![]() |
![]() |
ดอยสะเก็ด![]() |
...คืนนั้นเมื่อได้อยู่กันตามลำพังสองต่อสอง ในห้องชุดของโรงแรมหรูในพัทยา คริสก็ตะกองกอดเจ้าสาวของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เฝ้าแต่กอดจูบเธออยู่นั่นแล้วจนทิพย์ส...
ตอน : อาวสาน
คืนนั้นเมื่อได้อยู่กันตามลำพังสองต่อสอง ในห้องชุดของโรงแรมหรูในพัทยา คริสก็ตะกองกอดเจ้าสาวของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เฝ้าแต่กอดจูบเธออยู่นั่นแล้วจนทิพย์สุรางค์ต้องผลักเขาออกห่าง “ฉันอยากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า” เธอบอกด้วยเสียงอ่อยๆคริสจูบเธออีกสองสามทีแล้วก็ปล่อย ยืนดูหญิงสาวดึงกิ๊บฝอยตัวเล็กๆที่ยึดตรึงผมยาวของเธอเป็นช่อชั ้น ออกวางลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง ส่วนเครื่องประดับที่อยู่บนผมถูกดึงออกไปหมดแล้ว ก่อนออกเดินทางมาที่นี่
“คุณไปอาบน้ำก่อนก็ได้ ฉันต้องล้างเครื่องสำอางพวกนี้ออกก่อน คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก” ทิพย์สุรางค์บอกคริสที่ยังยืนมองเธออยู่
“ก็ได้” แล้วชายหนุ่มก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
หลังจากสางผมดกดำยาวแล้วขมวดขึ้นไว้กลางศรีษะ หญิงสาวก็เปลื้องเครื่องแต่งกายออก เปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมอาบน้ำ เดินไปเปิดกระเป๋าเดินทางใบเล็กของคริส ที่พนักงานโรงแรมนำมาวางไว้ให้ในห้องคู่กับกระเป๋าของเธอ ทิพย์สุรางค์สำรวจเข้าของของคริสในกระเป๋าเดินทาง หยิบเสื้อกางเกงสามสี่ตัวของเขาออกมาแขวนไว้ในตู้เสื้อผ้า เอาเครื่องใช้ส่วนตัวเช่นหวี เครื่องโกนหนวด โอดิโคโลญ ครีมและน้ำยาโกนหนวดและของอื่นๆออกมาวางไว้บนโต๊ะใกล้ๆ ตั้งใจว่าจะเอาไปวางเตรียมไว้ให้เขาในห้องน้ำ หลังจากที่เขาอาบน้ำเสร็จแล้ว ส่วนชุดนอนเธอเอาไปวางเตรียมไว้ให้เขาที่ปลายเตียง
อีกครู่ต่อมาคริสก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา ทิพย์สุรางค์หันไปมองแล้วรีบหันหน้ากลับ เขามีผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนเดียวพันร่างกายท่อนล่างเอาไว้ มองเห็นแผงอกและต้นแขนที่ล่ำสันแข็งแรง เต็มไปด้วยมัดกล้ามสวยงาม คริสทำหน้ายิ้มกริ่มเมื่อเห็นท่าทางเขินๆของเธอ แล้วแทนที่จะรีบสวมเสื้อนอนกางเกงนอน ที่เขาเห็นแล้วว่าเธอวางไว้ให้ ชายหนุ่มกลับเดินเข้ามากอดเธอเอาไว้แล้วกระซิบดื้อๆว่า “คุณหนูไม่ต้องอาบก็ได้..น้ำน่ะ ผมอาบคนเดียวก็พอแล้ว”
แล้วเขาก็ทำท่าเหมือนจะดึงสายรัดเอวเสื้อคลุม ให้หลุดออกจากที่ผูกเอาไว้ ทำให้ทิพย์สุรางค์รีบตะครุบมือเขาเอาไว้แทบไม่ทัน หน้าของเธอแดงระเรื่อขณะที่ทำเสียงดุๆเอ็ดเขาว่า
“นี่! จะบ้าหรือ ปล่อยฉันก่อน ฉันจะไปอาบน้ำ”
