![]() |
![]() |
ปักษิณ![]() |
...สองเดือน ต่อมา งานรับจ้างเป็นสารถีลากรถให้คนในบ้านเจ้านายใหญ่โตโดยเฉพาะลูกหลานเจ้านายหรือตัวเจ้านายเองในสมัยก่อนนั่งนั้นไม่ใช่ของที่ใครจะทำก...
ตอน : บทที่ 4
สองเดือนต่อมา งานรับจ้างเป็นสารถีลากรถให้คนในบ้านเจ้านายใหญ่โตโดยเฉพาะลูกหลานเจ้านายหรือตัวเจ้านายเองในสมัยก่อนนั่งนั้นไม่ใช่ของที่ใครจะทำกันได้ง่ายๆ ตันเต็งกุยสังเกตเห็นว่าในระยะหลัง เริ่มตั้งแต่ขึ้นเดือนใหม่มานี้ได้มีชายหนุ่มชาวสยามสองกลุ่ม ซึ่งมีกลุ่มละสองคนบ้าง กลุ่มละสามคนบ้าง ท่าทางแปลกๆมาด้อมๆมองๆอยู่แถวหน้าบ้านประดิษฐานาเวศน์และคอยติดตามเขาไปยังแหล่งต่างๆในบางครั้ง แม้จะทิ้งระยะกันห่างๆ แต่ก็ผิดปกติสำหรับคนต่างด้าวอย่างเขาพวกบุคคลทั้งสองกลุ่มนั้นมีจุดประสงค์ดีหรือร้ายประการใดกันแน่ หนุ่มหน้าซื่อตันเต็งกุยพยายามระมัดระวังตัวด้วยกลัวว่าผู้โดยสารของเขาซึ่งเป็นบุคคลในบ้านนี้จะได้รับอันตราย
ลูกสาวของพระยาประดิษฐานาเวศน์ผู้มีนามว่าคุณหนูกฤษณาก็เช่นเดียวกันกับคุณหนูของบ้านผู้ลากมากดีโดยทั่วไป ที่จะเอาแต่ใจ เอ่ยปากสั่งคนใช้หรือบ่าวในบ้านให้ทำโน่นหยิบนี่อยู่มิได้ขาด ครั้นมาได้คนลากรถประจำตัวของเธอเองในการที่จะพาเธอเข้าไปไหนต่อไหนเป็นประจำ มาถึงวันนี้อันเป็นวันที่เขาจะต้องลากรถเจ๊กพาเธอไปยังสถานศึกษาที่เธอจำต้องเรียนรู้เรื่องการบ้านการเรือนร่วมกับบรรดาเหล่าคุณหนูคนอื่นๆด้วยแล้ว เธอจะวางมาดของการเป็นนายกับบ่าวผู้ชายที่ไว้หางเปียอย่างดูถูกเหยียดหยาม โดยถือว่าคนละชั้นกัน ไม่สมควรที่จะได้รับการยกย่องหรือเกรงอกเกรงใจในการพูดจา ยิ่งมาพบจีนใหม่อย่างตันเต็งกุยด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่เพราะเขาเข้าใจภาษาไทยแค่คำสั่งและคำพูดเพียงไม่กี่คำเท่านั้นเอง
"นี่นายกุ่ย!" คุณหนูกฤษณาตะโกนบอกคนลากรถประจำตัวด้วยชื่อที่เธอพอจะออกเสียงได้ง่ายตามความสะดวกปากของเธอ เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่หนุ่มชาวจีนได้มารับใช้ทำงานลากรถให้เธอนั่งเข้าวังหลวง เสียงเรียกของหญิงสาวดังได้ยินไปไกล
ตันเต็งกุยค่อยๆชะลอเท้าเบรกพรืดจนความเร็วของรถลากลดลงจนเกือบหยุดกลางถนนพลางหันมาถามหญิงสาวด้วยท่าทางตื่นๆ
"มีอารายคัก?"
"เธอฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือยังไงกันนะนายกุ่ย ฉันบอกให้เลี้ยวซ้ายไปทางท่าเตียนวัดโพธิ์ แล้วดันเลี้ยวขวามาทางนี้ทำไมกันยะ? คุณหนูกฤษณาบ่นฉอดๆ
"ผงไม่เข้าใจนี่คัก นึกว่าบอกให้เลี้ยวทางนี้ ไอ้หยา..ผงขอโทกคัก" ตันเต็งกุยโต้ตอบเป็นภาษาไทยด้วยสำเนียงจีนใหม่ ตามที่เขาได้เคยฝึกพูดมา
"ทางนี้มันไปท่าน้ำท่าพระจันทร์ไม่รู้เรอะ?"
