![]() |
![]() |
ปักษิณ![]() |
...ขณะที่ หนุ่มบุญธรรมและหนุ่มหมานกำลังหันหลังกลับ ทำท่าจะก้าวผละออกเดินจากตันเต็งกุยสารถีลากรถเจ๊กไปนั้น เขาทั้งสองก็รู้สึกตัวว่ามีเงาวูบมาจาก...
ตอน : บทที่ 7
ขณะที่หนุ่มบุญธรรมและหนุ่มหมานกำลังหันหลังกลับ ทำท่าจะก้าวผละออกเดินจากตันเต็งกุยสารถีลากรถเจ๊กไปนั้น เขาทั้งสองก็รู้สึกตัวว่ามีเงาวูบมาจากทางด้านหลังผลัวะ..!
ผลัวะ..!
เสียงไม้คมแฝกแหวกอากาศฟาดเข้ากกหูตรงทัดดอกไม้ของคนทั้งสองในเวลาไล่เลี่ยชนิดเกือบจะพร้อมกันอย่างถนัดถนี่ ร่างของหนุ่มเพลงยาวทั้งคู่เซถลาไปข้างหน้าอย่างไม่เป็นท่า ต่างพากันสิ้นสติสมประดีโดยไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัวว่าโดนอะไรเข้าไป
ตันเต็งกุยตกตะลึงในเหตุการณ์ที่กำลังบังเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา เขาจำได้ทันทีอย่างแม่นยำว่าเป็นชายแปลกหน้าสามคน ซึ่งหลายวันมานี่ได้เพียรด้อมๆมองๆอยู่แถวบริเวณหน้าบ้านพระยาประดิษฐานาเวศน์ที่เขาคอยรับส่งคนในบ้านอยู่เป็นประจำ ซ้ำบางคราวยังสะกดรอยคอยติดตามเขาไปยังสถานที่ต่างๆอีกด้วย
หากทว่าแต่ก่อนที่หนุ่มรถเจ๊กจะทันได้เตรียมเนื้อเตรียมตัวต้อนรับกับสถานการณ์ประการใดดี ชายหนุ่มฉกรรจ์คนที่สามก็ปราดเข้าประชิดตัวกระแทกหมัดซ้ายเข้าที่พุงกะทิของตันเต็งกุยเสียงดังอัดแน่น
บึ้ก..!
อันเป็นเหตุทำให้เจ้าหนุ่มคนลากรถเจ๊กถึงกับตัวงอเข้าหา จังหวะนั้นเองเข่าขวาของชายคนนั้นก็อัดขึ้นกระแทกกระโดงคางของตันเต็งกุยอีกคำรบหนึ่ง
พล้อก..!
คราวนี้หนุ่มแซ่ตันถึงกับหมดสติตามไปด้วยอีกคนหนึ่ง
เมื่อกฤษณาเดินกลับออกมาถึงรถเจ๊กตอนบ่ายวันนั้น หญิงสาวรู้สึกแปลกใจที่มองไม่เห็นร่างของตันเต็งกุย เธอพบเพียงชายหนุ่มแปลกหน้าสองคนยืนอยู่ข้างรถเจ๊ก โดยมีเจ๊กลากรถคนใหม่สวมหมวกกุยเล้ยยืนสงบเสงี่ยมแสดงท่าทีกระตือรือร้นเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง
"คนลากรถเจ๊กคนเก่าถูกตามตัวกลับบ้านเจ้าสัวลิ้มด่วน โดยอาซ้อใหญ่ได้ส่งคนลากรถเจ๊กคนใหม่มาแทน พวกเราจะคอยคุ้มกันตามไปส่งคุณหนูให้จนถึงบ้านครับ คุณหนู..เชิญขอรับ" ชายคนที่ยืนอยู่ใกล้เอ่ยปากบอกหญิงสาวด้วยท่าทีเรียบร้อยน่าเชื่อถือ
กฤษณาทำสีหน้างุนงงต่อคำบอกเล่า หญิงสาวประหลาดใจอยู่นิดหนึ่งว่า น่าจะมีคนที่เธอรู้จักคุ้นเคยหรืออย่างน้อยก็คนในบ้านของเธอเองมายืนรอรับอยู่ด้วย หากทว่าเธอก็ไม่ได้แสดงกิริยาท่าทางสิ่งใดออกมาให้ปรากฏต่อหน้าอีกฝ่าย เธอเดินก้าวขึ้นนั่งบนรถลากด้วยใบหน้าเรียบเฉย ดังเช่นที่เคยปฏิบัติอยู่เป็นกิจวัตรประจำวัน
