่ยถามเล่ขึ้นด้วยความแปลกใจ
"ขอรับ กระผมกำลังแจวเรือเพื่อออกไปตกกุ้ง นายกุ่ยเขาวิ่งตามไปพบกับกระผมและบอกว่า คุณหนูกฤษณานายหญิงน้อยของเขากำลังถูกคนฉุดพาลงเรือไป มองเห็นเรืออยู่ลิบๆกลางแม่น้ำ"
"โถ..คงจะเกือบไม่ทันกาลแล้วสินะคะเนี่ย!?"
"ทันเห็นหลังไวๆพอดีขอรับ กระผมและสองคนนี่พร้อมทั้งนายกุ่ยคนลากรถเจ๊กจึงได้ออกเรือตามไปเพื่อช่วยเหลือ จนตามได้ทันที่ใกล้โรงยาฝิ่นในคลองบางหลวงนะขอรับ"
"ไปไกลถึงโรงยาฝิ่นในคลองบางหลวงเชียวหรือนี่!?" คุณหญิงยกมือขึ้นทาบอกแสดงท่าทีตกใจอย่างสุดประมาณ
"ใช่ขอรับ..คาดว่าพวกสัปเยกมันคงจะพาไปที่ใดสักแห่งในเขตอารักขาของพวกชาวฝรั่งเศสก็อาจเป็นได้ พวกกระผมทั้งสี่คนต่อสู้ไล่จนพวกมันยอมวิ่งเตลิดหนีกันไปจนหมด ส่วนนายกุ่ยคนลากรถของท่านไม่อาจสู้พวกมันได้จึงได้รับบาดเจ็บสาหัสมากที่สุดดังที่เห็นนี่แหละขอรับ"
"ขอบใจพ่อเล่กับพ่อบุญธรรมและเพื่อนมากนะคะ ที่กรุณาอุตส่าห์ตามไปจนทัน ไม่อย่างนั้นลูกสาวของฉันไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง เฮ้อ..ไม่อยากที่จะคิดเลย"
"ไม่เป็นไรหรอกขอรับ กระผมยินดีที่จะช่วยคนเพื่อความถูกต้องเสมอ"
"ส่วนพ่อกุ่ยคนลากรถเจ๊กเอาไว้เป็นธุระของทางฉันเอง เดี๋ยวจะให้คนไปตามหมอที่อยู่ข้างบ้านนี่ให้เขามาดูอาการหน่อย"
"ดีเหมือนกันขอรับ ท่าทางเขาสะบักสะบอมมากเลยทีเดียวแหละ" เล่พูดเสริมขึ้น
"ฉันเห็นแล้วล่ะ ว่าหน้าตาเขาบวมปูดไปหมด นี่ทางเถ้าแก่เนี้ยลิ้มกิมหงก็ส่งคนลากรถเจ๊กมาตามเขาที่นี่คนหนึ่ง จอดรออยู่หน้าบ้าน พบหมอเสร็จแล้วเขาคงกลับบ้านได้พร้อมกัน"
"ขอบคุณมากครับคุณหญิง" ตันเต็งกุยยกมือไหว้คุณหญิงเจือด้วยความตื้นตันที่เจ้าของบ้านได้ให้ความเมตตา
"เอ..แล้วพ่อสายชลล่ะ ไปประสบกับเหตุการณ์เข้าพอดีเหมือนกันรึ?"
