![]() |
![]() |
ปักษิณ![]() |
...เมื่อหนุ่มเพลงยาว ทั้งคู่มองตามมือที่ชี้ของสารถีหนุ่มชาวจีนท่ามกลางความสลัวของบรรยากาศย่ำค่ำที่เริ่มมาเยือน ก็แลเห็นท้ายรถเจ๊กซุกอยู่ในพุ่มไม้...
ตอน : บทที่ 8
เมื่อหนุ่มเพลงยาวทั้งคู่มองตามมือที่ชี้ของสารถีหนุ่มชาวจีนท่ามกลางความสลัวของบรรยากาศย่ำค่ำที่เริ่มมาเยือน ก็แลเห็นท้ายรถเจ๊กซุกอยู่ในพุ่มไม้ละเมาะเล็กๆห่างออกไปไกลไม่เกินสิบก้าว สองหนุ่มไทยและหนึ่งหนุ่มจีนรีบเดินปรี่ตรงเข้าไปยังรถเจ๊กทันที ทั้งสามช่วยกันลากรถออกมาจากพุ่มไม้"คุณหนูกฤษณาของมึงคงจะถูกฉุดพาหนีลงเรือไปแล้วล่ะว่ะไอ้ถึก!" หมานหันมาบอกเพื่อนรัก
"พวกเราจะทำประการใดต่อไปดีล่ะเนี่ย?" บุญธรรมถามด้วยสีหน้าเครียดๆ
"คงต้องหาทางเอาคืนให้ได้นะซีวะ"
"นั่นสิ แต่ด้วยวิธีไหนล่ะ?"
"อั๊วคงถูกเล่นงานตายแหงแก๋ละวะทีนี้ ทั้งคุณหญิงและเถ้าแก่เนี้ย!" หนุ่มแซ่ตันเริ่มมองเห็นเงาแห่งหายนะของตัวเองที่จะต้องเผชิญกับบรรดานายจ้างทั้งสองคน ถึงกับบ่นออกมาดังๆเป็นภาษาไทย
"ลื้อไม่ต้องกลัวหรอกนะนายกุ่ย เราสองคนจะเป็นพยานให้ลื้อเองว่า พวกเราทั้งหมดถูกลอบทำร้ายจากทางด้านหลังจนสลบไปทั้งสามคน ก่อนที่คุณหนูกฤษณาจะถูกลักพาตัวไป คุณหญิงและเถ้าแก่เนี้ยของลื้อคงจะเข้าใจ และให้อภัยลื้ออย่างแน่นอน"
"ขอบคุงมาก แล้วนี่พวกเราจะตามไปช่วยคุงหลูกันไหมล่ะ?" ตันเต็งกุยพูดออกมาจากใจจริงด้วยความเป็นห่วง
"ไปสิ..พวกเราต้องตามไปช่วยเธอ ว่าแต่เออนี่..อากุ่ย ลื้อว่าลื้อจำหน้าพวกมันได้ทุกคนแน่หรือวะ?" บุญธรรมถามหนุ่มแซ่ตันพลางจ้องหน้าเขม็ง
"จำล่ายซี จำได้อย่างแม่นยำเลยเชียวแหละ" ประโยคท้ายเขาเริ่มพูดชัดขึ้นกว่าเดิม
"สองคนล่ำๆผิวคล้ำๆท่าทางทะมัดทะแมง ส่วนคนที่สามผิวขาวอมเหลือง ผอมๆหน้าเสี้ยมๆใช่ไหมหือ..อากุ่ย?"
"ฮ้อ..ถูกต้อง หน้าตาพวกอีทั้งสามคนคล้ายๆอย่างที่ลื้อพูด" ตันเต็งกุยพยักหน้ารับ
"มึงว่าใช่พวกสามคนที่เราเห็นเดินตามรถเจ๊กของอากุ่ยมาห่างๆแถวบางลำพูวันนี้ไหมวะไอ้หมาน?"
"กูว่าน่าจะใช่ว่ะ เพราะพวกมันแวบหายไปเมื่อรถเจ๊กแล่นเลยทุ่งพระเมรุมาแล้ว หลังจากนั้นกูก็ไม่เห็นพวกมันอีก" หนุ่มมะขามข้อเดียวพูดด้วยท่าทีมั่นใจ
"อืมม..คลับคล้ายคลับคลาว่าพวกมันเป็นนักเลงเกะกะอยู่แถวโรงยาฝิ่นที่นางเลิ้งนี่หว่า เออใช่..กูจำไอ้ลอยขี้ยาได้"
"นักเลงขี้ยาแถวโรงยาฝิ่นหรือ?"
"คิดว่ากูจำไม่ผิดคนแน่ แถวนี้มีโรงยาฝิ่นที่ไหนอีกวะ?"
