![]() |
![]() |
พลอยพนม![]() |
...นาฬิกาฝาผนังภายในร้านก๋วยเตี๋ยวบอกเวลาบ่ายโมงตรง ผมแยกกับพี่โสภาสแล้วเดินทอดน่องไปตามถนนภายใน วค. ซึ่งดูเงียบเหงา ตึกเรียนส่วนใหญ่ปิดประตูหน้าต่าง......
ตอน : ไข่นุ้ยไปฮ่องกง
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
นาฬิกาฝาผนังภายในร้านก๋วยเตี๋ยวบอกเวลาบ่ายโมงตรง ผมแยกกับพี่โสภาสแล้วเดินทอดน่องไปตามถนนภายใน วค. ซึ่งดูเงียบเหงา ตึกเรียนส่วนใหญ่ปิดประตูหน้าต่าง...ร้างไร้นักศึกษา
เช่นเดียวกับผม ซึ่งถ้าไม่ติดกับเรื่องบ้า ๆ ป่านนี้ก็คงเดินทางกลับบ้านไปเกือบครึ่งทางแล้วกระมัง
แต่เมื่อหวนกลับมาคิดอีกที ก็คิดว่าดีเหมือนกัน จะได้รู้อะไรเป็นอะไร และเผื่อจะได้รู้ทิศทางลมกับเขาบ้าง ซึ่งต่อไปนี้ก็คงจะต้องระมัดระวังตัว... จะเดินเหินไปไหน หรือคิดทำอะไรแบบสบาย ๆ เหมือนก่อนเห็นทีจะไม่ได้อีกแล้ว คราบความคิดแบบเด็ก ๆ ควรสลัดทิ้งเสียที... ถ้าเป็นนก-บัดนี้ผมก็ควรจะรู้ว่าตัวเองเริ่มปีกกล้าขาแข็งขึ้นบ้างแล้ว อีกไม่นานก็จะต้องโบยบินออกล่าเหยื่อตามลำพัง... ในไพรกว้างเต็มได้ภยันตราย ทั้งพญาเหยี่ยวและสัตว์ร้ายมีอยู่ดาษดื่นให้ต้องระมัดระวัง จะลอยช้อนตามเปียก หรือทำเป็นทองไม่รู้ร้อนต่อไปอีกไม่ได้แล้ว
ที่บอร์ดประชาสัมพันธ์หน้าตึกสำนักทะเบียนมีนักศึกษาหญิงชายที่ยังติดธุระไม่ได้กลับบ้านเหมือนผมมุงดูแผ่นประกาศกันอยู่สี่ห้าคน พวกเขาคงอยากรู้วันเกรดออก หรือไม่ก็อยากรู้รายวิชาที่จะต้องลงทะเบียนเรียนในเทอมหน้า ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงไปจากคู่มือหลักสูตรที่เราได้รับกันไปแล้วเมื่อตอนต้นเทอมก็ได้
ผมไม่สนใจกับเรื่องเหล่านั้น เพราะถือว่ายังมีเวลา วันนี้เย็น ๆ หรือพรุ่งนี้เช้าตอนออกจากหอกลับบ้านค่อยแวะไปดูก็ได้ ผมจึงคิดที่จะเดินผ่านไปเสีย ทว่าเมื่อใครคนหนึ่งเหลือบมาเห็นผมเข้า เขาก็ร้องเรียกพร้อมกวักมือให้เข้าไปหา
"ไข่นุ้ย มีจดหมายฉบับหนึ่งแน่ะ"
"เฮ้ย !" ผมร้องขึ้นอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นซองจดหมายสีขาวจ่าหน้าซองถึงผม เสียบเข็มหมุดติดอยู่กับพื้นบอร์ดกระดาษชานอ้อยหุ้มสักหลาดสีน้ำเงิน หลังบานกระจก "แม่-ง มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร" ผมสบถพลางเลื่อนบานกระจกดึงมันออกมาอย่างขุ่นเคือง เพราะปรกติจดหมายทุกฉบับ ไม่เว้นแม้แต่โทรเลข หรือธนาณัติที่ส่งมาถึงนักศึกษา จะต้องถูกนำไปแปะไว้ที่บอร์ดประชาสัมพันธ์อีกที่หนึ่ง คือที่บอร์ดหน้าสำนักงานประชาสัมพันธ์ฯ ติดกับทางเดินไปยังหอพักของผม ชะรอยจดหมายฉบับนี้น่าจะมีมือดีแอบนำไปเซ็นเซอร์แล้วเอามาแปะไว้ที่นี่เป็นการเตือนให้รู้กันทางอ้อม
แต่เขาทำอย่างนั้นเพื่ออะไร? ผมรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นอย่างยิ่ง
นุ้ย ที่รัก