เมื่อรถลากแล่นตามทางมาได้สักพัก หญิงสาวก็นึกเอะใจที่เส้นทางของรถไม่ได้แล่นกลับไปทางบ้านของเธอ แต่กฤษณาก็มิได้พูดประการใดเพียงแค่ชำเลืองสายตาไปยังใบหน้าของหนุ่มที่อ้างตัวอาสาเป็นองครักษ์ทั้งสองซึ่งปรากฏว่าคนทั้งคู่กำลังเดินอย่างรีบเร่งขนาบสองข้างของรถเจ๊ก ต่อเมื่อรถเจ๊กแล่นมาถึงที่เปลี่ยวปลอดคน ชายทั้งสองคนก็บอกคนลากรถเจ๊กให้หยุด
"เฮ้ย..หยุดตรงนี้โว้ยอ้ายลอย!"
กว่าที่กฤษณาจะหายเคลือบแคลงสงสัยว่าคนลากรถเจ๊กที่เป็นคนจีนทำไมจึงชื่อลอยเหมือนคนไทย รถลากก็พลันหยุดกึกลงทันที หนึ่งในชายหนุ่มที่อ้างตัวอาสาเป็นองครักษ์ด้านซ้ายก็เอื้อมมือมากระชากร่างอันบอบบางของหญิงสาวให้ลงจากรถด้วยท่าทีอันแข็งกร้าว และก่อนที่เธอจะรู้ตัวว่ากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายก็ปรากฏว่ามีมือเอาผ้ามาคลุมใบหน้าเธอจนมิดศีรษะ ครั้นเมื่อเธอส่งเสียงร้องเอะอะ บุคคลทั้งสองก็ช่วยกันเอาผ้าอุดปากของเธอจนแทบหายใจไม่ออก
"อย่าขัดขืนเลยสาวน้อย รอประเดี๋ยวอีกสักพักเดียวเธอก็จะสบายแล้ว" เสียงหนึ่งในสองคนพูดกรอกหูอยู่ใกล้ๆใบหน้าของเธอพร้อมเสียงหัวเราะหึๆในลำคอ
หญิงสาวทำเสียงอึกอักๆเพราะมองอะไรไม่เห็น เธอตกตะลึงและดิ้นรนที่จะพยายามพาตัวเองให้พ้นจากสิ่งพันธนาการ แต่มือและเท้าทั้งสองของเธอก็ถูกมัดจนแน่น ต่อมาหญิงสาวก็รู้สึกตัวว่าร่างของเธอกำลังถูกแบกอยู่บนบ่าของใครคนหนึ่ง เธอรู้สึกว่าถูกพาก้าวเดินอย่างรวดเร็วลงไปในสถานที่อะไรสักอย่างที่กำลังโคลงเคลงไม่อยู่นิ่ง ซึ่งกฤษณาคิดว่าน่าจะเป็นเรือ เธอพยายามดิ้นอย่างแรงเป็นครั้งสุดท้ายจนเรือโคลงยวบยาบ กำปั้นของใครคนหนึ่งก็ทุบลงที่ท้องของเธอจนจุก ทำให้หญิงสาวถึงกับหายใจติดขัด และในที่สุดเธอก็สิ้นสติสัมปชัญญะเป็นลมแน่นิ่งไป
เวลาบ่ายแก่ๆในวันเดียวกันนั้นเอง ณ บ้านประดิษฐานาเวศน์ คุณหญิงเจือกำลังต้อนรับขับสู้กับแขกผู้มาเยือนด้วยท่าทียิ้มย่องผ่องใส ส่วนพระยาประดิษฐานาเวศน์ผู้เป็นสามีของท่านก็บังเอิญอยู่ในช่วงเวลาไปราชการหัวเมืองต่างจังหวัดจึงมิได้อยู่ต้อนรับแขกเหรื่อด้วย แขกคนสำคัญดังกล่าวก็คือขุนจำนงสัจจานนท์เจ้าของโรงยาฝิ่นผู้โด่งดังแห่งนางเลิ้งและบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนที่มีชื่อว่านายสายชลนั่นเอง