“โธ่ แค่นี้ก็ต้องดุด้วย” เขาบ่นแต่ก็ยอมปล่อยตัวเธอโดยดี
หลังจากที่ทิพย์สุรางค์เข้าห้องน้ำไปแล้ว คริสก็เปลื้องผ้าเช็ดตัวออก สวมเสื้อกับกางเกงนอนเข้าไปแทน เดินเข้าไปในห้องติดกันที่มีตู้เย็นเล็กๆหยิบเบียร์ออกมากระป๋อ งหนึ่ง แล้วเดินออกไปที่ระเบียงกว้างข้างนอกห้อง ซึ่งมีเก้าอี้นอนยาวสองตัวพร้อมด้วยโต๊ะกลมเล็กๆสำหรับวางของ ลงนอนเอนๆบนเก้าอี้นอนตัวหนึ่ง จิบเบียร์คอยเธอด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งและเป็นสุขอย่างยิ่ง ที่ในที่สุดความหวังและความฝันที่จะได้แต่งงานร่วมชีวิตกับทิพย ์สุรางค์ ก็กลายมาเป็นความจริงจนได้ หลังจากหวังแล้วสิ้นหวัง หวังแล้วหมดหวังมาหลายครั้งหลายครา จนเกือบจะยอมแพ้ยอมรับโชคชะตาของชีวิตที่ไม่มีเธอไปแล้ว
ทิพย์สุรางค์ออกจากห้องน้ำในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ความจริงเธออาบน้ำเสร็จสักครู่ใหญ่แล้ว แต่ยังไม่พร้อมที่จะออกมาพบหน้าเขา หญิงสาวตื่นเต้นกับชีวิตใหม่ของเธอ ต้องพยายามปรับใจอยู่นานกว่าจะออกมาเผชิญกับสายตากรุ้มกริ่มของ เขาได้ ถึงจะเคยมีความสัมพันธ์กับเขาจนมีเด็กชายสิงห์ออกมาแล้ว แต่นั่นก็เป็นเพียงครั้งแรกและครั้งเดียวของเธอ ในสถานการณ์ที่ตื่นตระหนกไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตอนนี้จะไม่ให้เธอรู้สึกเคอะเขินและตื่นเต้นหวาดกลัวได้อย่างไร
ส่วนคริสเมื่อรอแล้วรอเล่า หญิงสาวก็ยังนั่งสางผมเฉยอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ทำเหมือนไม่รู้ว่าเขากำลังคอยอยู่ ก็แกล้งร้องบอกเธอว่า “คุณหนูครับ ถ้าจะกรุณา...ช่วยหยิบเบียร์ในตู้เย็นให้ผมสักกระป๋องได้ไหม?”
ทิพย์สุรางค์เหลียวหน้าเหลียวหลังมองหาตู้เย็น เมื่อไม่เห็นมีอยู่ในส่วนที่เป็นห้องนอน เธอก็เดินเข้าไปในส่วนที่เป็นห้องนั่งเล่นที่อยู่ติดต่อกัน หยิบเบียร์ได้ก็เดินออกไปส่งให้เขาที่ระเบียงมืดข้างนอก คริสมองร่างงดงามของเธอ ที่อยู่ในเสื้อนอนแพรยาวสีขาว คลุมทับด้วยเสื้อคลุมสีเดียวกันอย่างดื่มด่ำ เมื่อเธอยื่นกระป๋องเบียร์มาให้ เขาก็รับไว้แล้วดึงมือเธอจนร่างของเธอเซถลาทับลงมาบนอก ชายหนุ่มวางเบียร์กระป๋องนั้นลงบนโต๊ะ กอดเธอเอาไว้แนบแน่นแล้วจูบอย่างอ่อนหวานหลายครั้ง ทิพย์สุรางค์ได้กลิ่นอ่อนๆของเหล้าและบุหรี่ ที่เธอเห็นใครต่อใครส่งให้เขาในระหว่างงานเลี้ยงเมื่อตอนหัวค่ำ
เมื่อมาถึงตอนนี้หญิงสาวก็นอนซบนิ่งอยู่กับอกเขา รู้ว่าคงไม่มีทางหนีเขาไปไหนได้อีกแล้ว เธอรู้แล้วว่าเขารักเธอมากและเธอก็รักเขามากเช่นเดียวกัน เธอหนีหัวใจตัวเองไม่พ้น กอดจูบเธอไปได้พักเดียว คริสก็พลิกตัวขึ้นนั่งทั้งๆที่ยังกอดเธออยู่ ยืนขึ้นแล้วก็ช้อนตัวเธอไว้ในอ้อมแขนพาเข้าไปในห้องนอน วางร่างอิ่มเอิบสมบูรณ์สะพรั่งด้วยวัยสาวลงบนที่นอน ดึงเสื้อคลุมออกจากตัวเธอ เห็นเสื้อนอนแพรบางๆที่มีสายเล็กๆยึดติดไว้สองข้างไหล่ ในแสงสลัวของไฟโคมข้างเตียง เขาจ้องมองใบหน้างามแอร่มและท่าทางเอื้อนอายของเธออย่างละลานใจ
