![]() |
![]() |
กาบแก้ว![]() |
...อาณาจักรจามปา เป็นอาณาจักรโบราณตั้งเมื่อพุทธศตวรรษที่ 7 อยู่ทางใต้ของจีน อยู่ทางเหนือของอาณาจักรฟูนันปัจจุบันคือ เมืองเว้ กว่างนาม ถัวเถียน...
ตอน : บทที่ 4 - อาณาจักรจามปา และคนไทยเชื้อสายจาม
อาณาจักรจามปา เป็นอาณาจักรโบราณตั้งเมื่อพุทธศตวรรษที่ 7 อยู่ทางใต้ของจีน อยู่ทางเหนือของอาณาจักรฟูนันปัจจุบันคือ เมืองเว้ กว่างนาม ถัวเถียน แผนรัง และ ญาจางเนื่องจากสมัยก่อนพื้นที่นี้เป็นเขตทุรกันดาร จีนจึงไม่สามารถครอบครองพื้นที่นี้ได้![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
แผนที่อาณาจักรจามปา Vietnam Champa
ชนชาติจามสืบเชื้อสายจากชาวมาลาโย-โพลินีเชียน พวกจามเป็นชาวทะเลมีความสามารถทางการเดินเรือ ต่อมาราว พ.ศ. 989 กองทัพจีนได้ยกทัพมาตีราชธานีของชาวจามลงได้
เมื่อพุทธศตวรรษที่ 10 มีชาวจีนชื่อ มาตวนหลิน ได้เขียนเรื่องของชาวหลินยี่ หรือ ชาวจามว่า ชาวบ้านสร้างบ้านด้วยอิฐแล้วฉาบด้วยปูน หญิงและชายมีผ้าฝ้ายผืนเดียวห่อหุ้มร่างกาย และชอบเจาะหูและห้อยห่วงเล็ก ผู้ดีใส่รองเท้าหนัง พวกไพร่เดินเท้าเปล่า พระราชาทรงพระมาลาทรงสูง ทรงช้าง และล้อมรอบด้วยบริพารถือธงและกลดกั้น
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ศาสนสถานศิลปะจามปา
พุทธศตวรรษที่ 17 นั้นชาวจามปาได้ถูกรุกรานโดยกองทัพของพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 กษัตริย์อาณาจักรเขมร และต่อมาใน พ.ศ. 1856พ่อขุนรามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัยโจมตี และใน พ.ศ. 2014ราชวงศ์เลของชาวเวียดนามได้ยกมาโจมตีราชธานีกรุงวิชัย (บิญดิ่ญ) จนแตก ชาวจามเสียชีวิต 60,000 คน เป็นเชลยอีก 30,000 คน ทำให้เสียความเป็นชาติไป โดยเป็นเมืองขึ้นญวน และบางส่วนได้อพยพเข้ามาในอาณาจักรสยามและมาเป็นอาสาจามในกรุงศรีอยุธยาโดยมีความรับผิดชอบด้านเรือทะเล โดยได้เป็นพนักงานกำปั่นหลวงตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราชจนถึงรัชกาลที่ 5
ศาสนาของชาวจาม พวกจามเดิมนับถือพระพุทธศาสนาแต่ชาวมลายูได้ไปเผยแพร่ศาสนาอิสลาม ชาวจามจึงหันมานับถือศาสนาอิสลามคนไทยจึงเรียกว่า แขกจาม
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
การเต้นระบำจามที่วัดแห่งหนึ่งทางภาคใต้ของประเทศเวียดนาม
ชาวจาม (ชาติพันธุ์)เดิมชาวจามอาศัยอยู่บริเวณทางใต้ของเวียดนาม ชาวจามมุสลิมเป็น 1 ใน 54 ชาติพันธุ์ของประเทศเวียดนามในอดีตชนชาติจามตั้งอาณาจักรจามปาที่ยิ่งใหญ่ มีความเจริญรุ่งเรืองช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 2-15 ด้วยอาณาเขตติดทะเล ชาวจามจึงมีความสามารถเดินเรือและค้าขาย ไปตามหมู่เกาะ ไกลถึงแถบตะวันออกกลาง รวมถึงประเทศจีน ส่วนใหญ่เป็นผ้าไหม ไม้หอม เครื่องปั้นดินเผา ปัจจุบันคือบริเวณเมืองดานังเมืองท่าในตอนกลางของเวียดนาม มีเมืองหลวงเดิมชื่อ วิชัย ปัจจุบันคือเมืองบิญดิ่ญ มีโบราณสถานกระจัดกระจายอยู่ตามภูเขาต่างๆในเวียดนาม