"ที่กระผมพานายสายชลลูกชายของกระผมมาพบกับคุณหญิงในวันนี้ ก็เพราะว่านายสายชลเขาอยากรู้จักมักจี่กับคุณหนูกฤษณาเอาไว้ เผื่อว่าจะได้คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันในวันข้างหน้า เพราะเจ้าลูกชายผมคนนี้ เขาเป็นคนกว้างขวางในพระนคร รู้จักคนเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าจะเป็นบุคคลระดับใดก็ตาม" ขุนจำนงสัจจานนท์ยิ้มแย้มอย่างเปิดเผยในขณะที่กล่าวอวดสรรพคุณของบุตรชาย
"บังเอิญแม่กฤษณาเขาเข้าไปเรียนการบ้านการเรือนกับคุณท้าวที่ข้างในวังหลวงยังไม่กลับ ถ้าท่านขุนและพ่อสายชลจะรอสักครู่ก็จะดี จะได้พบหน้าค่าตาทำความรู้จักกันไว้ไม่เสียหลาย"
"โอ้โห..ลูกสาวคุณหญิงน่ารักน่านับถือและน่าเอาอย่างจริงๆครับ เป็นถึงลูกสาวพระยายังมีมานะอุตส่าห์เดินทางเข้าไปเรียนการบ้านการเรือนถึงในวังหลวง มิน่าล่ะ..เจ้าสายชลลูกชายผมมันถึงได้กระตือรือร้นอยากจะรู้จักกับคุณหนูกฤษณาเสียเหลือเกิน"
"นี่พ่อสายชลเคยพบเห็นแม่กฤษณาที่ใดหรือ ถึงได้อยากรู้จักน่ะ?" คุณหญิงเจือหันมาถามหนุ่มสายชลที่แอบนั่งทำท่าทีกระลิ้มกระเหลี่ยด้วยความคับข้องใจ
"เอ้อ..คือว่าวันหนึ่งเจ้าสายชลลูกชายของกระผมเดินทางไปทำธุระผ่านมาทางนี้ในตอนเช้า เห็นธิดาของคุณหญิงกำลังใส่บาตรอยู่กับพวกบ่าวไพร่น่ะครับ เขาก็เลยสนใจในกิริยามารยาท สืบทราบว่าเป็นธิดาคนเดียวของท่านพระยาประดิษฐานาเวศน์ก็รู้สึกว่าคงจะเป็นบุญวาสนา คราวที่แล้วกระผมเองก็เลยส่งแม่สื่อมาลองทาบทามกับคุณหญิง แต่ก็ถูกปฏิเสธไป จึงคิดว่าคราวนี้ได้มีโอกาสนัดหมายให้มาพบเห็นหน้าค่าตากันน่าจะดีกว่า จะได้รู้จักมักจี่กันเอาไว้ เผื่อจะถูกชะตากันบ้าง" ขุนจำนงสัจจานนท์รีบเอ่ยตอบแทนบุตรชาย เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวกำลังแสดงท่าทีอึกอักไม่สะดวกใจที่จะตอบคำถามคุณหญิงเจือตรงๆ
"สำหรับกรณีเกี่ยวกับเรื่องนี้ การที่เขาจะคบหากันได้ยืดยาวต่อไปหรือไม่นั้นก็ต้องแล้วแต่เจ้าตัวเขาเอง ดิฉันไม่อาจตอบได้หรอกนะ อีกอย่างลูกสาวของดิฉันคนนี้ก็ได้รับการอบรมมาดี ชอบใครหรือไม่ชอบใคร ก็บอกให้รู้กันตรงๆไม่อ้อมค้อม คราวที่แล้วเขายังไม่อยากออกเรือนไปจากพ่อแม่ก็เลยปฏิเสธไปตามตรง ทางดิฉันก็บอกคุณหญิงนวลแม่สื่อคนที่ท่านขุนให้มาทาบทามว่าไม่พร้อมก็เท่านั้นเอง ส่วนคราวนี้ก็เช่นเดียวกัน ดิฉันเป็นคนที่ชอบปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ผูกอู่ตามใจผู้นอนตามคำโบราณ ก็ต้องแล้วแต่ความสมัครใจของตัวลูกสาวเขาในการที่จะตัดสินใจเอาเองก็แล้วกัน"
"คุณหญิงเจือพูดจาตรงไปตรงมาแบบนี้ผมชอบ เพราะจะได้ไม่กระทบกระเทือนจิตใจกันในภายหลัง แล้วเมื่อไหร่คุณหนูกฤษณาจึงจะกลับมามาจากในวังหลวงล่ะครับคุณหญิง?"