แล้วคริสก็เริ่มต้นจูบทิพย์สุรางค์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง จูบไล่ลงไปตั้งแต่ดวงตาคู่งามที่เคยคมปลาบบาดหัวใจ แต่ตอนนี้มันกลับเซื่องซึมราวกับต้องมนต์จากจูบของเขา จูบเรื่อยลงมาถึงริมฝีปากคู่งามที่มีลักษณะเย้ายวน ปากจมูกของเขาจูบไล่ลงมาที่ซอกคอ แล้วก็มาซุกซบอยู่ตรงทรวงอกเต่งตึงงดงามราวกับดอกบัวหลวง ที่ตอนนี้สายที่ยึดตัวเสื้อเอาไว้กับบ่าหลุดออกไปแล้ว
ทิพย์สุรางค์พยายามใช้มือผลักใบหน้าของเขา ที่กำลังซุกไซ้เธออยู่ให้หลุดออกไป แต่คริสรู้ทัน เขาใช้มือข้างหนึ่งรวบมือทั้งสองของเธอเอาไว้ ไม่ให้ผลักไสเขาได้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็ดึงเสื้อนอนออกจากตัวเธอแล้วโยนไปข้างเตียง หญิงสาวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกแต่เพียงว่ามือไม้ปากจมูกที่ร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆของเขา สัมผัสเล้าโลมไปตามร่างกายของเธออย่างอ่อนโยนทะนุถนอม ไม่มีความร้อนรนรุนแรงอย่างที่เธอนึกหวาดกลัวในตอนแรก ความรู้สึกแปลกใหม่ที่เขาทำให้ค่อยๆเกิดขึ้น ทำให้ทิพย์สุรางค์ต้องยกแขนขึ้นโอบรอบคอเขาโดยไม่รู้ตัว
เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว คริสก็ตะกองกอดทิพย์สุรางค์ไว้แนบอกอย่างเปี่ยมล้นไปด้วยความสุ ข ซึ่งเขาแน่ใจว่าเธอก็คงรู้สึกไม่แตกต่างจากเขา ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าทิพย์สุรางค์เป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ทางเ พศอย่างน่าพิศวง ถึงเธอจะสะทกสะเทิ้นเขินอายไปบ้าง ยามที่เขารุกเร้าเธอมากขึ้นเรื่อยๆ แต่เธอก็ยินยอมพร้อมใจให้เขานำทางเธอไปและพร้อมที่จะเรียนรู้จา กเขา เธออาจจะดูหยิ่งยโสท่าทางเย็นชาก็จริง แต่เมื่อมีความรักและการแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี เขากลับพบว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่เย็นชาเลยแม้แต่น้อย เธอมีเสน่ห์อย่างยิ่ง มันเป็นเสน่ห์ที่ผู้ชายทุกคนหลงไหล เพราะมันทำให้ผู้ชายภูมิใจ ในความเป็นชายชาตรีของตัวเองมากยิ่งขึ้น