"เท่าที่รู้ก็เห็นจะมีที่ในคลองบางหลวงหลังวัดกัลยาณมิตรฝั่งธนบุรีแห่งหนึ่งล่ะ"
"ถ้าอย่างนั้นพวกเราอาจจะต้องหาคนที่ชำนาญเรื่องโรงยาฝิ่นแถวฝั่งธนบุรีมาช่วยอีกแรงแล้วว่ะ..ไอ้เกลอ ลำพังพวกเราคงจะยากที่จะตามหาเจอ"
"จะไปตามหาใครมาช่วยดีล่ะวะ?"
"คนที่กว้างขวางแถวบางลำพูมีถมไป คงจะมีสักคนแหละน่าที่พอจะไหว้วานได้บ้าง"
"กูเกรงว่าจะไม่ทันการนะซี เพราะกว่าจะเดินทางไปกลับจากท่าเตียนถึงบางลำพูและกว่าจะหาคนมาช่วยได้ก็คงจะเสียเวลาไปอีกเกือบสองชั่วยาม กูว่าพวกเราสามคนรีบตามไปกันเดี๋ยวนี้เลยจะดีกว่า" หนุ่มหมานออกความเห็น
"เออ..ดีเหมือนกัน เพราะขืนชักช้าไปคงจะเสียการอย่างมึงว่า ไป..อากุ่ย พวกเรารีบไปหาเรือแถวนี้ออกตามกันเถอะว่ะ"
ทั้งสามคนพากันเดินเลาะริมแม่น้ำเจ้าพระยามายังท่าน้ำท่าเตียนซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปนัก พบเรือแจวตกกุ้งลำหนึ่งกำลังลอยลำอยู่ริมตลิ่งจึงเอ่ยปากเรียก
"น้าจ๋าน้า ช่วยเหเรือมาทางนี้หน่อยได้ไหมจ๊ะ?" หมานป้องปากตะโกนเรียก
"มีเรื่องอันใดหรือ?"
"พวกเราจะจ้างให้น้าช่วยพาข้ามฟากไปฝั่งขะโน้น มีธุระด่วนมาก"
"จะไปที่ใดกันล่ะ?"
"แถวโรงยาฝิ่นในคลองบางหลวง ช่วยพาไปหน่อยได้ไหมจ๊ะ?"
"ก็พอได้อยู่ ถ้าหากว่าพวกท่านจะให้ค่าจ้างเป็นที่น่าพอใจ พอคุ้มกับการเสียเวลาตกกุ้งในคืนนี้ของฉัน"
"เรื่องอัฐฬสนั้นไม่ต้องห่วง พวกเรายินดีจ่ายให้สมราคากับค่าเสียเวลาของน้า เอาเป็นว่า พวกเราเหมาเรือของน้าคืนนี้ทั้งคืนเลยก็แล้วกัน จะคิดเท่าไหร่ก็บอกมาได้เลย เราไม่เกี่ยงอยู่แล้ว ขอให้พาพวกเราไปให้ทันการก็แล้วกัน" บุญธรรมเอ่ยปากบอกอย่างที่ใจคิดโดยไม่ลังเล
"การอันใดฤา?"
"น้องสาวของเราถูกลักพาตัวไปเมื่อตอนเย็นวันนี้เอง จะไปสืบตามหาดูแถวโรงยาฝิ่น"
"ทำไมคิดว่าพวกมันจะไปแถวโรงยาฝิ่นล่ะ?"
"พวกมันลอบทำร้ายเราข้างหลังจนสลบหมดทั้งสามคนที่ริมถนนนอกประตูวิเศษไชยศรี จำได้ว่าหนึ่งในพวกมันเป็นนักเลงมาจากโรงยาฝิ่นแถวนางเลิ้ง คาดว่าคงจะพาหนีหลบไปหาพวกเดียวกันที่โรงยาฝิ่นแถวคลองบางหลวงนี่แน่ๆ"
"มันเสี่ยงอยู่นา..แต่เอาเถอะ เรื่องฉุดคร่าลักพาตัวผู้หญิงที่เขาไม่รักเนี่ย ข้าก็ไม่ค่อยจะชอบเหมือนกัน แถวนั้นข้าพอรู้จักดี ไปสิ..มาเร็วรีบขึ้นเรือไปด้วยกัน"
กล่าวจบชายตกกุ้งผู้นั้นก็ตวัดแจววาดหัวเรือเข้าหาฝั่ง เทียบเรือขนานกับท่าน้ำท่าเตียน ทันทีที่ชายหนุ่มต่างสัญชาติทั้งสามคนก้าวขึ้นเรือเรียบร้อย เจ้าของเรือก็รีบออกเรือในขณะเดียวกันก็เอ่ยปากถามหนุ่มทั้งสามว่า
"เรื่องเกิดขึ้นนานหรือยังล่ะ?"