"ดิฉันคิดว่านี่ก็คงจวนจะได้เวลาที่ลูกกฤษณาเดินทางกลับมาถึงบ้านแล้วล่ะค่ะ เพราะดิฉันได้บอกเธอไว้ก่อนเข้าวังไปแล้วว่าจะมีแขกมาพบในตอนบ่ายวันนี้"
"เมื่อทราบอย่างนี้ ผมก็สบายใจที่คุณหญิงและหนูกฤษณาไม่รังเกียจที่จะพบคบหากับพวกเรา คราวนี้นายสายชลคงจะดีใจจนเนื้อเต้น ใช่ไหมล่ะลูกพ่อ?"
"ครับคุณพ่อ" สายชลตอบบิดาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับหันหน้ามากล่าวกับคุณหญิงเจือเจ้าของบ้านว่า "กระผมมีความยินดีที่จะรอพบคุณกฤษณาครับคุณป้า"
"ดีพ่อหลานชาย แต่ก็อย่างที่ป้าพูดไปแล้วนั่นแหละว่าต้องแล้วแต่เจ้าตัวเขาตัดสินใจ ป้าไม่บังคับจิตใจให้เขาลำบากใจหรอกนะ"
"ไม่ต้องกังวลในข้อนั้นหรอกครับคุณหญิง พวกเราพร้อมที่จะเผชิญกับความเป็นจริง โดยจะยอมรับทุกกรณีไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาในรูปใด"
"ดิฉันดีใจที่ได้ยินท่านขุนพูดออกมาจากใจอย่างนั้น ขอบคุณมากค่ะที่เข้าใจ"
คุณหญิงเจือพูดคุยถ่วงเวลาอยู่กับแขกคนสำคัญทั้งสองตั้งแต่บ่ายจนเย็น ก็ยังไม่เห็นวี่แววของธิดาสาวจะเดินทางกลับมาบ้านเลย ด้วยความเป็นห่วงธิดาคนเดียวของท่าน คุณหญิงเจือได้บอกให้แม่เนื่องและนางลำเจียกออกไปยืนคอยอยู่ที่หน้าประตูด้วยความกระวนกระวายใจ คนทั้งคู่ต่างก็พากันยืนกระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลา
ฝ่ายขุนจำนงสัจจานนท์หลังจากที่พูดคุยกับเจ้าของบ้านรอหญิงสาวอยู่นาน ครั้นเห็นว่าเกินเวลาที่จะรอเพราะเย็นมากแล้ว ตามความคิดของเขาเกรงว่าคุณหญิงเจือคงไม่กล้าบอกความจริงว่า ธิดาสาวของคุณหญิงคงรังเกียจที่จะพบคบหาสมาคมกับสายชลลูกชายนักเลงหัวไม้ของตัวเอง เขาจึงเอ่ยปากชักชวนลูกชายบอกลาเจ้าของบ้านด้วยความไม่ค่อยสบายใจ โดยทั้งสองพ่อลูกได้รีบเดินทางกลับออกไปทันที
ตันเต็งกุยค่อยๆเผยอเปลือกตาขึ้นด้วยความสะลึมสะลือ หนุ่มจีนเหลือบสายตามองไปรอบๆอย่างงุนงง เขาแลเห็นร่างของสองหนุ่มเพลงยาวแห่งบางลำพูนอนสลบไศลไม่ได้สติฟุบอยู่ที่โคนต้นโพธิ์ใหญ่ซึ่งยืนต้นตระหง่านอยู่ห่างไกลบ้านคน แถมรอบๆสถานที่นั้นก็ค่อนข้างรกชัฏ แม้จะอยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำเจ้าพระยาก็ตามที หากทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบสงบเพราะเป็นเวลาโพล้เพล้ย่ำค่ำเข้าไปแล้ว เมื่อหนุ่มคนลากรถฟื้นคืนสติและจำได้ลางเลือนถึงภาพของสองหนุ่มที่ถูกฟาดหัวโดยสองนักเลงลอบกัด และตัวของเขาเองก็ถูกทำร้ายจนสลบโดยไม่ทันได้ระวังตัวจากชายหนุ่มนักเลงคนที่สามเช่นเดียวกัน