"เอ้อ..มิได้ครับ คือว่าต่อมานายเล่เขาได้ไปแจ้งให้คนของกระผมทราบ เพราะอยู่ใกล้เขตโรงยาฝิ่นของครอบครัวของกระผม คนของกระผมจึงแจ้งต่อให้กระผมทราบอีกที กระผมจึงได้ช่วยจัดหาเรือและรถม้าพาคุณหนูมาส่งคืนที่บ้านนี่ยังไงล่ะครับ"
"งั้นฉันก็ถือโอกาสนี้ขอบคุณทุกๆคนทั้งหมดนี่เลย รวมทั้งพ่อสายชลด้วยก็แล้วกัน" คุณหญิงเจือเอ่ยบอกด้วยสีหน้าแสดงถึงความจริงจังในคำพูดของตน
"นี่..เสี่ยน้อยสายชล ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับคุณหนูเสียแล้วหรือ?" เล่เอียงหน้ามากระซิบที่ข้างหูของหนุ่มนักรักเจ้ามารยาทำเอาเจ้าหนุ่มสะดุ้งโหยง
"เอ้อ..มีอีกอย่างหนึ่งที่กระผม ใคร่อยากจะเรียนให้คุณหญิงได้รับทราบครับ" สายชลทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมเมื่อเขาเอ่ยถึงเรื่องที่เขากำลังจะแจ้งให้เจ้าของบ้านได้ทราบตามพันธะสัญญาที่เขาได้ให้ไว้แก่กฤษณาก่อนที่จะพาเธอกลับบ้าน
"มีเรื่องอะไรรึพ่อสายชล?"
"คือกระผมอยากจะเรียนให้คุณหญิงทราบว่า ตั้งแต่นี้ต่อไปกระผมจะไม่มารบกวนคุณหญิงเกี่ยวกับเรื่องที่จะส่งคนมาทาบทามคุณหนูกฤษณาอีกแล้วล่ะครับ"
"อย่างนั้นหรือ เพราะอะไรล่ะ?" คุณหญิงเจือเริ่มมีท่าทีสงสัยในคำพูดของเจ้าหนุ่ม
"คือหลังจากที่ได้พบกันและพูดคุยกันกับคุณหนูกฤษณาเธอแล้ว กระผมก็หูตาสว่างขึ้น"
"หูตาสว่างขึ้น หมายความว่าอย่างไรหรือพ่อสายชล ไหนลองอธิบายให้ฉันรู้ชัดๆหน่อยได้ไหม?"
"ในเมื่อกระผมรู้ว่าคุณหนูกฤษณาเขาไม่ได้สนใจหรือรักใคร่ในตัวกระผมเลยแม้แต่น้อย จึงทำให้กระผมเข้าใจ และสัญญากับเธอว่าจะไม่มาตอแยอีกให้เสียน้ำใจกันทั้งสองฝ่าย"
"หนูได้บอกคุณสายชลเขาไปแล้วว่าเราทั้งคู่ต่างไม่มีอะไรผูกพันกัน นอกจากความเป็นเพื่อนในฐานะคนรู้จักกันเท่านั้นค่ะคุณแม่" กฤษณาพูดเสริมบอกมารดาเพื่อหวังให้ผู้อาวุโสเข้าใจความหมายได้ดียิ่งขึ้น
"อ้อ..กระนั้นหรือ แต่ก็ดีเหมือนกันนะที่ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันได้แล้ว เพราะตามที่ฉันได้บอกทางท่านขุนจำนงฯบิดาของพ่อสายชลไว้แล้วว่า ต้องการที่จะปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ตอนนี้จึงทำให้ฉันสบายอกสบายใจขึ้นเป็นกอง ที่พูดเนี่ยไม่ได้หมายความว่าทางฝ่ายฉันรังเกียจรังงอนดอกนะพ่อสายชล" คุณหญิงเจือทำท่าทางโล่งอกออกมาอย่างเห็นได้ชัด
"ข้อนั้นกระผมเข้าใจดีครับ กระผมเลยถือโอกาสนี้ ขอลากลับเลยนะครับ เพราะดึกมากแล้ว"
"เชิญตามสบายเถิดค่ะ ยังไงก็ขอขอบคุณทุกคนอีกครั้งที่ได้ช่วยเหลือลูกสาวของฉันให้รอดปลอดภัยและกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ"