กระทั่งในปี ค.ศ. 1471 อาณาจักรจามปาสู้รบกับชนชาติเวียดนามเดิม ที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ทำให้อาณาจักรจามปาล่มสลาย ชาวจามส่วนใหญ่ต้องอพยพลงไปใต้ปัจจุบันมีชาวจามอาศัยอยู่ทางตอนกลางของเวียดนาม ที่เมืองนิงห์ถ่วง เมืองบินห์ถ่วง เตยนินห์ โฮจิมินห์ ส่วนทางใต้จะอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากที่เมืองอันยาง
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
รูปสลักในปราสาทบายนเป็นรูปชาวจามบนเรือ และซากศพศัตรูชาวขอมในน้ำ
ประวัติศาสตร์อาณาจักรจามปา
ชาวจามเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมใกล้เคียงกับกลุ่มชาติพันธุ์ในมาเลเซีย และอินโดนีเซีย โดยในอดีตชาวจามได้ก่อตั้งอาณาจักรจามปา ซึ่งในอดีตพื้นที่ของอาณาจักรจะครอบคลุมเมืองเว้ กว่างนาม ถัวเถียน ฟานรัง และญาจาง ของประเทศเวียดนามในปัจจุบัน
ราว พ.ศ. 989 กองทัพจีนยกทัพมาตีราชธานีวิชัย (เมืองบิญดิ่ญในปัจจุบัน)ได้สำเร็จช่วงนี้ชาวจีนที่มีชื่อ หม่าตวนหลิน เข้ามาบันทึกเรื่องชาวหลินอี้ (ชาวจาม) ความว่า
"...สร้างบ้านด้วยอิฐฉาบปูน หญิงและชายมีผ้าฝ้ายผืนเดียวห่อหุ้มร่างกายชอบเจาะหูและห้อยห่วงเล็ก ผู้ดีใส่รองเท้าหนัง ไพร่เดินเท้าเปล่าพระราชาสวมพระมาลาทรงสูง ทรงช้างและล้อมรอบด้วยบริพารถือธงและกลดกั้น" หม่าตวนหลิน
อาณาจักรจามปา รุ่งเรืองสูงสุดช่วงพุทธศตวรรษที่ 14-15 แต่ช่วงปลายต้องกรำศึกสงครามกับอาณาจักรดายเวียดหรือไดเวียดทางทิศเหนือ และอาณาจักรขอมโบราณกระหนาบทางทิศใต้อย่างต่อเนื่อง จนในปี พ.ศ. 1688 พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้ที่สร้างนครวัด เข้ายึดครองเมืองหลวงได้ ต่อมา ชาวจามปารวมตัวกันติด จัดกองทัพยกมาตีเอาเมืองเมืองหลวงคืนได้ พ.ศ. 1692
ใน พ.ศ. 1720 กองทัพเรือจามปายังยกพลขึ้นบกเข้าโจมตีและปล้นสะดม เผาทำลายเมืองพระนครเสียหายยับเยิน อำนาจอาณาจักรนครหลวงเสื่อมไประยะหนึ่ง จนถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ. 1724-1763) พระองค์ได้กระทำสงครามปราบกษัตริย์จามปาสำเร็จ โดยปรากฏมีภาพสลักยุทธนาวีกับกองทัพจาม ณ ปราสาทนครธมด้วย โดยได้ผนวกอาณาจักรจามปาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรขอมโบราณถัดจากพระองค์นี้ อาณาจักรก็อ่อนแอลงเรื่อยมา
แม้ชาวอาณาจักรจามปาพยายามรวมตัวถือโอกาสปลดแอกจากอาณาจักรขอมได้สำเร็จ แต่ต่อมาก็ถูกอาณาจักรไดเวียด พ.ศ. 2014 กษัตริย์เลถั่นตองแห่งไดเวียดส่งทัพตีเมืองหลวงวิชัย ยึดสำเร็จ กระทั่ง พ.ศ. 2375 สมเด็จพระจักรพรรดิมิงห์หม่างจึงได้ผนวกดินแดนส่วนที่เหลือของจามปาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเวียดนาม และกลืนชาวจามจนกลายเป็นชนกลุ่มน้อย