แวบแรกที่ได้สติกลับคืนมา เขาก็นึกถึงคุณหนูกฤษณาผู้โดยสารผู้เปรียบเสมือนเจ้านายโดยตรงของเขา ซึ่งเขามีหน้าที่รับผิดชอบรับส่งด้วยความกังวลใจและเป็นห่วงเป็นใยในสวัสดิภาพของเธอ เพราะรถลากประจำตัวของเขาก็พลอยหายไปด้วย
หนุ่มจีนคนลากรถผลุดลุกขึ้นเดินไปที่ใต้โคนต้นโพธิ์ใหญ่พร้อมกับกรากเข้าไปเขย่าตัวเพื่อปลุกชายหนุ่มเพลงยาวทั้งสองให้ฟื้นคืนสติ ซึ่งก็ใช้เวลาอยู่ถึงครู่ใหญ่กว่าที่จะทำให้บุคคลทั้งคู่รู้สึกตัว
"ตื่นล่ายเลี้ยว..ไอ๊หย่า..ถูกตีจนหัวเลือดออกทั้งสองคนเลยนี่หว่า!" จีนหนุ่มตกใจที่เห็นเลือดติดศีรษะแห้งกรังทั้งสองคน ซึ่งปรากฏให้เห็นท่ามกลางแสงสีทองสุดท้ายของดวงตะวันก่อนที่จะลับทิวไม้ที่สาดส่องกระทบผ่านมาจากฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา
"พวกเราอยู่ที่ไหนกันวะเนี่ย?" หมานคือหนุ่มคนแรกที่ฟื้นเอ่ยถามขึ้นอย่างงัวเงีย
"ลื้อถูกตีจนสลบทั้งสองคนและถูกลากมาไว้ที่ต้นโพธิ์ใหญ่นี่"
"อ้าวแล้วลื้อตามมาได้ยังไงกันวะนายกุ่ย?"
"อั๊วก็ถูกทำร้ายจนสลบและถูกพามาไว้ที่นี่เหมือนพวกลื้อนั่นแหละ แต่อั๊วฟื้นก่อน..ถึงได้มาปลุกพวกลื้อสองคนยังไงล่ะ" ความตื่นเต้นทำให้ตันเต็งกุยเจรจาภาษาไทยคล่องและสะดวกปากขึ้นเยอะจนแทบไม่มีเพี้ยนเลย
"ลื้อรู้ไหมว่าใครกันที่ทำร้ายพวกเรา?" เสียงของถึกหรือหนุ่มบุญธรรมเอ่ยถามเมื่อเริ่มรู้สึกตัวเป็นคนสุดท้าย
"อั๊วจำหน้าล่ายว่าพวกอีสามคนชอบป้วนเปี้ยนอยู่แถวหน้าบ้านคุงหลูกิกซาหนาเป็นประจำ พวกมันยังเคยแอบตามรถอั๊วมาบ่อยๆเลยล่วย"
"ถ้าอย่างนั้นพวกมันก็คงไม่ได้ประสงค์ดีกับคนในบ้านพระยาประดิษฐ์ฯอย่างแน่นอน คงจะไม่ใช่หวังจะทำร้ายพวกเราสามคนเพียงเท่านั้นหรอกนะ"
"มึงคิดอย่างนั้นหรือไอ้ถึก?" หมานเอ่ยถามด้วยสีหน้าแสดงความฉงน
"เออซีวะ เพราะถ้ามันทำร้ายเราเพียงสองคน นายกุ่ยเขาก็คงไม่พลอยโดนลูกหลงไปด้วยหรอกจริงไหมวะ?"