"พวกกระผมขอกราบลาคุณหญิงก่อนล่ะขอรับ" เล่กล่าวลาขึ้นเป็นคนสุดท้าย ทำให้พรรคพวกที่มาส่งหญิงสาวด้วยกันทั้งหมดต่างพากันยกมือไหว้เจ้าของบ้านพร้อมๆกัน
บุคคลที่เรียกว่า "คนสัปเยก" นี้มีชื่อตามภาษาอังกฤษว่า "Subject" หมายถึง คนในบังคับ เป็นคำเรียกกลุ่มคนที่ได้รับสิทธิพิเศษ เนื่องมาจากการทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีระหว่างกรุงสยามกับต่างประเทศ ระหว่าง พ.ศ. 2398 -- 2481 คำว่า สัปเยกนี้เดิมหมายถึง พลเมืองของประเทศที่ทำสัญญากับกรุงสยาม ต่อมาเมื่อประเทศมหาอำนาจตะวันตกได้แผ่อิทธิพลเข้ามาครอบครอง ดินแดนบางส่วนในแถบทวีปเอเชีย ดังนั้นคำว่า "คนสัปเยก" หรือคนในบังคับก็ได้กินความไปถึงคนในอาณานิคมและรัฐอารักขาของชาตินั้นๆด้วย
แต่เนื่องจากสาเหตุเพราะชาวเอเชียชาติต่างๆ เช่น จีน ญวน แขก มอญ ที่ไม่ได้เป็นอาณานิคมหรืออยู่ภายใต้อารักขาของชาติใด แต่ได้เข้ามาประกอบอาชีพตั้งบ้านเรือนอยู่ในกรุงสยามและเกิดหวังในผลประโยชน์จากการได้รับสิทธิพิเศษตามสัญญาทางพระราชไมตรีที่กรุงสยามได้ทำกับต่างประเทศแถบยุโรป จึงได้สมัครเป็นคนในบังคับของประเทศมหาอำนาจในแถบยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และฮอลันดาฯลฯ จึงเท่ากับเป็นการทำให้อำนาจและอิทธิพลของชาวต่างชาติในกรุงสยามเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อการปกครองและความมั่นคงของสยามประเทศอย่างยิ่ง รัฐบาลของพระเจ้าแผ่นดินสยามต้องเผชิญกับความยากลำบากในการยกเลิกสิทธิพิเศษของคนในบังคับต่างชาติอย่างมาก ทั้งทางด้านการปกครอง ด้านการค้าและด้านการศาล รวมไปถึงปัญหาคดีความ ปัญหาด้านกฎหมายระหว่างประเทศ เมื่อคนในบังคับของต่างชาติกระทำความผิดก็ไม่ยอมมาขึ้นศาลไทย ไปขึ้นศาลกงสุลแทน กฎหมายไทยจึงไม่สามารถควบคุมคนเหล่านี้ได้ ทำให้เสียสิทธิทางการศาล
แผ่นดินสยามในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ จึงต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบทางด้านการศาลและปรับปรุงกฎหมายไทยให้เป็นที่ยอมรับ พัฒนาบ้านเมืองให้มีความทันสมัยทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ เพื่อให้ได้สิทธิบางประการกลับคืนมา โดยได้จ้างนักกฎหมายและที่ปรึกษาชาวต่างประเทศหลายคนมาเป็นที่ปรึกษาทางด้านกฎหมายและการต่างประเทศ รวมทั้งการส่งเสริมสนับสนุนให้พระราชโอรสและพระบรมวงศานุวงศ์ระดับสูงเสด็จไปทรงศึกษา ณ ต่างประเทศ เพื่อนำความรู้ในด้านต่างๆมาพัฒนาประเทศและหาวิธีดำเนินการแก้ไขสัญญาทางพระราชไมตรีระหว่างกรุงสยามกับประเทศต่างๆตลอดมา หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแรกที่ยอมแก้ไขสนธิสัญญากับไทยใน พ.ศ. 2464 โดยคนในบังคับอเมริกันต้องขึ้นศาลไทยเมื่อเกิดคดีความ
