![]() |
![]() |
ปักษิณ![]() |
...ตันเต็งกุย รู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ด้วยเขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะต้องมาพบกับเพื่อนร่วมสาบานในลักษณะเช่นนี้ จิวบุ้นเพ้งไม่ได้ไว้ผมหางเปียเหมือนเดิม...
ตอน : บทที่ 11
ตันเต็งกุยรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก ด้วยเขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะต้องมาพบกับเพื่อนร่วมสาบานในลักษณะเช่นนี้ จิวบุ้นเพ้งไม่ได้ไว้ผมหางเปียเหมือนเดิม เขาตัดผมสั้นติดหนังหัวเหมือนโกนเช่นเดียวกับหนุ่มจีนใหม่หรือหนุ่มซิงตึ๊งโดยทั่วไปในกรุงสยาม ท่าทางของบุ้นเพ้งทะมัดทะแมงดูแข็งแรงกว่าเดิม มีกล้ามขึ้นเป็นมัดๆ ในหน้าเกลี้ยงเกลา และประการสำคัญที่เต็งกุยสังเกตเห็นอีกอย่างหนึ่งก็คือ การวางตัวในฐานะหัวหน้าของคนในกลุ่มที่ยืนอยู่ เขายืนเด่นเป็นสง่าดูเหมือนว่าราศีของคนที่สามารถบดบังเขาได้จะมีเพียงคนที่มีนามว่าเสี่ยน้อยเพียงคนเดียวเท่านั้นหนุ่มจีนทั้งคู่ต่างโผร่างเข้าหากัน เอ่ยพูดจาทักทายกันราวกับคนที่ไม่ได้พบกันมาเป็นแรมปี หนุ่มจิวบุ้นเพ้งพินิจดูใบหน้าที่มีรอยฟกช้ำดำเขียวของเพื่อนร่วมสาบานด้วยสีหน้าที่แสดงถึงความรู้สึกผิดที่เขาได้ทำรุนแรงเกินไป นี่ถ้าหากว่าเกิดเอากันถึงตายเขามิต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตเลยหรือนี่ เขาก้มหน้าลงเอื้อมมือบีบไหล่ของตันเต็งกุยพร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงเครือว่า
"อั๊วต้องขอโทษลื้อเต็งกุย ที่อั๊วไม่เคยคิดว่าจะเป็นลื้อผู้เป็นเพื่อนร่วมตายของอั๊วเอง"
"อั๊วเองก็ไม่นึกว่าจะมาพบกับลื้อที่นี่เช่นกัน" ตันเต็งกุยเอ่ยขึ้นบ้าง
"ยกโทษให้อั๊วได้ไหมเต็งกุย ต่อไปอั๊วจะขอแก้ตัวใหม่ โดยจะขอดูแลลื้ออย่างดีไปจนตลอดชีวิต"
"เฮ้..ไม่เอาน่าบุ้นเพ้ง อั๊วดูแลตัวเองได้ เพียงแต่อั๊วไม่ค่อยถนัดเรื่องตีรันฟันแทงเหมือนลื้อเท่านั้น งานอื่นๆอั๊วทำเองได้ทุกอย่าง ขอลื้อจงอย่ากังวลไปหน่อยเลย"
"ไปยังไงมายังไงลื้อถึงได้มาที่นี่ได้ล่ะเต็งกุย?"
