![]() |
![]() |
ปักษิณ![]() |
...สายชล เจ้าหนุ่มนักเลงรักลูกชายเจ้าของโรงยาฝิ่น รีบผละมือออกจากไหล่ซ้ายของสาวน้อยกฤษณาที่เขายึดกุมไว้โดยอัตโนมัติ อ้าปากค้าง "เออ..ข้าเอง....
ตอน : บทที่ 10
สายชลเจ้าหนุ่มนักเลงรักลูกชายเจ้าของโรงยาฝิ่น รีบผละมือออกจากไหล่ซ้ายของสาวน้อยกฤษณาที่เขายึดกุมไว้โดยอัตโนมัติ อ้าปากค้าง"เออ..ข้าเอง..ไอ้เล่แห่งสะพานเหล็ก" ชายเจ้าของเรือตกกุ้งพูดทำท่าอมยิ้มอย่างอารมณ์ดี
"เอ้อ..เอ้อ..พี่เล่มาได้ยังไงนี่?" สายชลหรือเสี่ยน้อยพูดตะกุกตะกัก เพราะยังไม่หายตกตะลึงจากการขัดจังหวะโดยที่เขาไม่เคยได้คาดคิดมาก่อน
"ก็ที่นี่โรงยาฝิ่นไม่ใช่หรือวะ ทำไมคนอย่างข้าจะมาไม่ได้ล่ะ?"
"พี่เล่เล่นมากะทันหัน โดยไม่บอกข้าให้รู้ล่วงหน้า ข้าจะได้ให้คนไปคอยรับรองพี่ที่หน้าโรงยาให้สมเกียรติ" สายชลฝืนยิ้มในขณะที่ตอบ
"บอกล่วงหน้า ข้าก็ไม่ได้มาเห็นของดีนะซีวะ จริงไหมล่ะเสี่ยน้อย?"
"งั้นรอประเดี๋ยว ข้าจะเรียกพวกเด็กๆให้มาคอยรับรองพี่เล่เอง" สายชลทำท่าจะก้าวเดินออกไปนอกห้อง
"ไม่ต้อง ข้ามาธุระเรื่องสาวน้อยกฤษณาคนนี้" เล่พูดพร้อมกับชี้มือไปยังหญิงสาวซึ่งกำลังเสียขวัญยืนตัวสั่นงันงกหน้าตาซีดเผือด โดยมีร่างของบุญธรรมหนุ่มเพลงยาวยืนโอบไหล่ปลอบอยู่ข้างๆ
"นี่พี่เล่มาเกี่ยวกับราชการงานเมืองหรือ?" สายชลเสถามเรื่องธุระเกี่ยวกับการมาของนายเล่แทน
"ข้าบอกแล้วไงว่า ข้ามาเพื่อขอตัวคุณหนูกฤษณาคืน" เล่ยืนยันคำพูด
"มาขอรับตัวคืน?"
"ใช่..มีสิ่งใดขัดข้องหรือไงวะ?"
"งั้นก็เชิญสิพี่เล่ ข้าไม่ได้กักขังเธอไว้นี่"
"ไม่ได้กักขังแล้วที่เห็นตำตาอยู่เนี่ย เขาเรียกว่าอะไรล่ะหือ?"