"พวกเราถูกตีสลบตั้งแต่บ่าย เพิ่งจะฟื้นเมื่อตอนย่ำค่ำนี่เอง ออกตามพบรถเจ๊กจอดอยู่ริมตลิ่งและมีรอยย่ำลงเรือ จึงคิดว่าน่าจะไปที่ใดสักแห่งทางฝั่งธนบุรี"
"งั้นรึ..คิดว่าคงจะพอติดตามร่องรอยได้อยู่เหมือนกัน เอ้อ..มีพายอยู่สองอันที่ด้านหัวเรือ เอาออกมาช่วยกันจ้ำหน่อย อีกไม่นานก็คงจะถึง"
"ขอบคุณมากครับน้า นี่ไอ้หมานเอาไปอันหนึ่ง มะ..พวกเรามาช่วยกันพาย" บุญธรรมพูดพลางยื่นพายส่งให้เพื่อนเกลอ
"แล้วนี่ พวกพ่อหนุ่มมีอาวุธติดตัวกันมาบ้างหรือเปล่าล่ะเนี่ยหือ?" เจ้าของเรือซึ่งเป็นชายกลางคนเอ่ยถามขึ้นลอยๆ
"พวกเราไม่ได้ตั้งใจที่จะต้องมาประสบกับเรื่องร้ายๆอย่างนี้ เลยไม่ได้เตรียมสิ่งใดมาสักอย่าง แต่พวกเราก็พร้อมที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ทุกอย่างโดยไม่ลังเล วานท่านน้าอย่ากลัวว่าพวกเราจะถอดใจหนีง่ายๆเลยครับ"
"เอ..ถ้าอย่างนั้นก็เอ้า..นี่ไม้คมแฝกหนึ่งและไม้ตะพดอีกสองอัน ส่วนนี่ดาบของข้า..ข้าเตรียมพร้อมอยู่เสมอ"
ชายกลางคนเจ้าของเรือพูดคล้ายกับจะรู้ใจและเข้าใจในสถานการณ์ได้ดี พร้อมกับหยิบอาวุธจากท้ายเรือยื่นส่งให้พวกเขา พลางชูอาวุธประจำกายให้เห็นเงาของคมดาบสะท้อนแสงไฟริมตลิ่งอยู่วิบวับ
"พวกเราไม่รู้จะขอบคุณยังไงที่มาพบผู้คนที่มีใจเป็นธรรมอย่างท่านน้า" บุญธรรมเอื้อมมือออกไปรับอาวุธพร้อมกับกระพุ่มมือไหว้ ทำให้อีกสองหนุ่มพากันทำตามอย่างพร้อมเพรียง
"ชีวิตคนเราเกิดมาทั้งที อย่าให้เสียชาติเกิด ควรทำในสิ่งที่เห็นว่าถูกต้องเสมอ จึงจะเรียกว่าคนนั้นเป็นคน"
"ขอโทษเถิดน้า ช่วยบอกชื่อเสียงเรียงนามให้พวกข้าได้รู้จักหน่อยจะได้ไหมครับ?"
หนุ่มหมานเอ่ยถามด้วยวาจานอบน้อม เหตุที่ซึ้งในน้ำใจชายผู้อาวุโสกว่า ก็ด้วยว่ากิริยาท่าทางและคำพูดเหล่านั้นช่างประทับใจเจ้าหนุ่มแห่งบางลำพูยิ่งนัก ทั้งๆที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่ทันถึงชั่วยาม
"ข้าชื่อเล่"
"ชื่อเล่..น้าเล่ตกกุ้งอยู่แถวนี้ทุกวันหรือ?"
"อืมม..ก็ตกกุ้งบ้างหาปลาบ้างไปตามประสา เอาแน่ไม่ค่อยจะได้ ข้าทำงานหลายอย่างว่ะ บังเอิญวันนี้ว่างก็เลยลองมาหาตกกุ้งแถวนี้ดู แต่ถ้าจะให้ดี ข้าว่าพวกเอ็งเรียกสรรพนามข้าว่าพี่เล่ดูจะเข้าท่ากว่าว่ะ เพราะคะเนเอาว่า ข้าคงแก่กว่าพวกเอ็งไม่ถึงสิบปีแน่"
"ตกลงครับ..พี่เล่"
"เออ..ยังงี้ค่อยฟังดูใกล้เคียงกันเข้าไปอีกนิด ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า" ชายตกกุ้งที่ชื่อเล่หัวเราะลงลูกคอร่วนด้วยความพึงพอใจ
"บ้านพี่เล่อยู่แถวนี้หรือครับ?" บุญธรรมเอ่ยถามขณะที่กำลังออกแรงพายเรือจ้ำพรวดๆด้วยความร้อนใจ
"บ้านข้าอยู่ที่แถวสะพานเหล็กโน่น แต่ข้าก็เที่ยวตระเวนไปทั่วพระนครนั่นแหละ แล้วแต่ว่าใจจะพาไป ข้ามันชอบคบคนไปทั่ว มีเพื่อนเยอะ รู้จักคนเยอะจะได้ไม่ตกอับง่ายๆ ว่าแต่พวกเอ็งเถอะ มาจากไหนกันล่ะ?"