"ไม่รู้คัก บอกด้วยก็เลี้ยวกัง ไปทางไหนคัก?" ชายหนุ่มแซ่ตันชักทำท่าอึดอัดที่ไม่ค่อยสันทัดในการพูดจา และจับใจความไม่ค่อยได้
"เลี้ยวกลับไปทางนี้!" เด็กสาวพูดพลางชี้มือบอก นัยน์ตาเหลือกถลนอย่างฉุนเฉียว เมื่อมองเห็นคนเดินถนนกำลังพากันหันมามองสาวน้อยที่มีเจ๊กหางเปียลากรถให้นั่งเป็นตาเดียว เสียงตวาดของเธอทำเอาผู้คนที่สัญจรไปมาหัวเราะกันคิกด้วยเห็นเป็นของแปลก
"ไอ้ถึก คุณหนูของมึงท่าทางคงจะดุไม่ใช่เล่น กูว่าท่าทีจะเป็นลูกสาวผู้ลากมากดีเกินไปสักหน่อยว่ะ แต่งตัวเช้งวับยังกะสาวชาววังด้วยแน่ะเว้ย" เด็กหนุ่มรุ่นตะกอคนหนึ่งเอ่ยปากพูดกับเพื่อนที่กำลังเดินมาด้วยกัน
"ไอ้หมานมึงอย่าเสือกพูดดัง ประเดี๋ยวก็โดนพวกตำรวจวังเขามาจับเอาหรอก เดินใกล้ๆวังหลวงยังงี้กูเสียวสันหลังว่ะ" เจ้าหนุ่มคนที่ตัวสูงกว่าและมีชื่อที่เพื่อนเรียกว่าถึกเอ่ยปรามเพื่อนรัก พร้อมกับทำท่าคอย่นพลางหรี่หางตามอง
"นั่นเจ๊กหางเปียลากรถเลี้ยวกลับไปทางท่าเตียนท้ายวังแล้ว สงสัยว่าจะเข้าวังว่ะ กูนึกแล้วเชียวว่าต้องเป็นพวกชาววัง ลงเดินดินไม่เป็นอีแบบนี้ กูไม่เอาด้วยหรอกว่ะ"
"ทำไมหรือวะ?"
"ก็ที่เขาพูดกันว่าพวกผู้ดีตีนแดงต้องตะแคงตีนเดินนั่น มึงจำไม่ได้หรือวะ?"
"ตีนแดงก็สวยดีทำไมต้องตะแคงตีนเดินด้วยล่ะวะ?"
"อ้าวก็ตีนมันแดงเหยียบแม้แต่ขี้ไก่ก็ยังไม่ฝ่อ เวลาจะเดินจะเหิน พวกเธอกลัวเจ็บก็เลยต้องตะแคงตีนเดินยังไงล่ะวะ ไอ้ถึก"
"โถ..น่าสงสารจังว่ะ!"
"อย่าไปมัวสงสารพวกเธอ หรือคอยแหงนคอมองพวกผู้ดีเหล่านี้เหมือนหมาเห็นข้าวเปลือกเสียให้ยากหน่อยเลยวะไอ้ถึก"
"มึงนั่นแหละตัวดี..ไอ้หมาน ไม่ต้องมาทำเป็นอ้างโน่นอ้างนี่หน่อยเลยวะ"
"ฮ่า..ฮ่า..พูดถูกใจดำเข้าละสิ ใช่ไหมล่ะวะไอ้ถึก"
"นี่ถ้ามึงขืนพูดยังงี้ แถวๆริมคลองหลอดเป็นโดนกูเตะตกน้ำไปแล้วว่ะ..ไอ้เกลอ!"
ไอ้คนชื่อถึกเงื้อเท้าทำท่าจะเตะเอาจริงๆดังที่พูด จนไอ้หนุ่มคนที่ชื่อหมานถอยหลังกรูด พร้อมกับหัวเราะลงลูกคอร่วน
"ขืนมึงเตะกูจริงๆ ทีหลังกูจะไม่เดินมาเป็นเพื่อนมึงอีกหรอกนะเว้ยจะบอกให้ รักคุดอย่างมึงนึกหรือว่าเขาจะเหลียวมองคนจนๆอย่างมึง?"