ต่อมาภายหลัง พระยากัลยาณไมตรี (Dr. Francis B. Sayre) ที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศได้ช่วยเจรจาให้ประเทศต่างๆยอมแก้ไข สัญญาทางพระราชไมตรีกับประเทศไทย และคืนสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้แก่ไทยในปี พ.ศ. 2481 ตามสนธิสัญญาทางไมตรี พาณิชย์และการเดินเรือกับประเทศโปรตุเกสและในบทเพิ่มเติมสนธิสัญญาที่ทำกับประเทศฝรั่งเศสว่าด้วยความตกลงเกี่ยวกับการพาณิชย์และศุลกากรระหว่างไทยกับอินโดจีนของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นผลทำให้ประเทศไทยสามารถขจัดปัญหาเกี่ยวกับคนในบังคับต่างชาติได้หมด มีอธิปไตยทางการศาลได้อย่างสมบูรณ์เตราบเท่าทุกวันนี้
เมื่อบรรดาผู้ที่พากฤษณามาส่งทุกคนได้กลับไปแล้ว คุณหญิงเจือจึงสั่งให้คนไปตามหมอบุญส่งที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกับบ้านประดิษฐานาเวศน์มาทำการรักษาบาดแผลและรอยฟกช้ำของตันเต็งกุย จากนั้นคุณหญิงก็ได้ให้บ่าวไพร่พาชายหนุ่มไปขึ้นรถเจ๊กของบักยู้คนลากรถ ซึ่งเถ้าแก่เนี้ยลิ้มกิมหงส่งให้มาตามรับเขากลับบ้าน ทั้งนี้เพราะนายจ้างตระกูลลิ้มรู้สึกเป็นห่วงตันเต็งกุยด้วยเห็นว่าหายตัวไปและเลยเวลากลับนานแล้ว และต่อมาในวันรุ่งขึ้นเธอได้สั่งให้บักยู้ไปนำรถลากคันของตันเต็งกุยกลับคืนมาจากท่าน้ำท่าเตียน
ตันเต็งกุยต้องนอนพักฟื้นอยู่ถึงห้าวันกว่าที่เขาจะเริ่มฟื้นตัว ช่วงเวลานั้นเถ้าแก่เนี้ยลิ้มกิมหงได้ให้สาวน้อยกิมเช็งมาคอยดูแลและอำนวยความสะดวกให้กับคนเจ็บ จากความเอื้ออาทรและความใกล้ชิดสนิทสนมของครูสอนภาษาสาว ทำให้ตันเต็งกุยอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว
เช้าวันที่สองหลังจากได้รับบาดเจ็บ กิมเช็งก็เดินเข้ามาบอกเขาว่ามีหนุ่มชาวสยามสองคนมาขอเข้าเยี่ยมโดยพวกเขาบอกว่าเป็นเพื่อนสนิทกับตันเต็งกุย หากเมื่อทันทีที่พบหน้ากันหนุ่มคนลากรถเจ๊กที่นอนป่วยอยู่ก็อุทานขึ้นด้วยความดีใจ
"เฮ้..อาบุญธรรมและอาหมาน"
"พวกเราเป็นห่วงอาการของลื้อ ที่โดนพวกมันซ้อมเสียงอมพระราม จึงแวะมาเยี่ยมดูเสียหน่อย" นายถึกหรือบุญธรรมเอ่ยบอกในขณะที่ยื่นผลไม้ชะลอมใหญ่ส่งให้คนป่วย
"ขอบใจนะที่อุตส่าห์มาเยี่ยมอั๊ว"
"แต่ความจริงแล้วอั๊วต้องเป็นฝ่ายขอบใจลื้อมากกว่าอากุ่ย ที่ช่วยสานฝันของอั๊วให้เป็นจริง"
"สานฝันให้เป็นจริงยังไง อั๊วไม่เห็นเข้าใจเลย?" เต็งกุยตีสีหน้าเซ่อจนทำให้สองสหายพากันหัวเราะเบาๆกันอย่างครื้นเครง
"ก็เรื่องเพลงยาวยังไงล่ะ ลื้อลืมแล้วหรืออากุ่ย" หมานเป็นคนบอกเพื่อฟื้นความทรงจำ
"เพลงยาว อ๋อ..หนังสือหรือจดหมายที่พวกลื้อฝากให้อั๊วเอาไปให้คุณหนูกฤษณานั่นเองใช่ไหม?"
"นั่นแหละ ไอ้ถึก เอ๊ย..นายบุญธรรมเขาถึงได้บอกว่า อากุ่ยเป็นคนช่วยสานฝันของเขาให้เป็นจริงยังไงล่ะ?" หมานพูดพร้อมกับทำท่าทางพยักพเยิด
"แน่ะ..กิมเช็งยกน้ำชามาพอดี เชิญดื่มชากันก่อนทั้งสองคน เอ้อ..กิมเช็ง..นี่เพื่อนอั๊ว อาบุญธรรมและอาหมาน และพวกลื้อสองคนรู้จักกับกิมเช็งไว้เสียด้วย อากิมเช็งเขาเป็นครูสอนภาษาไทยให้อั๊วเอง"
"สวัสดีค่ะคุณบุญธรรมและคุณหมาน ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ"
"ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับคุณกิมเช็ง" สองสหายเอ่ยขึ้นเกือบจะพร้อมๆกัน
"เอ้อ..และขอขอบคุณที่ช่วยเฮียเต็งกุยด้วยนะคะ แล้วก็นี่น้ำชาเชิญค่ะ" หญิงสาวรินน้ำชาใส่ถ้วยยื่นให้กับบุคคลทั้งสามทีละคนในขณะที่พูด
"ไม่เป็นไรพวกเราสามคนเป็นเพื่อนกัน ก็ย่อมต้องช่วยกันอยู่แล้วจริงไหมอากุ่ย?"
"คงยังงั้นแหละ อ้อ..กิมเช็ง อั๊วขอถามอะไรหน่อย?"
"ถามอะไรหรือเฮีย?"
"หนังสือที่เรียกกันว่าเพลงยาวนี่มันคืออะไรกันหรือ?"
"เพลงยาวก็คือกลอนที่เขาเขียนส่งให้กันระหว่างคนสองคน เอ้อ..ชายและหญิงที่เขารักกันยังไงล่ะ..เฮียถามทำไมหรือจ๊ะ มีใครส่งเพลงยาวให้เฮียยังงั้นหรือ?"
"อ๋อ..อั๊วเข้าใจแล้ว ไม่มีใครส่งเพลงยาวให้อั๊วหรอก แต่มีคนฝากเพลงยาวให้อั๊วเป็นคนนำไปส่งให้เธอน่ะ"
"แล้วได้ผลเป็นอย่างไรบ้างล่ะเฮีย?" กิมเช็งตีหน้าซื่อถาม
"ไม่รู้เหมือนกัน แต่วันนี้เขาเพิ่งมาบอกว่า เฮียได้ช่วยสานฝันของเขาให้เป็นจริง ซึ่งอั๊วก็ยังงงๆอยู่เลยว่าสานฝันเนี่ย มันคืออะไรกันแน่?" เต็งกุยพูดพลางหันหน้าไปจ้องมองหน้าหนุ่มบุญธรรมเจ้าของเพลงยาว
"ก็แสดงว่าเฮียได้ช่วยให้ความรักของเขาสมหวังนะสิ" กล่าวจบกิมเช็งก็เริ่มหน้าแดงพลางหัวเราะร่วนพร้อมกับก้าวเท้าเดินไปทางหน้าประตู เธอหันมายิ้มหวานให้คนทั้งสามอีกครั้งก่อนที่จะเดินออกไปนอกห้อง
"ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า อาบุญธรรม..ลื้อกับคุณหนูกฤษณาทั้งสองคน ต่างสมหวังในความรักกันแล้วล่ะสิ ใช่ไหม?" ตันเต็งกุยพูดกลั้วเสียงหัวเราะที่ยังพลอยค้างอยู่จากการที่กิมเช็งได้ทิ้งท้ายเอาไว้ให้