"เอ้อ..ข้าเพียงแต่พาตัวคุณหนูเธอมาพูดปรับความเข้าใจกันเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก"
"พูดปรับความเข้าใจในสถานที่เช่นนี้ไม่ดีแน่ เอ็งก็น่าจะรู้ดีนี่"
"พี่มากับเสด็จในกรมฯท่านหรือ?" สายชลแกล้งพูดจาเฉไฉโดยมุ่งไปที่ประเด็นสำคัญ เพราะความเกรงกลัวอาญาแผ่นดิน เนื่องจากเขารู้สึกข้องใจในการที่เล่พรวดพราดเข้ามาพบหญิงสาวและตัวเขาเองกำลังอยู่ในลักษณะที่ไม่ค่อยชอบมาพากลเช่นนี้
"ถ้าเสด็จในกรมฯเสด็จมาด้วย หัวเอ็งคงจะหลุดจากบ่าไปก่อนที่จะมาลอยหน้าเจรจาถามความกับข้าแล้วล่ะ..ไอ้เสี่ยน้อยสายชลเอ๋ย" เล่พูดพร้อมกับพนมมือทั้งสองประกบยกดาบในมือขึ้นเหนือหัว
คำพูดของคนชื่อเล่แห่งสะพานเหล็กทำเอานายสายชลผู้ถูกเรียกว่าเสี่ยน้อยลูกชายยี่เฮียแห่งวงการโรงยาฝิ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่าย "อั้งยี่" ถึงกับทรุดกายคุกเข่าลงกับพื้นเบื้องหน้า ชายหนุ่มนักเลงรักประเภทหักด้ามพร้าด้วยเข่าหรือชนิดที่หักเอาด้วยกำลังยกมือไหว้เล่ปลกๆ
ในจดหมายเหตุของไทยใช้คำเรียกอั้งยี่ต่างกันตามสมัย โดยชื่อของสมาคมที่ตั้งในเมืองจีนแต่เดิมเรียกว่า "เทียนตี้หวย" แปลว่า "ฟ้า ดิน มนุษย์" หรือเรียกโดยย่ออีกอย่างหนึ่งตามภาษาจีนฮกเกี้ยนว่า "ซาฮะ" แปลว่า องค์สาม เป็นนามของอั้งยี่ทุกพวก ครั้นอั้งยี่แยกกันเป็นหลายกงสี จึงมีชื่อกงสีเรียกต่างกัน เช่น งี่หิน ปูนเถ้าก๋ง งี่ฮก ตั้งกงสี ชิวลิกือ เป็นต้น คำว่าอั้งยี่ แปลว่า "หนังสือแดง" จึงเป็นแต่เพียงชื่อกงสีอันหนึ่งเท่านั้น
มีชื่อเรียกสำหรับตัวนายอีกส่วนหนึ่ง ผู้ที่เป็นหัวหน้าอั้งยี่ในท้องถิ่นโดยรวมกันทุกกงสี เรียกตามภาษาฮกเกี้ยนว่า "ตั้วกอ" ตามภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า "ตั้วเฮีย" แปลว่าพี่ใหญ่ ผู้เป็นหัวหน้ากงสีเรียกว่า "ยี่กอ" หรือ "ยี่เฮีย" แปลว่าพี่ที่สอง ตัวนายรองลงมาเรียกว่า "ซากอ" หรือ "ซาเฮีย" แปลว่าพี่ที่สาม ในจดหมายเหตุของไทยเดิมเรียกพวกที่เข้าสมาคมเทียนตี้หวยทั้งหมดว่า "ตั้วเฮีย" ต่อมาจนกระทั่งถึงรัชกาลที่ 5 จึงเปลี่ยนคำว่า "ตั้วเฮีย" มาเรียกว่า "อั้งยี่" ทั้งหมด
ซึ่งขุนจำนงสัจจานนท์บิดาของเสี่ยน้อยหรือนายสายชลก็คือหัวหน้ากงสีผู้หนึ่งในนาม "ยี่เฮีย" นั่นเอง โดยเขาได้ควบคุมกงสีบางส่วนอยู่ในเขตพระนครและธนบุรี จึงนับได้ว่าอำนาจและอิทธิพลของเขานั้นมีอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
"ขอพี่เล่ได้โปรดเถิด ข้ากราบขอโทษสำหรับความผิดของข้าที่ได้กระทำไปในครั้งนี้ด้วยจะได้ไหม ขออย่าได้ถือสาหาความเลยนะพี่เล่?"
"เอ็งแน่ใจแล้วนะว่าจะไม่ทำผิดซ้ำอีก?"
"ข้าแน่ใจ!" สายชลเอ่ยเสียงยืนยันอย่างหนักแน่น "ขอเพียงอย่างเดียวอย่าให้เรื่องนี้ล่วงรู้ไปถึงหูเตี่ยของข้าและเสด็จในกรมฯเท่านั้นก็พอ ได้ไหมจ๊ะพี่เล่ นึกว่าเมตตาข้าเถิดนะ?"