"มึงอย่าสบประมาทกูหน่อยเลยวะ ไอ้เพื่อนยาก กูตั้งใจของกูมาอย่างนี้" หนุ่มถึกทำหน้าทำตาขึงขังตามที่พูด ชายตามองนางในฝันของเขาที่นั่งเชิดคออยู่บนรถเจ๊กอย่างไม่ยอมให้ละสายตา
"โบราณเขาว่า รักเขาข้างเดียวข้าวเหนียวนึ่ง น้ำท่วมไม่ถึงจึงตายแห้งแหงแก๋..."
ไอ้หมานพูดยังไม่ทันขาดคำก็ถูกกระชากไหล่ให้หยุดอย่างแรงจนตัวหมุน พร้อมกับมีเสียงเอ่ยตามมาสมทบ
"หยุดทีเถอะวะไอ้หมาน อย่าพูดเข้าหูให้เธอได้ยินอย่างนี้ไม่ดีหรอกเพื่อน"
"ทำไม แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่มึงจะได้มีโอกาสสารภาพรักกับเธอกันเสียทีล่ะวะ?"
"กูถือตามวิถีทางรักของกูแบบนี้ใครจะทำไม?"
"วิถีทางรักแบบนี้น่ะ มันแบบไหนกันวะ?"
"รักเขาข้างเดียวเหมือนเกลียวเชือก จะขอเลือกรักเธอเสมอไป"
"เออ..ตามใจมึงไอ้ถึก อกหักดังเปาะขึ้นมาเมื่อไหร่แล้วมึงจะรู้สึก แล้วอย่ามาโอดครวญกับกูก็แล้วกัน เพราะว่ากูได้เตือนมึงก่อนแล้ว"
"อกหักมันก็เรื่องของกู มึงจงหุบปากอย่าได้พูดมาก กระแนะกระแหนว่านางในดวงใจของกูเสียให้ยากเลย ถึงอย่างไรกูก็ไม่มีวันเปลี่ยนใจอย่างเด็ดขาด"
"นั่น..ไอ้เจ๊กหางเปียมันลากรถวิ่งเร็วอย่างกับม้าไปโน่นแล้ว เดี๋ยวก็คลาดกันอีกจนได้แหละ รีบๆเดินเข้าสิวะ..ไอ้ถึก"
เสียงที่ทั้งสองเกลอพูดกันนั้นหญิงสาวได้ยินอย่างถนัดชัดเจนทั้งสองรูหู หากด้วยกระดากที่เธอมาลำพังเพียงคนเดียวกับคนจีนลากรถหางเปียที่แสนจะกระเร่อกระร่า เธอจึงได้แต่สงบปากสงบคำเอาไว้ นี่ถ้ากำลังเดินอยู่แถวใกล้บ้านของเธอ ป่านนี้เธอคงสั่งให้พวกบ่าวไพร่จับเอาไปเฆี่ยนให้หลังลายเสียให้เข็ดหลาบ โทษฐานที่พูดจาไม่ไพเราะกับสุภาพสตรีผู้เป็นถึงธิดาสาวของท่านขุนนางผู้ใหญ่
กฤษณานั่งหน้าเชิดคอตั้งทำท่าปั้นปึ่ง ไม่พูดไม่จาหรือแม้แต่จะหันหน้าเหลียวมองไปทางหนุ่มคะนองปากทั้งสอง เมื่อถึงประตูวิเศษไชยศรีทางเข้าท้ายวังเธอจึงบอกให้คนลากรถหยุดและสั่งให้ตันเต็งกุยนั่งรออยู่ตรงหน้าประตูจนกว่าเธอจะเดินกลับออกมาอีกครั้งหนึ่ง ห้ามไปไหนโดยเด็ดขาด หนุ่มจีนใหม่จึงจำเป็นที่จะต้องนั่งรอยืนรอด้วยความกระสับกระส่าย สาเหตุก็เนื่องมาจากการที่เขาไม่เคยต้องคอยอะไรนานอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต ยกเว้นการที่ต้องนั่งๆนอนๆคอยเวลาเรือสำเภาเข้าเทียบจอดขึ้นฝั่งในขณะที่เดินทางจากท่าเรือจางหลินมายังท่าเรือราชวงศ์แห่งประเทศสยามเท่านั้น