ทิพย์สุรางค์ลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ค่อยๆพยุงกายขึ้นจากอ้อมแขนที่ยังกอดก่ายเธอเอาไว้หลวมๆ มองสำรวจหน้าตาของคนที่ยังหลับสนิทอยู่เคียงข้างเธอ คิ้วหนาเป็นปื้น ขนตาดกหนาแต่สั้น ไรหนวดและเคราเขียวๆข้างแก้มที่เพิ่งขึ้นใหม่ทำให้หน้านั้นคมเข ้ม จมูกปากของเขาคมคายแบบผู้ชาย เมื่อมองต่ำลงมาเห็นแผงอกล่ำสันที่เปล่าเปลือย หญิงสาวก็ดึงผ้าห่มขึ้นปิดอกเขา เพราะเครื่องปรับอากาศค่อนข้างเย็นและฝนข้างนอกกำลังตกพรำๆ เมื่อดึงผ้าห่มออกจากตัวเพื่อจะลุกไปเข้าห้องน้ำ ทิพย์สุรางค์ก็พบร่างที่เปลือยเปล่าของตัวเอง เธอหน้าแดง มองหาเสื้อนอนที่ถูกเขาถอดโยนทิ้งไปข้างเตียง เมื่อพบแล้วก็รีบหยิบมาสวมเข้ากับตัวอย่างรวดเร็ว
คริสตื่นแล้วแต่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เมื่อทิพย์สุรางค์กลับเข้ามาในห้อง ในเสื้อคลุมอาบน้ำตัวยาวรุ่มร่าม เธออาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มยกนาฬิกาข้อมือที่ใส่นอนขึ้นดูเวลา
“ยังไม่หกโมงเช้าเลย คุณหนูจะรีบลุกไปไหน?” เขาทำหน้ายิ้มๆถามเธอ
“ตื่นแล้วนี่ ไม่รู้จะนอนไปทำไม?” เธอทำหน้าเขินๆไม่ยอมสบตาเขา เสถามว่า “วันนี้เราจะไปไหนกันดี?”
“คุณหนูอยากไปที่ไหนล่ะ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้ฝนยังตกอยู่เลย” หญิงสาวบอกเขาตามตรง
“มานี่หน่อยสิครับ” เขาได้โอกาสทันที
ทิพย์สุรางค์ไม่รู้ว่าเขาเรียกเธอทำไมแต่ก็ยอมเดินเข้าไปหา แล้วก็ถูกเขาฉุดให้ล้มลงไปบนเตียง กอดเธอไว้แนบแน่นแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน กระซิบที่ริมหูว่า “ยังไม่ต้องรีบไปไหนหรอกน่า มาเรียนต่อกันดีกว่า เป็นนักเรียนต้องเชื่อฟังครูนะ ห้ามดื้อ”
เขาดึงเสื้อคลุมอาบน้ำออกจากตัวเธอ สอนบทเรียนแห่งรักบทใหม่ให้เธออีกบทหนึ่ง จนหลับไหลไปด้วยกันในอ้อมกอดของกันและกันอีกครั้งหนึ่ง อย่างอิ่มเอมเปรมปรีดิ์
หลังจากฮันนิมูนกันครบสามวัน คริสก็ขับรถพาทิพย์สุรางค์กลับเข้ากรุงเทพฯ แวะสถานทูตอเมริกัน นำเอกสารส่วนตัวทั้งของเขาและของเธอเข้าไปขอจดทะเบียนสมรส เมื่อเรียบร้อยแล้วก็กลับมาขึ้นรถด้วยกัน ประโยคแรกที่เขาพูดกับเธอคือ
“สวัสดีครับ มาดามทิพย์สุรางค์ เลย์ตัน” เขาจูบแก้มเปล่งปลั่งของเธอเบาๆ “ตอนนี้ไม่ใช่คุณหนูทิพย์สุรางค์ ธนากุลอีกแล้ว ห้ามเกเร ห้ามดื้อรั้นเอาแต่ใจตัวเองอีกแล้วนะ “
หญิงสาวค้อนเขาอย่างน่ารัก ปากก็บอกว่า “ไม่รับปาก ถ้าคุณดีกับฉันๆก็ดีด้วย ถ้าเบี้ยวฉัน ฉันก็จะเบี้ยวคุณมั่ง”
“ทำยังไงที่เรียกว่าเบี้ยวน่ะ ผมจะได้รู้เอาไว้”
“ห้ามเจ้าชู้ ห้ามมองผู้หญิงอื่น” เธอตอบทีเล่นทีจริงด้วยสีหน้ายิ้มๆและแววตาที่หวานราวจะหยด
ชายหนุ่มยกมือขึ้นราวกับยอมแพ้ “เมียผมสวยขนาดนี้ มีเสน่ห์แถมยังน่ารักขนาดนี้ ผมยังจะบ้าไปมองผู้หญิงที่ไหนได้อีกเล่าขอรับ คุณผู้หญิง”
ทิพย์สุรางค์ร้องว่า “บ้า” รู้สึกเขินกับสรรพนามใหม่ที่เขาใช้กับเธอ
ระหว่างนั่งรถกลับไปบ้านที่สาทรที่เด็กชายสิงห์และบิดามารดาของ คริส คอยอยู่ ชายหนุ่มถามว่า “เรื่องงานของผมที่พ่ออยากให้ลาออกจากทหารไปช่วยท่าน คุณหนูคิดว่ายังไง?”