ความจริงแล้วคนชื่อพี่เล่ที่กล่าวถึงผู้นี้ก็คือ อดีตนายเล่นักเลงโตย่านนางเลิ้งและย่านสะพานเหล็ก มหาดเล็กคนสนิทของเสด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ โดยบุคคลผู้นี้ต่อมารับราชการสนองพระเดชพระคุณเป็นมหาดเล็กของเสด็จในกรมฯ และเป็นหนึ่งในจำนวนเจ็ดทหารเสือที่โด่งดังของท่านด้วย
มีเกร็ดประวัติเล่ากันเกี่ยวกับเรื่องนายเล่ผู้นี้ต่อมาว่า เสด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์โปรดนิยมแต่งพระองค์เป็นชาวบ้านนักเลง เสด็จไปตามโรงยาฝิ่น โรงขายสุรา โรงบ่อนต่างๆทั้งฝั่งพระนครและธนบุรี โดยมีนายเล่ นักเลงโตย่านนางเลิ้งและสะพานเหล็กซึ่งมีบริวารพวกอันธพาลมาก แต่สมัครรับใช้เสด็จในกรมฯติดตามไปด้วยเสมอ ต่อมาเจ้าพี่เจ้าน้องทรงทราบเรื่องจึงกราบบังคมทูลฟ้องพระบรมชนกนาถ ว่าเสด็จในกรมฯทรงประพฤติตนเป็น "กุ๊ย" นอนโรงยาฝิ่น และเข้าบ่อน
พระบรมชนกนาถจึงทรงปลอมพระองค์เป็นราษฎรเสด็จรถม้าพระที่นั่งคันเล็กๆไปจอดอยู่แถวบ่อนต้นมะขามย่านนางเลิ้ง แล้วก็เสด็จพระราชดำเนินไปตรวจตามโรงยาฝิ่น ตามบ่อนและร้านจำหน่ายสุรา พอถึงหน้าโรงยาฝิ่น ก็พอดีเสด็จในกรมฯเสด็จออกมาพร้อมนายเล่ นักเลงโตพอดี ในหลวงทรงชี้พระหัตถ์ตรัสว่า
"นั่นแน่ อาภากรประพฤติตนอย่างนี้จริงๆ"
แล้วโปรดรับสั่งให้ตามเสด็จไปที่รถ เสด็จในกรมฯกราบลงถวายบังคมแทบพระบาท พระบรมราชชนกกริ้วตรัสว่าเอาต่างๆ แต่เมื่อเสด็จในกรมฯกราบทูลว่า ที่ท่านทำดังนี้ก็เพื่อจะได้รู้เรื่องราวต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองและราชบัลลังก์ เพราะในโรงยาฝิ่นก็ดี ในบ่อนก็ดี ในร้านจำหน่ายสุราก็ดี มักจะมีพวกคนพาล โจรผู้ร้ายมั่วสุมชุมนุมกันอยู่ เพราะฉะนั้น หากมีเรื่องคิดขบถ คิดการร้าย ซึ่งในสมัยก่อนมักมีจีนอั้งยี่ก่อกวนความสงบอยู่เสมอๆ หรือจะไปลักขโมยปล้นที่ไหน ก็จะได้ระงับเหตุหรือปราบปรามได้ทันท่วงที
พระบรมชนกนาถจึงทรงออกอุทานว่า
"อ้อ...อย่างนั้นเองหรือ"
แล้วทรงลูบพระปฤษฎางค์ หายกริ้ว ส่วนนายเล่นั้น ต่อมาเสด็จในกรมฯโปรดเอาตัวไปรับราชการทหารเรือ เป็นว่าที่นายเรือตรี คอยรับใช้ติดตามเสด็จในกรมตลอดมา
"ก็ในเมื่อเอ็งแน่ใจเช่นนั้น ขอให้เอ็งจงถามคุณหนูกฤษณาเขาเองดีกว่า ว่าเขาจะยินยอมยกโทษให้เอ็งหรือเปล่า เพราะเขาคือเจ้าทุกข์ที่ได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสในครั้งนี้"
นายเล่ยอดนักเลงโตแห่งสะพานเหล็กเจรจาออกตัว ทั้งนี้ทั้งนั้นก็โดยหวังที่จะอบรมสั่งสอนให้เจ้าหนุ่มนักรักคนพาลหลาบจำ และรู้จักแยกแยะว่าอะไรดีอะไรชั่ว ฝ่ายสายชลเมื่อได้ยินดังนั้นก็หันหน้ากลับไปทางหญิงสาวผู้ที่ต้องมารับเคราะห์กรรมจากการกระทำของเขา พลางเอ่ยปากวิงวอนสาวเจ้าทุกข์ด้วยสายตาละห้อย
"กฤษณาจ๋า กรุณายกโทษให้พี่สายชลคนโฉดชั่วเขลาคนนี้สักครั้งจะได้ไหมจ๊ะ?"