"คุณหนูกฤษณาคนนี้ เธอเป็นนายหญิงของอั๊วเอง อั๊วรับผิดชอบลากรถให้เธอนั่ง เธอถูกเอ้อ..คนของเสี่ยน้อยคนนี้ฉุดมาที่นี่ อั๊วกับคนพวกนี้จึงพากันตามมาเพื่อขอเอาตัวเธอคืน ก็เท่านั้นเองแหละ"
"ใช่แล้ว..บุ้นเพ้ง แล้วอั๊วก็กำลังจะพาตัวเธอไปส่งคืนให้จนถึงที่เลยทีเดียว" เสี่ยน้อยสายชลพูดเสริมขึ้นเบาๆเพื่อให้จิวบุ้นเพ้งคลายกังวลและเข้าใจถึงสถานการณ์ได้ดีขึ้น
จิวบุ้นเพ้งพยักหน้ารับทราบ ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกมีความไม่พอใจที่เจ้าสัวน้อยของเขากระทำการหักหาญน้ำใจสตรีเพศเช่นนี้ แต่เขาก็อดกลั้นความรู้สึกเหล่านั้นไว้แต่เพียงภายใน เขาขออนุญาตสายชลพาตันเต็งกุยออกไปคุยกันเป็นการส่วนตัวเพื่อถามถึงสารทุกข์สุขดิบกันตามประสาคนที่ไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นหยกๆในครั้งนี้ เมื่อทั้งคู่ก้าวเดินออกมานอกห้องและเดินผ่านระเบียงบ้านลงมาแล้ว จึงปรับทุกข์กันด้วยเสียงแผ่วเบาด้วยเกรงว่าจะมีผู้อื่นได้ยิน ซึ่งอาจทำให้เล็ดลอดเข้าไปถึงหูบุคคลที่สามได้
"ลื้อมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรวะบุ้นเพ้ง?" ตันเต็งกุยเอ่ยถามขึ้นก่อน
"เรื่องมันยาวว่ะ เริ่มต้นตั้งแต่อยู่เมืองจีนอั๊วหลบหนีคดีมา ตอนที่พบกับลื้อบนเรือนั่นแหละ ต่อมาก่อนลงจากเรือขึ้นบกก็มีคนพาอั๊วหลบสายตาคน จากนั้นเขาก็พาอั๊วหนีไปอยู่กับตั้วเฮียที่นครชัยศรี"
"ใครคือตั้วเฮียรึ?"
"เอ้อ..ตั้วเฮียก็คือตัวหัวหน้าบรรดากงสีที่เป็นอั้งยี่ทั้งหมดในแถบถิ่นนี้ เป็นที่เคารพและยำเกรงของพวกยี่เฮียและซาเฮียที่เป็นหัวหน้ารองๆกันลงมาในวงการอั้งยี่ต่างๆนะสิ ลื้อมาอยู่เมืองสยามตั้งนานแล้วยังไม่รู้เรื่องนี้อีกหรือวะเต็งกุย?"
"อั๊วมาถึงก็เริ่มทำงานลากรถเพียงอย่างเดียว จึงเลยยังไม่เคยรู้ถึงเรื่องราวอะไรต่างๆพวกนี้หรอก"
"เมื่อลื้อรู้ก็ดีแล้ว จงรู้ไว้เถิดว่าในปัจจุบันวงการอั้งยี่นั้นกว้างขวางและเข้มแข็งยิ่งนักในสยามประเทศแห่งนี้ ทางการเขาพยายามปราบปรามและลดทอนอำนาจด้วยวิธีต่างๆนาๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้อ่อนแอลงมากกว่าแต่ก่อน แต่ก็ยังเป็นที่นับถือในหมู่คนจีนทั่วไปอยู่ดี"
"แล้วลื้อไปทำงานหน้าที่อะไรให้ตั้วเฮียที่นครชัยศรีล่ะบุ้นเพ้ง?"
"คืออั๊วมีหน้าที่ไปคอยตรวจสอบผลประโยชน์ของสมาคมอันเป็นรายได้หลักของตั้วเฮียเขานะสิ เพราะอั๊วเป็นบุคคลที่ตั้วเฮียไว้วางใจมากที่สุด"
"อ้าว..แล้วลื้อมาอยู่ที่โรงยาฝิ่นคลองบางหลวงนี้ได้อย่างไรล่ะ?"
"ก็อย่างที่อั๊วเล่าให้ลื้อฟังนั่นแหละ ว่าอั๊วมาคอยตรวจสอบผลประโยชน์ของตั้วเฮียเขาไม่ให้ขาดตกบกพร่อง"
"ผลประโยชน์ที่โรงยาฝิ่นเนี่ยนะ?"
"ใช่แล้วเต็งกุย ผลประโยชน์จำพวกโรงยาฝิ่นและบ่อนต่างๆเหล่านี้มีมากมายเกินกว่าที่เราคิดกันเสียอีก"
"เป็นสิ่งที่อั๊วไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยในชีวิตจริงๆ"
"นอกจากนี้ยังมีสิ่งผิดกฎหมายที่ทำกำไรมหาศาลอื่นๆอีกตั้งหลายอย่าง แต่ว่าลื้ออย่ารู้ไปเลยนะ เปลืองสมองเปล่าๆ สู้เอาปัญญาไปคิดอย่างอื่นจะดีกว่า"
"อ้อ..นี่ลื้อเป็นพวกผู้มีอิทธิพลและนักเลงคนหนึ่งเหมือนกัน..ว่าอย่างนั้นเถอะ ใช่ไหม?"