"เออ..ท่าจะจริงแฮะ..นอกจากนี้มึงยังสงสัยอะไรอย่างอื่นอีกไหม?"
"อ๋อ..มีสิ กูสงสัยว่าทำไมพวกมันถึงต้องลงมือที่หลังวังนี่ด้วยล่ะวะไอ้หมาน?"
"อืมม..ถูกของมึงไอ้ถึก แล้วนี่คุณหนูกฤษณาของนายกุ่ยหายไปไหนแล้วล่ะ?" ประโยคหลังหมานหันไปถามสารถีลากรถเจ๊ก
"อั๊วก็ไม่รู้เหมือนกัน อั๊วฟื้นมาก่อนพวกลื้อสองคนแป๊บเดียวเอง" หนุ่มจีนส่ายหน้า
"หรือว่าพวกมันมาคอยดักฉุดคุณกฤษณา?" บุญธรรมพูดพลางทำตาโตด้วยความรู้สึกตกใจระคนกับความกังวลลึกๆอยู่ภายใน
"ฉุดไปทำรายกันวะ?" ตันเต็งกุยซักด้วยความตกตะลึง
"ส่วนมากพวกนักเลงคนไทยเขาชอบฉุดผู้หญิงเอาไปทำเมียนะซีวะ" หมานตอบโพล่งขึ้นทันควัน
"ฉุดเอาไปทำเมีย ไอ๊หย่า ตายเลี้ยว คุงหลูกิกซาหนาคนสวยของอั๊ว!"
"ถ้าจะให้ดี กูว่าพวกเรารีบสะกดรอยตามรอยรถเจ๊กไปดีกว่าว่ะ เผื่อว่าจะมีโอกาสได้ร่องรอยสิ่งหนึ่งสิ่งใดบ้าง" บุญธรรมเอ่ยให้สติผู้ร่วมอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
"ไปสิ แต่เราจะเริ่มต้นจากที่ไหนกันดีล่ะ?"
"เริ่มจากหน้าประตูวิเศษไชยศรี..ท้ายวังที่รถเจ๊กจอดรอเธออยู่นะซีวะ รีบไปกันเถอะจวนจะมืดอยู่แล้ว"
"ไปโลดไอ้เกลอ มาสิ..นายกุ่ยเราไปด้วยกันหมดทั้งสามคนนี่แหละ"
"ฮ้อ..ดีสิ อั๊วจะได้ตามรถของอั๊วคืนด้วย"
เมื่อทั้งสามหนุ่มต่างสัญชาติได้เริ่มสะกดรอยตามรอยบดของล้อรถเจ๊กที่ลากไปตามทางอันรกร้าง ปรากฏว่าเป็นทางซึ่งไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรสักเท่าไหร่ เดินไปได้สักครู่ใหญ่ก็มาสิ้นสุดเอาที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา มีร่องรอยท่าเรือเล็กๆอยู่หน้าระเบียงเก่าซอมซ่อของท่าน้ำริมตลิ่ง ภายหลังจากเหลียวมองไปรอบๆบริเวณที่ปรากฏว่ามีสุมทุมพุ่มไม้อยู่เป็นระยะๆ ฉับพลันตันเต็งกุยก็ชี้มือพร้อมกับอุทานเสียงหลงด้วยความดีใจ
"รถลากของอั๊วอยู่โน่น!"