"จำได้ไหมว่าเมื่อตะกี้นี้ ใครกันที่ฉันเพียรอ้อนวอนร้องขอให้ปล่อยฉันไป แล้วฉันจะไม่เอาเรื่องเอาราวอะไรเลยได้หรือเปล่าล่ะ?"
"เอ้อ..จำได้จ้ะแม่คุณแม่ทูนหัว แต่ตอนนั้นพี่มันหน้ามืดตามัว เอาแต่โง่เขลาเบาปัญญา พี่ยอมรับแล้วว่าเป็นความผิดของพี่เองแหละจ้ะ"
"แล้วก็จำได้ไหมว่าใครกัน ที่บอกกับฉันว่ามันสายเกินไปเสียแล้ว?"
"โถ..น้องกฤษณา พี่ก็ขอยอมรับผิดทุกอย่างแล้วยังไงล่ะจ๊ะ"
"พี่จะไปไปขอขมาเพื่อยืนยันกับคุณพ่อและคุณแม่ของกฤษณาได้ไหมล่ะว่า พี่ยอมรับผิดทุกอย่าง และจะไม่ไปตอแยกับฉันอีกในภายหน้า?"
"ได้จ้ะ..พี่ยินยอมทุกอย่างที่น้องกฤษณาขอ" สายชลรีบระล่ำระลักตอบโดยไม่ต้องคิด
"มีอะไรที่จะรับประกันได้ล่ะว่าพี่จะไม่กระทำเรื่องเลวร้ายอย่างนี้อีก?"
"ก็ได้..อ้า..ข้าขอสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์และต่อหน้าทุกๆคนในที่นี้ว่า จะไม่กระทำการใดเยี่ยงนี้อีกในภายภาคหน้า หากข้าผิดคำพูดเมื่อใด ก็ขอให้ต้องจบชีวิตลงด้วยคมหอกคมดาบ อย่าให้ตายดีเลย" หนุ่มคนพาลนักเลงรักนั่งลงพนมมือพร้อมกับยกขึ้นท่วมหัว จากนั้นชายหนุ่มก็ก้มกราบลงบนพื้นต่อหน้าหญิงสาว พลางหันไปถามกฤษณาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ทว่ามีเพียงสายตาเท่านั้นที่ยังคงวี่แววแห่งความทุกข์ที่กำลังเกาะกินใจอยู่ตลอดเวลา
"พอใจน้องกฤษณาหรือยังล่ะจ๊ะทีนี้ อดีตที่ผ่านแล้วมา..วานขอน้องคนดีอย่าถือสาเอาความผิดกับพี่เลยนะจ๊ะ?"
"ตกลงน้องยอมยกโทษให้ แต่พี่อย่าลืมทำตามคำสัญญาก็แล้วกัน"
"ขอบใจมากจ้ะน้องกฤษณา พี่เล่ช่วยเป็นพยานให้ข้าด้วยนะ?" ประโยคหลังเขาหันหน้ามาทางเล่
แต่ก่อนที่เล่จะทันเอ่ยโต้ตอบประการใด เสียงก้อนดินที่ถูกขว้างมาจากคูน้ำภายนอกด้วยฝีมือของหนุ่มลากรถเจ๊กตันเต็งกุยก็ดังขึ้นอย่างแรง
โครม!