"คือตอนนี้พวกเราสองคนเนี่ยนะ สามารถที่จะเข้าออกบ้านพระยาประดิษฐานาเวศน์ได้อย่างไม่มีใครกังวลหรือระแวงสงสัยในตัวพวกเราแล้วล่ะ..อากุ่ย" บุญธรรมบอกเต็งกุยด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข
"ตกลงว่า ทีนี้ลื้อก็ได้เจอกับคุณหนูเขาทุกวัน โดยไม่ต้องให้อั๊วคอยส่งเพลงยาวให้อีกต่อไปแล้วสินะ?" หนุ่มลากรถเจ๊กอมยิ้มอย่างมีเลศนัยในขณะที่พูด
"ก็คงจะทำนองนั้นแหละ แต่ในเมื่อลื้อเคยมีน้ำใจกับอั๊ว พวกเราก็ยินดีที่จะเป็นเพื่อนเกลอกันกับลื้อนะอากุ่ย ต่อไปถ้าหากว่ามีสิ่งใดที่พวกเราพอจะช่วยลื้อได้ก็ขอให้บอกก็แล้วกัน อย่าได้เกรงใจ" บุญธรรมเอื้อมมือไปบีบมือทั้งสองข้างของหนุ่มคนลากรถเจ๊ก
"อั๊วก็ยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับลื้อสองคนเช่นเดียวกัน ว่าแต่พวกลื้อแน่ใจนะที่จะช่วย ถ้าอั๊วขอร้อง?"
"แน่ใจสิ"
"อ๋อ..ถ้าอย่างนั้นก็พอดีเลย อั๊วมีเรื่องที่จะไหว้วานพวกลื้อสองคนหน่อย" เต็งกุยดีใจครั้นสบโอกาสเมื่อนึกถึงเรื่องสำคัญที่เขาได้นัดแนะกับจิวบุ้นเพ้งเอาไว้
"รีบบอกพวกเรามาได้เลย อากุ่ยเพื่อนรัก"
"คืออั๊วอยากให้ลื้อไปพบกับอาบุ้นเพ้ง เพื่อนของอั๊วที่โรงยาฝิ่นคลองบางหลวงหน่อยจะได้ไหม?"
"ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ลื้อมีธุระสำคัญอะไรจะบอกเขาหรือ?"
"เขานัดกับอั๊วว่าจะเดินทางไปนครชัยศรีด้วยกันในวันนี้ แต่อั๊วยังป่วยอยู่ พวกลื้อช่วยไปบอกเขาว่าไม่ต้องรอ เอาไว้เมื่ออั๊วหายป่วยดีแล้วจะตามไปเองทีหลัง"
"โถ..เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง เดี๋ยวพวกเราจะรีบไปกันเดี๋ยวนี้เลย"
"ดีทีเดียว เพราะเขานัดอั๊วไว้ตอนสายๆวันนี้ให้รีบไปหา หวังว่าพวกลื้อคงจะไปทันก่อนที่เขาจะออกเดินทางกลับไปนะ"
"ถ้าอย่างนั้น เราก็รีบไปกันเถอะหมาน แล้วพวกเราจะแวะมาเยี่ยมลื้อใหม่นะอากุ่ย พวกเราไปก่อนละ ขออวยพรให้ลื้อหายวันหายคืน"
"โชคดีเพื่อนรักทั้งสอง" ตันเต็งกุยโบกมือลา เขาเหลียวมองคนทั้งคู่ซึ่งกำลังเดินตามสาวน้อยกิมเช็งที่ได้กลับเข้ามาพาพวกเขาก้าวพ้นประตูลับตัวไป...