"พวกเราอยู่บางลำพูแค่นี้เองแหละจ้ะ"
"ข้าเองก็มีเพื่อนอยู่บางลำพูหลายคนเหมือนกัน เอาไว้วันหลังข้าไปแถวนั้นจะแวะเลยไปหาพวกเอ็งด้วย ถ้าหากว่าเหตุการณ์วันนี้ผ่านไปด้วยดีนะ"
"ขอบคุณครับพี่เล่ที่ยอมรับพวกเราเป็นเพื่อน"
"คนเราคบหากันไว้ไม่เสียหลาย วันหนึ่งข้างหน้าข้าอาจจะไปพึ่งพาพวกเอ็งบ้างก็ได้ ใครจะไปรู้อนาคตได้วะ จริงไหม?"
"จริงครับ ข้อนี้พี่เล่พูดถูกใจข้าจริงๆ"
"เออ..ข้าสงสัยอยู่นิดหนึ่งว่าไอ้คนนั่งกลางทำไมมันถึงไม่ยอมพูดจาบ้างเลยวะ เป็นใบ้หรือ?"
"อ๋อ..นายคนนี้เขาเป็นคนจีนน่ะพี่เล่"
"คนจีนรึ?"
"ใช่เป็นคนลากรถเจ๊กที่พาน้องสาวพวกเรามาเรียนการบ้านการเรือนที่ในวังพระตำหนักสวนกุหลาบ และก็เอ้อ..ถูกพวกมันลอบทำร้ายจนสลบไปพร้อมกับเราสองคน เพื่อดักชิงฉุดพาเอาเธอหนีไป เขาเลยอาสาออกมาตามหากับพวกเราด้วย"
"อืมม..มีน้ำใจใช้ได้ เฮ้..อาตี๋ลื้อชื่ออะไรวะ พูดไทยได้หรือเปล่า?"
"พูดล่ายครับ ผมชื่อเต็งกุย แซ่ตัน เรียกผมว่าอากุ่ยก็ได้ครับ" นับว่าการพูดภาษาไทยของตันเต็งกุยพัฒนาไปมากเมื่อเกิดเหตุการณ์คับขันขึ้นเช่นนี้
"เต็งกุย แซ่ตัน..อากุ่ย เอาวะ เรียกชื่อลื้อว่าอากุ่ยก็ได้ง่ายดี"
"ขอบคุณครับ พี่เล่"
"แล้วผู้หญิงที่ว่าเป็นน้องสาวของพวกเอ็งชื่ออะไร และเป็นลูกเต้าเหล่าใครกันล่ะวะ พอจะบอกข้าบ้างได้ไหม?"
"ชื่อกฤษณา เป็นลูกสาวพระยาประดิษฐานาเวศน์ครับพี่เล่"
"พระยาประดิษฐานาเวศน์ที่เอ็งว่าเนี่ย บ้านอยู่แถวคลองสามเสนใช่ไหมวะ?"
"ถูกต้องแล้วครับ พระยาประดิษฐ์ฯคนเดียวกันนั่นแหละ"
"ฉิบหายล่ะสิ เป็นถึงลูกสาวพระน้ำพระยาเสียด้วย งั้นพวกเราเห็นที่จะต้องระมัดระวังตัวเพิ่มขึ้นอีกหน่อยแล้วว่ะ"
"ทำไมหรือครับ?" บุญธรรมเอ่ยถามด้วยความฉงน
"อ้าว ก็พวกนักเลงที่มันกล้าถึงกับฉุดคร่าลูกสาวพระยาซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทเนี่ย มันน่าจะไม่ใช่พวกนักเลงกระจอกธรรมดานะสิโว้ย"
"พี่เล่คิดว่าพวกมันเป็นใครกันหรือ?"
"ก็คงจะเป็นบุคคลที่คิดว่าตัวมันเองนั้นเป็นนักเลงโตคนหนึ่ง มีอิทธิพลกว้างขวาง ไม่เกรงบารมีพระยาประดิษฐ์ฯนะซีวะ"
"ใครกันหนอ..ที่บังอาจกระทำการเยี่ยงนี้ได้?" บุญธรรมเจ้าหนุ่มเพลงยาวรำพึงพอให้ได้ยินกันทั่วลำเรือที่กำลังเร่งฝีพายอย่างเต็มที่
"แต่จะเป็นใครนั้น เอาไว้ให้เจอเจ้าตัว แล้วพวกเราก็จะรู้เองนั่นแหละ"