มีเสียงเอะอะต่อสู้กันตามมา สักครู่ครั้นเงียบเสียงลง ก็มีเสียงคนวิ่งกรูกันขึ้นมาบนเรือน ผู้ที่ถูกฉุดกระชากลากตัวเข้าประตูมาก็คือตันเต็งกุยนั่นเอง เขาถูกรุมซ้อมอย่างสะบักสะบอม ใครคนหนึ่งผลักร่างของเขาล้มลงต่อหน้าเสี่ยน้อยสายชลและเล่กับสองสหาย สมาชิกที่เข้ามาใหม่มีราวห้าหกคนท่าทางเอาเรื่อง อาวุธในมือเตรียมพร้อม ทั้งหมดต่างเดินเข้ามาออรวมกันจนเต็มห้อง
"พวกเราพบไอ้หมอนี่หลบอยู่ในร่องคูน้ำข้างทาง มันทำท่าสู้จึงลากตัวมันเข้ามาด้วย เสี่ยน้อยเป็นอะไรหรือเปล่า เห็นไอ้ลอยนอนสลบไสลอยู่บนม้าโยกข้างนอก อ้าว..แล้วพวกนี้เป็นใคร?" เจ้าคนพูดเร็วปรื๋อด้วยภาษาจีนแต้จิ๋วพร้อมกับมองหน้าคนทั้งสามอยู่ล่อกแล่กไปมา
"อั๊วไม่เป็นไรหรอก คนพวกนี้เป็นเพื่อนของอั๊วเอง ว่าแต่ไอ้หางเปียนี่มันใครกันล่ะ?"
"พวกเราจับมาไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นใคร ทำไมถึงต้องทำท่าทางต่อสู้กับพวกเราด้วยก็ไม่รู้?"
"น่าจะเป็นพวกแอบมาสูบฝิ่นนะ" สายชลตั้งข้อสังเกต
"เฮ้ย!..ลื้อลงไปในคูน้ำทำไมวะ?" เจ้าคนแรกที่รายงานเสี่ยน้อยตะคอกถามตันเต็งกุยด้วยเสียงดังเป็นภาษาจีนแต้จิ๋ว
"อั๊วมากับพวกนี้" เต็งกุยบุ้ยปากชี้ไปที่เล่กับพวกสองสหาย
"มันมากับพี่เล่หรือเปล่า?" สายชลหันมาถามเล่
"ใช่ เขามากับข้าเองแหละ"
"ปล่อยเขา!" สายชลออกคำสั่ง
พวกนักเลงโรงยาฝิ่นพากันถอยห่างออกมาจากร่างของตันเต็งกุย หนุ่มคนลากรถค่อยๆยันกายลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก ทั้งนี้เนื่องด้วยเพราะเขาถูกทำร้ายและรุมกระทืบซ้ำจนงอมไปทั้งตัว ชายหนุ่มเดินกระย่องกระแย่งมารวมกลุ่มกับเล่และหนุ่มเพลงยาวทั้งสองคน ในขณะเดียวกันเขาก็หันหน้าไปมองสายชลและบรรดาลูกน้องทั้งหมดที่ยืนอยู่ในห้องทีละคนๆด้วยความสนใจ
แต่ในทันทีที่สายตาของตันเต็งกุยเพ่งมองไปเห็นใบหน้าของหนุ่มจีนคนที่กระชากลากตัวเขาเข้ามาในห้องและผลักเขาล้มลง หนุ่มจีนแซ่ตันก็ต้องประหลาดใจที่แลเห็นใบหน้านั้นดูคุ้นตาเป็นอย่างมาก หากทว่าเมื่อคนทั้งคู่สบตากันอย่างจัง หนุ่มจีนลูกน้องฝ่ายเจ้าของโรงยาฝิ่นก็ต้องอ้าปากค้างยกมือขึ้นชี้มาทางหนุ่มคนลากรถ
เช่นเดียวกันกับตันเต็งกุยที่ค่อยๆยกมือขึ้นชี้หน้าไปทางฝ่ายตรงข้าม จากนั้นเพียงชั่วอึดใจหนุ่มจีนทั้งคู่ต่างพากันอุทานขึ้นเกือบจะพร้อมกัน
"เฮ้..นั่นลื้อ..ตันเต็งกุยนี่หว่า!?"
"จิวบุ้นเพ้ง!?"