"ก็ทำนองนั้น หน้าที่ของอั๊วก็คือทำตามคำสั่งตั้วเฮียแต่เพียงผู้เดียว"
"แล้วที่ลื้อพาพวกมารุมซ้อมอั๊วเนี่ย มันเกี่ยวกันด้วยรึ?"
"เปล่าน่อ..ถึงแม้จะไม่เกี่ยวโดยตรง แต่เมื่ออั๊วมาอยู่ในสถานที่ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของตั้วเฮียและของอั๊ว ฉะนั้นอั๊วจึงต้องพยายามทำให้เหตุการณ์กลับคืนเป็นปกติสู่ความสงบเรียบร้อยโดยเร็วที่สุด"
"ถึงกับลงไม้ลงมือจนอั๊วบอบช้ำมากขนาดนี้เลยเชียวหรือ?"
"ก็อั๊วบอกแล้วไง ว่าอั๊วขอโทษและยอมรับผิดทุกอย่าง มันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เหตุการณ์เฉพาะหน้ามันบังคับพาไปเองหรอกนะเต็งกุย อย่าถือโทษโกรธเคืองอั๊วต่อไปเลยไอ้เพื่อนรัก"
"แล้วนี่ลื้อจะทำอย่างไรต่อไปล่ะบุ้นเพ้ง?"
"ก็ซาเฮีย เอ๊ย..เสี่ยน้อยเขารับปากว่าจะพาแม่สาวน้อยนายหญิงของลื้อไปส่งโดยปลอดภัยแล้วไม่ใช่หรือ อั๊วคิดว่าทุกอย่างคงจะจบเรียบร้อยลงด้วยดีอย่างแน่นอน"
"ลื้อเชื่อว่า เสี่ยน้อยเขาจะทำตามคำพูดของเขาอย่างนั้นจริงๆหรือ?"
"อ๋อ..แน่สิ ต่อหน้าอั๊วและต่อหน้าคนที่เขาบอกว่าเป็นเพื่อนของเขาที่มาด้วยกันกับลื้อ เขาย่อมไม่กล้าบิดพลิ้วหรอก เชื่ออั๊วเถอะ"
"ยังงั้นอั๊วก็ค่อยสบายใจหน่อย ว่าแต่ลื้อจะอยู่ที่นี่อีกนานไหม?" ตันเต็งกุยพูดพลางจ้องหน้าเพื่อนร่วมสาบาน
"อั๊วกำลังสะสางบัญชีอยู่ คิดว่าพรุ่งนี้คงจะเสร็จเรียบร้อย มะรืนนี้อั๊วก็คงจะเดินทางกลับไปนครชัยศรีแล้วล่ะ ลื้อสงสัยอะไรหรือ?"
"เปล่าหรอก อั๊วเพียงอยากรู้เท่านั้นเอง เอาไว้เผื่อวันข้างหน้า หากเกิดว่าอั๊วมีธุระปะปังจะได้ไปหาลื้อถูกยังไงล่ะ"
"อั๊วขอถามอะไรลื้อหน่อยได้ไหมวะเต็งกุย?"
"ถามอะไรหรือ?"
"ที่ลื้อทำงานลากรถอยู่ทุกวันเนี่ย ลื้อมีความเป็นอยู่สุขสบายดีหรือเปล่า?"
"ก็สบายดีตามอัตภาพแหละว่ะบุ้นเพ้ง ไม่ลำบากยากแค้นสิ่งใด เถ้าแก่เนี้ยของอั๊วเขาก็เมตตาให้ที่อยู่อาศัยภายในบริเวณบ้านของเขา และเขาก็ยังให้คนมาสอนภาษาไทยอั๊วทุกวัน จนคิดว่าตอนนี้พอที่จะพูดกับคนสยามรู้เรื่องเกือบทุกอย่างแล้วด้วย พูดตามความจริงก็คืออั๊วไม่ได้เดือดร้อนอะไร"
"คืออั๊วอยากจะชวนลื้อไปอยู่ด้วยกันที่นครชัยศรี ลื้อสนใจไหมวะ?"