ระหว่างสงครามทำลายล้างชาวจามของขอมและไดเวียดนั้น ชาวจามบางส่วนอพยพเข้าสู่ดินแดนสยามในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199 - 2231) จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงได้มีผู้อพยพชาวจามเข้ามามากที่สุดอีกช่วงหนึ่ง คือเมื่อฝรั่งเศสเข้ายึดครองกัมพูชาเมื่อกว่า 100 ปีก่อน โดยได้บีบบังคับห้ามนับถือศาสนาอิสลาม ชาวจามจึงเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระมหากษัตริย์ไทย
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ศาสนสถานฮินดูศิลปะจามปา ในจังหวัดฟานรัง
วัฒนธรรมจามปา
วัฒนธรรมของอาณาจักรจามปานั้น ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งไศวนิกายมาตั้งแต่ต้น ศาสนาพุทธนิกายมหายานมีอิทธิพลเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ในราวพุทธศตวรรษที่ 14 แต่หลังจากนั้นศาสนาฮินดูก็กลับมาเป็นศาสนาหลักอีกครั้ง
ส่วนศาสนาอิสลามเริ่มเข้าสู่อาณาจักรจามในพุทธศตวรรษที่ 15 จากการค้าขายกับชาวอาหรับ แต่ก็ไม่แพร่หลายมากนัก ศาสนาฮินดูยังคงเป็นศาสนาหลักอยู่ แต่ต่อมาหลังจากที่อาณาจักรจามแพ้เวียดนามในปี พ.ศ. 2014 ศาสนาอิสลามก็เริ่มแพร่หลายมากขึ้น จนกระทั่งในราวพุทธศตวรรษที่ 22 ราชวงศ์ของกษัตริย์แห่งจามปาก็ยอมรับนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งก็ยิ่งทำให้ประชาชนทั่วไปนับถือศาสนาอิสลามมากขึ้นตามไปด้วย
ปัจจุบันนี้ แม้ว่าคนที่สืบเชื้อสายจามส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาอิสลาม แต่ทว่าอิทธิพลของวัฒนธรรมฮินดูนั้นก็ยังคงมีอยู่กับชาวจามอยู่ค่อนข้างมาก
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ชาวมุสลิมเชื้อสายจามในกัมพูชา
ศาสนา
ชาวจามในอดีตนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพุทธมหายานได้ปรากฏในโบราณสถานต่างๆของชาวจาม แต่ต่อมาชาวมาเลย์ได้มาเผยแพร่ศาสนาอิสลามแก่ชาวจาม โดยชาวจามที่แบ่งตามศาสนาสามารถแยกออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
จามยัต หรือ จามฮารัต เป็นจามที่บริสุทธิ์ หรือจามดั้งเดิม ที่ยังไม่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู หรือศาสนาอิสลาม จามกลุ่มนี้เชื่อในเรื่องของเทวดานับถือเทพดิน น้ำ แม่น้ำ ต้นไม้ เมื่อเสียชีวิตจะใช้วิธีฝังศพ ปัจจุบันจามกลุ่มนี้เหลือเพียงไม่ถึง 2,000 คน อยู่ที่เมืองนิงห์ถ่วง
จามอาฮิเออร์ จามที่ยังไม่ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม แต่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ไม่กินเนื้อวัว เมื่อเสียชีวิตจะทำการเผาศพ บูชาเทวดา พระศิวะ จามกลุ่มนี้ปัจจุบันอยู่ที่เมืองนิงห์ถ่วง และบินห์ถ่วง
จามเอาวัล หรือ บีนี หรือ บานี จามที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามเป็นกลุ่มแรก อาศัยอยู่ที่เมืองนิงห์ถ่วง มีทั้งสิ้น 40,000 คน แต่เป็นจามมุสลิมที่ต่างจากชาวมุสลิมทั่วโลก เพราะมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง จะนับถือศาสนาอิสลาม คู่ไปกับการนับถือบรรพบุรุษดั้งเดิม โดยพวกเขานับถือและบูชาพระอัลเลาะห์ เทวดา และบรรพบุรุษ แต่จะไม่ท่องจำคัมภีร์อัลกุรอ่าน ไม่สวด ไม่ละหมาด ไม่ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน มัสยิดจะเปิดเฉพาะในเดือนรอมฎอนเท่านั้น และไม่มีความสัมพันธ์กับมุสลิมทั่วโลก