ทิพย์สุรางค์ตอบโดยไม่ต้องคิดเลยว่า “คริสคะ ฉันขอให้คุณเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่ว่าคุณจะเลือกอะไรฉันก็พร้อมจะสนับสนุนทั้งนั้น คุณเรียนวิชาทหารมา ถ้าอยากเป็นทหารต่อไปก็ไม่ต้องลาออก แต่ถ้าเบื่อแล้วหรือว่าอยากไปช่วยคุณพ่อดูแลกิจการของท่าน ก็ไปได้เลย ฉันยกให้คุณเป็นผู้นำชีวิตของฉันและลูกแล้วนี่คะ ฉันก็ยินดีและเต็มใจที่จะเดินเคียงคู่ไปกับคุณทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าคุณเลือกจะเดินไปในเส้นทางใด”
ทิพย์สุรางค์คิดในใจว่าผู้ชายนั้นเป็นเพศที่ต้องการความสำคัญ มีสัญชาติญาณที่ต้องการเป็นผู้นำ ไม่ว่าเขาจะเข้มแข็งพอที่จะเป็นได้หรือไม่ เป็นหน้าที่ของผู้หญิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่เป็นภรรยา ที่จะต้องส่งเสริมสนับสนุนเขา ด้วยการแสดงให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นคนสำคัญและเป็นที่พึ่งพิงที่ เธอจะขาดเสียมิได้ ทั้งๆที่ผู้หญิงบางคนนั้นอาจจะเข้มแข็งแกร่งกล้ามากกว่าก็ตาม
ชายหนุ่มหันมามองหน้าเธออย่างขอบใจและซาบซึ้ง ยกมือเธอขึ้นจูบอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณนะครับ คุณหนู ผมจะกลับไปทำงานสักพักหนึ่งก่อนแล้วค่อยคิดดูอีกที ว่าอะไรจะดีที่สุดสำหรับคุณหนูและลูก ตอนนี้ผมไม่ใช่คนตัวเปล่าแล้ว มีทั้งลูกและเมียที่ต้องรับผิดชอบ ผมสัญญาว่าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ขอเพียงแต่คุณหนูไว้ใจและเชื่อใจผมเท่านั้นก็พอแล้ว”
แน่นอน...นั่นคือสิ่งที่เธอพร้อมจะให้เขาอยู่แล้ว เธอจะทำให้เขาเห็นว่าเธอเชื่อใจให้เกียรติเขาเสมอ เธอรู้ว่าเขาภูมิใจในความเป็นคนดีมีความรับผิดชอบของตัวเขาเองอ ยู่แล้ว เป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องทำให้เขาตระหนักและภูมิใจในคุณสมบัต ิเหล่านั้นตลอดไป เพราะคนที่รู้ว่าตัวเองเป็นคนดี ทั้งในสายตาของผู้อื่นและของตัวเอง ย่อมยากที่จะยอมทำสิ่งที่ผิด และอยากที่จะคงสถานภาพดังกล่าวนั้นไว้ตลอดไป มนุษย์ทุกคนต้องการการยอมรับนับถือจากผู้อื่นด้วยกันทั้งสิ้น
เธอรู้ตัวเองดีว่าเป็นผู้หญิงหลายอารมณ์ที่มีหลากหลายรสชาติ เขาไม่น่าที่จะมีเวลาคิดเบื่อหน่ายเธอ เพราะเขาคงต้องคอยติดตามอารมณ์ต่างๆของเธอ จนอาจจะหัวหมุนไปบ้างเป็นครั้งคราว อารมณ์เดียวรสชาติเดียวที่จำเจอาจจะดีสำหรับคนบางคน แต่นั่นไม่ใช่เธออย่างแน่นอน ทิพย์สุรางค์เชื่อด้วยสัญชาติญาณความเป็นหญิง ว่ารสชาติที่หลากหลายจะทำให้ชีวิตสมรสไม่จืดชืด เธอคิดว่าชีวิตแต่งงานที่ราบรื่นจะต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่จะเป็นเครื่องปรุงรสให้ชีวิตคู่มีรสชาติแปลกใหม่อยู่เสมอ มันอาจจะต้องเหนื่อยบ้างแต่ก็คุ้มค่า เพราะมันจะนำมาซึ่งความสุขและความมั่นคงแก่ครอบครัวเล็กๆของเธอ