"อั๊วไม่เก่งทางนักเลงหมัดมวย ลื้อไม่กลัวอั๊วทำลื้อขายหน้าหรือยังไงกันหือ?"
"มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนักเลงหรือเรื่องหมัดๆมวยๆเสียทั้งหมดหรอกนะ ยังมีงานอื่นๆให้ลื้อทำอีกตั้งเยอะแยะไป รับรองว่าลื้อจะสบายกว่าการที่ต้องหลังขดหลังแข็งวิ่งลากรถกระเตงๆทุกวันจนน่องโป่งมากเชียวละเพื่อนเอ๋ย"
"คนอย่างอั๊วความรู้น้อย จะไปทำอะไรได้วะ นอกจากงานจับกังเท่านั้น"
"มีสิ อั๊วรับรองว่ามีงานอื่นอีกเป็นพะเรอเกวียนให้ลื้อทำ ว่าแต่ลื้อจะสนใจหรือเปล่าเท่านั้น"
"ไหนลองบอกอั๊วมาทีหรือ ว่างานที่จะให้อั๊วไปทำเนี่ยมันคืองานอะไร?"
"คือยังงี้..ตั้วเฮียของอั๊วเขารับงานจากท่านข้าหลวงเทศาภิบาลของทางมณฑลนครชัยศรี ให้หาคนงานจีนไปเพิ่มอีก เพื่อช่วยงานก่อสร้างองค์พระปฐมเจดีย์ที่ยังไม่แล้วเสร็จ อยากได้หัวหน้าคุมคนงานจีนที่สื่อภาษากันได้รู้เรื่อง งานนี้เป็นงานหลวงที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมากทีเดียว เข้าใจหรือยังล่ะทีนี้"
"ลื้อจะให้อั๊วไปทำหน้าที่อะไรกันล่ะบุ้นเพ้ง?"
"ก็หัวหน้าคุมคนงานฝ่ายคนจีนนะสิวะ เขามีแม่กองช่างหลวงคนไทยที่ชำนาญพิเศษคอยควบคุมอีกที เพียงลื้อสื่อความหมายและพูดคุยกันรู้เรื่องเข้าใจดี ในการที่จะมอบหมายสั่งงานให้คนงานและช่างชาวจีนทำ..ก็เท่านั้นเอง พอจะทำได้ไหม?"
"ลื้อคิดว่า คนอย่างอั๊วเนี่ย จะทำงานอย่างนี้ได้หรือ?"
"อ๋อ..แน่นอน ถ้าลื้อมีความพยายามและตั้งใจจริงพอที่จะไม่ย่อท้อ ไม่ว่ามันจะยากลำบากสักเพียงไหนก็ตามที"
"มีรายละเอียดอื่นๆที่อั๊วจะต้องรู้อีกไหม เช่นงานช่างอะไรต่างๆพวกเนี้ย?"
"ก็มีมากเหมือนกันนะ เพราะงานซ่อมพระเจดีย์ใหม่องค์นี้ให้สวยงามต้องเปลืองแรง เงินทอง และเวลาเป็นอันมาก อิฐและปูนที่เผาส่งให้ก็ไม่ทัน ต้องเกลี้ยกล่อมพวกมอญทำอิฐ ให้มาตั้งบ้านเรือนใกล้ๆองค์พระปฐมเจดีย์เพื่อจะให้ทำอิฐได้สะดวก"
"แล้วเขาต้องการคนงานและช่างชาวจีนด้วยหรือ?"
"คืออย่างนี้ เมื่อทำอิฐได้แล้ว ส่วนปูนก็ต้องจ้างชาวจีนเผาส่ง เมื่อช่างก่ออิฐถือปูนที่เป็นคนไทยมีไม่พอ ก็ต้องจ้างช่างชาวจีนเข้าผสมด้วย เฉพาะแรงงานนอกจากได้ที่เมืองนครชัยศรีแล้ว เขายังได้ไปเกณฑ์คนถึงเมืองอื่นๆมาช่วยอีกด้วยนะ"
"มากมายถึงขนาดนั้นเลยเชียว?"