จามอาซูแลม ได้รับอิทธิพลจากศาสนาอิสลามโดยตรง อาศัยอยู่มากที่เมืองอันยาง เมืองยางไซยอ เมืองเตยนินห์ เมืองนิงห์ถ่วง มีประมาณ 25,000 คน กลุ่มนี้ปฏิบัติตนเคร่งครัดตามหลักศาสนาอิสลาม ละหมาดวันละ 5 ครั้ง ถือศีลอดในเดือนรอมฎอน บริจาครายได้ (ซะกาต) แสวงบุญที่เมืองเมกกะ และมีความสัมพันธ์กับมุสลิมทั่วโลก
ชาวไทยเชื้อสายจาม
ชาวไทยเชื้อสายจาม เป็นชื่อเรียกกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มหนึ่งในตระกูลมาลาโย-โพลินีเชียนหรือชนชาติมลายู อาณาจักรจามอยู่ระหว่าง ญวนกับเขมร ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามเรียกกันว่าแขกจาม มีภาษาพูดที่สื่อสารกันคือ ภาษามลายู เป็นกลุ่มภาษาออสโตรนีเชียน เข้ามาในประเทศไทยด้วยสาเหตุต่างๆ
เข้ามาในช่วงหลังจากเสียกรุงวิชัย อันเป็นเมืองหลวงของจามปา
แขกจามในไทยสะสมมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ชาวจามเหล่านี้น่าจะถูกกวาดต้อนมาจากดินแดนของตัวเอง(เวียดนามปัจจุบัน)ตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แล้วตั้งถิ่นฐานอยู่ในปริมณฑลของนครธม จนเมื่อถูกเจ้าสามพระยาโจมตีจึงเริ่มถูกกวาดต้อนมาอยู่อยุธยา ในช่วงสงครามคราวเสียกรุงครั้งที่สอง ชุมชนชาวจามนี้ก็เป็นกำลังส่วนหนึ่งในการสู้รบกับการรุกรานของพม่าด้วย แต่ภายหลังการหลังเสียกรุง ชาวจามที่เหลือรอดได้เข้าสวามิภักดิ์กับพระเจ้ากรุงธนบุรี และได้ตั้งถิ่นฐานที่บ้านครัว ในรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี มีการรุกรานเขมรและกวาดต้อนครัวจามมาเพิ่มเติมที่บ้านครัวอีก
ชาวจามกลุ่มแรก มีหลักฐานปรากฏช่วงตอนต้นกรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ. 1991 จากการอพยพมาจากตอนเหนือของลาวและเวียดนาม หรือ อาจจะมาจากเกาะบอร์เนียว เข้าอยู่เมืองชุมพร ก่อนปี พ.ศ. 1997 ในแผ่นดินสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ชาวจาม เป็นทหารชั้นดี ราชสำนักอยุธยาใช้ในการรบ การเดินเรือ และการค้าทางทะเล หรือการขยายอาณานิคมของอาณาจักรอยุธยาลงทางไต้ ชาวจามเข้าตีเมืองชุมพร จากราชอาณาจักรนครศรีธรรมราชได้ จึงได้ปกครองดินแดนแทบนี้ เมืองชุมพร และเมืองไชยา (คอคอดกระ) และกวาดต้อนชาวเมืองพงสาลี และชาวเมืองแถง (เดียนเบียนฟู) เป็นพลเมือง ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และเป็นเมืองท่าค้าขายสำคัญตั้งแต่นั้นมา
ในสงคราม 9 ทัพ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้มีการเกณฑ์เชลยศึกกองทัพอาสาจามไปต่อสู้กับพม่าจนได้รับชัยชนะ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินผืนหนึ่ง เพื่อให้ทำมาหากินอยู่รวมกันเป็นหมู่นอกเขตพระนคร โดยมีต้นไม้ใหญ่เป็นแนวเขต และมีร่องน้ำลำกระโดงตามธรรมชาติไหลผ่านริมคลองมหานาคและคลองแสนแสบ คือชุมชนบ้านครัว เขตปทุมวันในปัจจุบัน