ทิพย์สุรางค์ตระหนักดีว่าถึงเธอและคริสจะผ่านเหตุการณ์ต่างๆมาห ลากหลาย ทั้งสุขเศร้าและเจ็บปวด แต่ชีวิตคู่ระหว่างเขากับเธอเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ยังมีอะไรอีกมากมายที่จะต้องเรียนรู้ เผชิญหน้าและจับมือฝ่าฟันข้ามอุปสรรคต่างๆไปด้วยกันให้ได้ เธอสัญญากับตัวเองว่าจะทำตัวเป็นทั้งคู่ชีวิต เพื่อนคู่คิดและน้องสาวที่น่ารักของเขา มีหลายบทบาทที่เธอจำเป็นต้องเลือกเล่นต่างกรรมต่างวาระ เพื่อความอยู่รอดของนาวาชีวิตที่เธอยอมยกให้เขาเป็นกัปตันผู้นำ ทาง โดยมีเธอทำหน้าที่เป็นกลาสี ที่พร้อมจะรับบัญชาจากกัปตัน โดยที่กัปตันผู้นั้นไม่จำเป็นต้องรู้ ว่าอำนาจแท้จริงที่อยู่เบื้องหลังที่ช่วยชี้ทางให้เรือแล่นผ่าน ลมมรสุมไปได้ มาจากไหน
เขาจะรู้หรือไม่ว่าเบื้องหลังความสำเร็จของผู้ชายเกือบทุกคน มีพลังลึกลับของผู้หญิงคอยสนับสนุนช่วยเหลืออยู่เสมอ เขาอาจจะไม่รู้และอาจไม่จำเป็นต้องรู้ ขอเพียงแต่พลังลึกลับนั้นทำหน้าที่อยู่เบื้องหลัง ผลักดันอย่างเงียบๆโดยไม่จำเป็นต้องแสดงตัว ทำให้เขาคิดว่าพลังดังกล่าวนั้นมาจากตัวเขาเอง เขาก็จะภูมิใจในความสามารถของตัวเองและกล้าเผชิญหน้า นำนาวาชีวิตลำนั้นฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้น ให้ผ่านพ้นไปได้อย่างฮึกเหิม โดยที่เธอไม่จำเป็นต้องลงมือทำด้วยตัวเองเลย
ส่วนคริสนั้นตอนนี้ เขารู้แล้วว่าหัวใจของเขาอยู่ที่ไหนและอยู่กับใคร ชายหนุ่มนึกขอบคุณมารดา ที่ช่วยชี้ทางที่หัวใจของเขาต้องการแต่ไม่ยอมรับฟังมันมานาน เพราะยึดมั่นถือมั่นกับคำสัญญา ที่ให้ไว้กับผู้หญิงคนหนึ่งมานานหลายปี ตอนนี้เขามีอิสระแล้ว เขาปลดแอกให้หัวใจตัวเองจากผู้หญิงคนนั้นได้สำเร็จแล้ว หัวใจที่เขาไม่เคยรู้เลยว่าได้เสียมันไปให้กับผู้หญิงอีกคนหนึ่ งเสียนานแล้ว ในช่วงเวลาที่หายไปของเขา
ช่วงเวลาเกือบหนึ่งปีที่หายไปของเขา ราวกับเป็นการดลบันดาลของพรหมลิขิต ถ้าเขาไม่ได้เป็นทหารเขาก็คงไม่ถูกส่งไปรบที่อิรัค ถ้าไม่ไปอิรัคเขาก็คงไม่ถูกส่งไปแถบชายแดนระหว่างไทยกับพม่าเพื ่อภารกิจสำคัญ ถ้าไม่ไปทำภารกิจดังกล่าวเขาก็คงไม่ถูกทำร้ายปางตาย ถ้าตายไปเสียก่อนตั้งแต่ตอนที่ถูกทำร้ายเขาก็คงไม่ต้องลอยน้ำมา หมดสติ ตรงลำธารที่ทิพย์สุรางค์กับกรไปพบและช่วยเขาเอาไว้ ถ้าเขาไม่เสียความจำเขาก็คงไม่ต้องตามหนานคำไปอยู่เวียงพุกาม และถูกดึงโดยสถานการณ์ต่างๆให้เข้าไปพัวพันกับหญิงสาวแสนสวยคนน ั้น ถ้าเขาไม่ป่วยจนนอนซมเธอก็คงไม่ต้องมาดูแลเขา และเขาคงไม่ขาดสติจนทำร้ายเธอให้เสียหาย ไม่ทำให้เธอต้องตั้งครรภ์แล้วกลายเป็นความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่ตั ดกันไม่ได้
ทั้งหมดนี้จะเรียกว่าอะไรถ้าไม่ใช่พรหมลิขิต ที่เล่นตลกพรากเขาไปเสียจากลลิตา ซึ่งรักและผูกพันกันมาเนิ่นนานหลายปี เพื่อไปพบและรักผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ในสุดขอบฟ้าอีกด้านหนึ่งของโลก ผู้หญิงที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้ ช่วงเวลาที่เขาเคยคิดว่าเป็นโชคร้ายและหายนะของเขา กลับกลายเป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดในชีวิต ที่ทำให้เขาได้พบกับทิพย์สุรางค์ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ต้องสูญเสียหัวใจของเขาไปอย่างน่าสงสารที่สุดเหมือนกัน
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกันนี้ ขึ้นอยู่กับคำว่า “ถ้า” และคำว่า “ไม่” เพียงสองคำ เพราะถ้าไม่มีคำสองคำนี้ ป่านนี้เขาก็คงจะแต่งงานไปกับลลิตาเสียนานแล้ว หลังเสร็จสิ้นภารกิจในอิรัค จะไม่มีผู้หญิงที่ชื่อทิพย์สุรางค์ปรากฏตัวเข้ามาในชีวิตของเขา ได้ เพราะเขานั้นเป็นคนที่รักใครก็รักจริง ไม่เคยคิดจะใช้ความเป็นชายที่ได้เปรียบมาหลอกลวงหญิงใด เขาคงจะเป็นสามีที่ดีและซื่อสัตย์ต่อลลิตา จนตายจากกันไปอย่างที่เคยตั้งใจเอาไว้
แต่เมื่อมีคำว่า “ถ้า” และคำว่า “ไม่” เกิดขึ้นมาแล้วโดยที่ไม่ใช่ความผิดของเขาเลย และคำสองคำนี้นำโลกใบใหม่ ชีวิตใหม่และผู้หญิงคนใหม่มาให้ ทำให้เขาได้ค้นพบมหัศจรรย์แห่งรักแท้ที่ยิ่งใหญ่ และนำมาซึ่งความสุขอย่างหาที่เปรียบมิได้ เขาก็ต้องยอมรับความจริงว่าโชคชะตาของคนเรา เป็นสิ่งที่ไม่อาจกำหนดได้ด้วยตัวเราเองอย่างที่เคยคิดเอาไว้
มันราวกับว่าเส้นทางชีวิตของมนุษย์แต่ละคน ได้ถูกกำหนดเอาไว้แล้วล่วงหน้า ไม่มีใครสามารถจะหลีกเลี่ยงหรือฝืนมันได้ เมื่อชีวิตของเขามีอันต้องเบี่ยงเบนไปจากเป้าหมายเดิม เพราะโชคชะตากำหนดเอาไว้อย่าง นั้น เขาก็ยินดีน้อมรับมันด้วยความเต็มใจ เขาจะใช้มันอย่างคุ้มค่าและอย่างมีความสุขที่สุด กับครอบครัวเล็กๆที่เขาได้มาโดยไม่คาดฝัน ราวกับของขวัญล้ำค่า...ที่สวรรค์ประทานมาเพื่อชดเชยช่วงเวลานั้ นให้เขา.. เวลาที่หายไป!!!