เมื่อเริ่มรู้สึกหิวตันเต็งกุยก็เอามือล้วงขนมจันอับออกมาจากห่อที่พกเคียนเอวไว้ขึ้นมากัดหนึ่งคำพอแก้หิวแล้วจึงเก็บส่วนที่เหลือห่อเข้าพกคาดเอวเอาไว้อย่างเดิม จากนั้นเขาก็เอนหลังนั่งพิงกำแพงตรงเงาประตูทางเข้าวังเพื่อหลบแดดที่เริ่มร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนพากันเดินเข้าออกประตูวังกันไม่ได้ขาดส่วนมากจะเป็นผู้หญิง โดยคนทั้งหมดพากันเดินก้าวข้ามธรณีประตูกันทุกคน ไม่มีเลยสักคนเดียวที่เหยียบพลาดไปบนธรณีประตูให้เห็น ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกถึงความเป็นคนมีระเบียบเรียบร้อยของชาวสยามที่อยู่ใกล้วังอันเป็นเขตพระราชฐานในการที่จะลุกจะเดินจะนั่งกันอย่างระมัดระวัง ส่วนบุคคลต่างๆที่มีธุระเดินผ่านไปมาแถวบริเวณประตูวังนั้นก็ดูเรียบร้อยเป็นปกติ นานๆจึงจะมองเห็นคนเมาเหล้าเดินสะเงาะสะแงะทำตัวน่ารังเกียจผิดแผกจากคนอื่นสัญจรผ่านตาไปสักครั้งหนึ่ง
ครั้นเอนหลังได้สักครู่ ขณะที่ตันเต็งกุยกำลังเพลินคิดอะไรอยู่คนเดียว เขาก็รู้สึกตัวว่ามีเงาของร่างคนสองร่างมายืนค้ำอยู่ข้างๆรถลากของเขา หนุ่มจีนใหม่ขยับตัวเตรียมพร้อมอย่างฉับไว เขาลุกขึ้นยืนทันที เดินตรงเข้าไปจับคานลากรถทั้งสองข้างไว้แน่น ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินชายคนที่มีรูปร่างเตี้ยล่ำกว่าอีกคนหัวเราะในลำคอพร้อมกับก้าวเท้าเดินตรงเข้ามาหาหนุ่มจีนใหม่
"เตรียมพร้อมเลยเชียวรึไอ้หางเปีย ลื้อชื่ออะไรวะ?"
"ผงชื่อเต็งกุยแซ่ตันคัก คุงจะเรียกผงว่าตันเต็งกุยก็ล่าย"
"ตันเต็งกุย..ตันเต็งกุย..ถูกต้องใหม?"
"คักถูกต้องเลี้ยว..ตันเต็งกุย..หรือจะเรียกผงว่าอากุ่ยเหมือนคนอื่นก็ล่ายคัก"
"ชื่อลื้อเรียกยากชะมัด..งั้นพวกเราเรียกลื้อว่าอากุ่ยก็แล้วกันนะ..คืออั๊วกับเพื่อนอยากจะคุยกับลื้อสักหน่อยได้ไหมล่ะ?"
"ล่าย ลื้อถามคำง่ายๆอั๊วตอบล่าย แต่อย่าถามคำยากๆนะ"
"เอออากุ่ย..พวกอั๊วสองคนมีข้าวเกรียบว่าว สาคูไส้หมูและเม็ดขนุน ซื้อมาจากคลองโอ่งอ่าง จะแบ่งให้ลื้อกิน ถ้าลื้อยอมรับปากว่าจะช่วยพวกอั๊วทำอะไรสักอย่าง ลื้อจะยอมไหมล่ะ?"
หนุ่มเตี้ยล่ำรูปทรงมะขามข้อเดียวที่ชื่อหมานหรือสมานถามตันเต็งกุยพร้อมกับหยิบเอาถุงคล้ายตะกร้าที่ทำจากกาบหมาก ซึ่งมีกระทงใบตองเผยให้เห็นขนมดังกล่าววางอยู่ด้านใน โดยมีข้าวเกรียบว่าวแผ่นโตร้อยด้วยเชือกกล้วยแขวนอยู่สองแผ่น ภาพที่เห็นทำเอาหนุ่มลากรถถึงกับน้ำลายสอ
"ทำอารายหรือคัก?"
"เป็นม้าเร็วส่งสาส์นสำคัญนะซี"
"ม้าเร็วส่งสาส์นอะไรกันวะ..เอ๊ย อะไรกันคัก?"