"ใช่..เขาเกณฑ์คนมาจากสมุทรสงคราม สมุทรสาคร ราชบุรี และพนัสนิคม เพราะเขาเร่งรีบงานนี้มาก โดยจำกัดให้มีจำนวนแรงงานผลัดเปลี่ยนกันถึง 4 ผลัด ผลัดละ 200 คนต่อเดือนเลยทีเดียว"
"อั๊วยอมรับแล้วล่ะว่า งานนี้เป็นงานหลวงที่สำคัญและยิ่งใหญ่จริงๆ" ตันเต็งกุยพยักหน้าหงึกๆ
"เฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้เขากำลังเร่งก่อสร้างระเบียงชั้นนอกเพิ่มขึ้นอีกชั้นหนึ่ง จึงต้องใช้ช่างชาวจีนเพิ่ม ล่าสุดได้ข่าวว่าพระเจ้าแผ่นดินเมืองสยามทรงสั่งซื้อกระเบื้องเคลือบสีเหลืองทองมาจากเมืองจีน สำหรับมาหุ้มองค์พระปฐมเจดีย์ทั้งองค์ เพื่อความคงทนและสวยงามอีกด้วยนะ" จิวบุ้นเพ้งพูดเสริมขึ้นด้วยแววตาเป็นประกาย เมื่อเขาเอ่ยถึงกระเบื้องเคลือบสีเหลืองทองจากเมืองจีน
"หุ้มพระเจดีย์ทั้งองค์เลยหรือ?"
"ถูกต้อง..หุ้มทั้งองค์ ซึ่งใหญ่โตมาก คิดว่ากว่าจะเสร็จก็คงจะกินเวลานานโขอยู่ทีเดียว"
"เรื่องอย่างนี้อั๊วไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่คิดว่าเมื่ออั๊วได้ไปเห็นด้วยตาของตัวเองแล้วก็คงพอจะเข้าใจและทำได้ ลื้อคิดว่าอย่างนั้นไหมบุ้นเพ้ง?"
"ใช่..ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะยากเกินความสามารถของคนเราไปได้หรอก เพียงแต่ขอให้มีความมานะ อดทน และความเพียรพยายามอย่างที่สุดเท่านั้น"
"ตกลงลื้อจะให้อั๊วไปรับงานนี้เมื่อไหร่ล่ะ?"
"ก็ทันทีที่ลื้อสะดวกนั่นแหละ"
"อั๊วคงจะต้องไปบอกลาเถ้าแก่เนี้ยของอั๊วก่อน เมื่อเสร็จธุระแล้วอั๊วจะรีบกลับมาหาลื้อที่นี่อีกที"
"อย่าลืมว่าอั๊วมีเวลาอยู่ที่นี่อีกเพียงวันเดียว คือพรุ่งนี้เท่านั้น มะรืนนี้อั๊วก็ต้องเดินทางกลับไปนครชัยศรีแล้วนะ"
"ลื้อบอกที่อยู่ของลื้อให้อั๊วรู้สิ แล้วอั๊วจะตามไปหาลื้อที่นครชัยศรีเองก็ได้ คงจะหาไม่ยากนักหรอกใช่ไหมล่ะ?"
"ก็ได้ อั๊วจะรอลื้อจนถึงมะรืนนี้ตอนสายๆ ถ้าหากลื้อไม่สามารถมาได้ทัน ก็ให้ตามไปพบกับอั๊วที่โน่นเลยก็แล้วกัน"
"ตกลง ขอบใจมากเพื่อนรัก ที่แนะนำสิ่งดีๆสำหรับอนาคตให้อั๊วได้ตัดสินใจ"
"เรามันเพื่อนร่วมสาบานกัน จำไม่ได้หรือเต็งกุยเพื่อนรัก อั๊วยินดีที่จะช่วยลื้อทุกอย่างเท่าที่อั๊วจะทำได้"
"อั๊วจะไม่มีวันลืมบุญคุณของลื้ออย่างแน่นอน" หนุ่มคนลากรถเจ๊กยืนยันหนักแน่น
"แต่เอ้อ..ตอนนี้อั๊วว่าพวกเราสองคนควรที่จะเข้าไปสมทบกับพวกเขาข้างในห้องกันก่อนเถอะ เพราะเราได้ออกมาช้างนอกกันนานเต็มทีแล้ว" จิวบุ้นเพ้งพูดพร้อมกับเบือนหน้ากลับไปมองทางประตูทางเข้าเรือนทรงปั้นหยาหลังน้อยอีกครั้ง
"เอ้อ..นั่นดูเหมือนว่าพวกเขาเตรียมตัวที่จะออกเดินทางกันแล้วล่ะ"