ในช่วงรัชกาลที่3 ระหว่าง พ.ศ. 2330-2394 ชาวจามหรือแขกจามที่นับถือศาสนาอิสลามได้ถูกกวาดต้อนออกมาจากกัมพูชาเข้ามาในสยาม ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ช่วงที่ญวนทำสงครามกับเขมร เข้ามาอยู่ครั้งแรกที่ ตำบลน้ำเชี่ยว แห่งเดียว
หลักฐานที่ปรากฏชัดเจนเกี่ยวกับชาวจามตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา ที่บ้านครัวเป็นแหล่งที่อยู่ ของขุนนางและทหารเรือของกรมอาสาจาม ภายใต้การนำของ พระยาราชวังสัน (บัว) ชาวบ้านครัวมีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง หญิงชาวจามมีความชำนาญในเรื่องการทอผ้าไหมมาก หญิงบ้านครัวจึงทอผ้าเป็นหัตถกรรมในระยะแรก เพราะตามประเพณีดั้งเดิมของชาวจามจะทอผ้าเอาไว้ใช้เองในครอบครัว
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
การย้อมไหมของชุมชนจามแห่งบ้านครัว
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ตัวอย่างผ้าไหมบ้านครัวที่ทำได้หลังทอเสร็จ
ในช่วงรัชกาลที่5 ได้อพยพหนีการบีบบังคับทางด้านศาสนาของฝรั่งเศสที่ยึดเมืองเขมรในขณะนั้น ในสมัยต้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่5 เรียกตัวเองว่า แขกจาม หรือ จามปา แขกจามกลุ่มนี้เดินทางด้วยเรือมาเป็นกลุ่ม ต่อมาแยกไปตั้งถิ่นฐานเป็นสามแห่ง
กลุ่มที่หนึ่ง เดินทางลัดเลาะชายฝั่งจนถึงบริเวณปากอ่าวลำคลองท่าตะเภาและปากอ่าวคลองน้ำเชี่ยว แยกเข้าสู่คลองน้ำเชี่ยว ได้แก่ชาวไทยมุสลิม ตำบลน้ำเชี่ยว อำเภอแหลมงอบในปัจจุบัน
กลุ่มที่สอง เดินทางไปจนถึงปากน้ำจังหวัดระยอง ขึ้นที่ระยอง
กลุ่มที่สาม ร่องเรือไปถึงกรุงเทพฯ กลุ่มนี้ รัชกาลที่ 5 ทรงทราบ โปรดให้จัดที่พระราชทานให้อยู่ที่บ้านครัวโดยรวมกับชาวจามที่มีอยู่แล้ว เรียกว่า กลุ่มบ้านครัว หรือ แขกบ้านครัว ในปัจจุบันนี้
ชาวมุสลิมที่เข้ามาตามลำคลองน้ำเชี่ยว ได้มาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณป่าชายเลน ซึ่งมีชาวไทยอาศัยอยู่ก่อนแล้ว ได้สร้างบ้านเรือนขึ้นง่ายๆ เมื่อสร้างที่พักแล้วได้ร่วมกันสร้างสุเหร่าเพื่อใช้ประกอบพิธีทางศาสนา โดยใช้ไม้โกงกาง มาปักเป็นเขต 4 ต้น หลังคามุงด้วยใบปรงนำมาสานเป็นตับเหมือนตับจาก มุงกันแดดกันฝน ต่อมาเมื่อตั้งหลักแหล่งแน่นอนแล้วได้ต่อเติมสุเหร่าให้มีสภาพดีขึ้นจนถึงปัจจุบัน โดยมิได้เคลื่อนย้ายจากที่ตั้งเดิมแต่อย่างใด ส่วนมุสลิมที่บ้านเนินตาแมว บ้านปลายคลอง อำเภอเมืองตราด นั้น เป็นมุสลิมที่เกิดจากการแต่งงานกับคนไทยและได้มีการย้ายข้ามศาสนากลายเป็นกลุ่มมุสลิมที่ใหญ่ขึ้น
ชาวไทยเชื้อสายจามที่มีชื่อเสียงในกองทัพรือ
หลวงปรีชาชาญสมุทร (ซอ โสตะจินดา) -- อดีตผู้บังคับการเรือรบหลวงมกุฎราชกุมาร
พระพลสิทธิ์ธวาณัฐ (แอ) -- ต้นตระกูลไอศนาวิน
หลวงสาครยุทธวิชัย -- ต้นตระกูลหัสตานนท์
หลวงสมบูรณ์ยุทธวิชา
อ้างอิง
คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ, 2542