"ส่งสาส์นก็คือส่งหนังสือหรือส่งจดหมายนั่นเอง ง่ายจะตายไปลื้อทำได้สบายอยู่แล้ว" หนุ่มคนที่ชื่อหมานบอกพลางหยิบสาคูไส้หมูแนมด้วยใบผักชียื่นส่งให้ลองชิม "ลองสาคูไส้หมูยายพรบางลำพูสักคำ แล้วลื้อจะชอบใจ อั๊วรับรองความอร่อยสำหรับขนมเจ้านี้"
"ฮ้อ..หอเจี๊ยะ..อาหร่อยจิงๆคัก" หนุ่มเต็งกุยยกนิ้วโป้งภายหลังจากที่ได้ลิ้มรสแล้ว
"เอ้า..ทีนี้ลองนี่ดูบ้าง ข้าวเกรียบว่าวหอมกรอบกินแกล้มอะไรที่เลี่ยนๆมันๆดีนักแล" ถึกแก้เชือกกล้วยที่ร้อยข้าวเกรียบว่าวยื่นส่งให้ทั้งแผ่น ซึ่งเต็งกุยรับมาเคี้ยวกร้วมๆด้วยความสบายใจโดยไม่ลืมกล่าวขอบคุณชายหนุ่มทั้งสองคน
"ข้าวเกรียบนี่ก็อาหร่อยเหมืองกัง ขอกคุงคัก"
"ยังไม่หมด นี่เลย..มันต้องตบท้ายด้วยของหวานคือเม็ดขนุนที่กินแล้วทั้งอร่อยและอิ่มท้องสบายหายห่วงไปเลยทีเดียว"
ภายหลังจากที่ตันเต็งกุยได้ถูกยัดเยียดขนมให้กินจนอิ่มหนำสำราญเป็นที่พอใจแล้ว หมานก็เป็นคนเริ่มต้นถามถึงเรื่องที่คุยกันค้างอยู่ขึ้นมาก่อนเป็นคนแรกอีกวาระหนึ่ง
"นี่คือจดหมายหรือเพลงยาวที่นายถึกเขาจะฝากลื้อเอาไปให้แก่นางสาวกฤษณานายสาวที่นั่งรถของลื้อมาเมื่อสักครู่นี้นั่นเอง ไม่ยากเลย เห็นไหมล่ะ เพียงแค่ส่งจดหมายให้เธอเท่านั้นเอง"
"ส่งจดหมายนี้ให้กับคุณหนูกิกสะหนา แค่นี้เองหรือ?"
"ใช่แค่นี้เอง ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก"
"ตกลงคัก" ตันเต็งกุยรีบรับคำโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
"เอ้านี่..กระบอกน้ำสำหรับใส่น้ำดื่มแก้คอแห้ง เราสองคนยกให้ลื้อเอาไว้สำหรับใช้ใส่น้ำดื่มหลังจากลากรถมาเหนื่อยๆ"
"ฮ้อๆ..ลีคัก..ขอกคุงคัก อั๊วจะส่งจดหมายให้พวกลื้อเอง อย่าห่วงไปเลย" ตันเต็งกุยรับกระบอกน้ำใส่น้ำดื่มที่ทำจากกระบอกไม้ไผ่มีสายสะพายจากมือของถึกพลางยกขึ้นดื่มอย่างกระหาย หากภายหลังดื่มเสร็จเขาก็หันหน้ามาหาสองหนุ่มไทยพร้อมกับเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะแน่ใจ
"ตกลงลื้อยกกาบอกใส่น้ำนี้ให้อั๊วจริงๆหรือ?"
"จริงสิ..ยกให้ลื้อเอาไว้ใช้เลย ขอเพียงอย่างเดียว..ลื้ออย่าลืมส่งจดหมายฉบับนี้ให้พวกเราก็แล้วกัน"
"พวกลื้ออย่าเป็งกังวลไปเลยข้อนั้น อั๊วรับรองว่าจะส่งให้คุงหลูกะมืออั๊วเองเลยทีเลียว"
"ลื้อสัญญาได้ไหมวะอากุ่ย ว่าจะไม่ให้ใครเห็น"
"ม่ายให้คายเห็นเหลอ?"
"ใช่..ห้ามไม่ให้ใครเห็นเด็ดขาด!"
"ฮ้อ..ล่ายสิ..อั๊วให้สังญา"