ว่าจะเขียนจดหมายมาหานุ้ยตั้งแต่ตอนลงมาขายแร่เที่ยวแรกกับพ่อและน้องหมอน แต่ไม่มีโอกาส เพราะพวกเขาจะรีบกลับเหมืองในรุ่งเช้าของอีกวัน เลยทำให้ไม่มีเวลาที่จะนำไปส่งที่ไปรษณีย์ จะไหว้วานผู้อื่นก็เห็นเป็นเรื่องไม่เหมาะ คิดว่านุ้ยคงเข้าใจ
ส่วนจดหมายฉบับนี้บัวเขียนที่โรงพยาบาล ลูกสาวของบัวเป็นไข้ หมอให้นอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเพื่อเฝ้าดูอาการ แต่ตอนนี้เธอค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้ว นุ้ยไม่ต้องเป็นห่วง คิดว่าอีกสักวันสองวันก็คงจะกลับบ้านได้
บัวซื้อซองจดหมายกับกระดาษและแสตมป์ที่ร้านค้าสวัสดิการที่อยู่ใกล้ ๆ เมื่อเขียนเสร็จก็จะนำไปหย่อนลงในตู้ส่งจดหมายที่ริมถนนหน้าโรงพยาบาล ซึ่งบัวสังเกตเห็นตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา
ไม่นึกเลยว่าแค่จะเขียนจดหมายถึงใครสักคนที่เราแสนจะคิดถึง จะต้องรอโอกาสกับเขาเหมือนกัน
ขอให้ตั้งใจเรียนให้สำเร็จสมปรารถนา บัวขอเอาใจช่วยและเป็นกำลังใจให้เสมอ
รักและคิดถึง
บัว
เมื่อดูจากวันที่ที่ผู้เขียนเขียนไว้บนหน้ากระดาษ และวันที่ที่ไปรษณีย์ปลายทางประทับตรารับจดหมาย ห่างกันแค่หนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเลยเวลานั้นมาเกือบสิบวันแล้ว... แสดงว่าตอนนี้สาวบัวกับเจ้าตัวน้อยก็คงออกจากโรงพยาบาลและกลับเข้าสู่ผืนป่าดงเขายากันไปแล้ว ผมนอนครุ่นถึงหล่อนกับเจ้าตัวน้อยจนเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ พอตื่นขึ้นมาอีกทีก็ใกล้จะได้เวลาลงไปกินข้าวมื้อเย็นที่โรงอาหารอีกแล้ว เหลือพรุ่งนี้เช้าอีกมื้อเดียว ซึ่งเป็นมื้อสุดท้ายสำหรับเทอมนี้ที่เขาจะรับผิดชอบ เพราะพรุ่งนี้เป็นวันประกาศปิดภาคเรียนอย่างเป็นทางการ ใครที่ยังมีภาระคั่งค้างจะต้องพักอยู่ที่หอพักต่อไป ก็จะต้องออกไปหาซื้อกินข้างนอก ภาระสัญญาระหว่างโรงอาหารกับนักศึกษาที่ผูกขาดอาหารเป็นรายเทอมได้หมดสิ้นลงแล้ว
บนหอพักของผมว่างผู้คนจนผมรู้สึกเหงา พวกเขาคิดถึงบ้านและพากันกลับไปตั้งแต่เช้าวันแรกที่สอบเสร็จ ที่เหลืออยู่ก็มีแต่ผู้ที่ติดภาระคั่งค้างกันเท่านั้น... ซึ่งมีอยู่ไม่กี่คน โดยเฉพาะบนชั้นที่พักของผมเหลืออยู่สามสี่คนรวมทั้งผม และตอนนี้พวกเขาก็ออกไปทำธุระข้างนอกยังไม่กลับมา
กลับจากโรงอาหารผมนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเก่า ๆ รอเวลาพักผ่อนหลับนอนอยู่บนเก้าอี้ริมเตียงของผม แม้จะเลยหัวค่ำมาพอสมควรแต่อากาศภายในหอพักก็ยังร้อนอบอ้าว พัดลมเพดานไม่ช่วยอะไรได้เลย ผมอยากจะเดินไปเปิดมุ้งลวดรับลมเย็น ๆ ภายนอกสักบานสองบานก็เกรงฝูงยุงจะแห่กันเข้ามา จนในที่สุดทนร้อนไม่ไหวจึงเดินลงมาข้างล่างพร้อมกับขลุ่ยประจำตัว คิดในใจว่าจะลงไปนั่งรับลมเย็นบนม้าหินอ่อนใต้โคนไม้ข้าง ๆ หอพักสักครู่หนึ่ง พอให้อากาศภายในชั้นนอนคลายร้อนลงบ้างก็จะกลับขึ้นมาอาบน้ำอีกสักครั้งแล้วนอน
ผมรู้ตัวว่าความเหงาได้แล่นมาครอบงำตั้งแต่เมื่อได้อ่านจดหมายรักของสาวบัวฉบับนั้น ความคิดถึง...และเหนือไปจากนั้น-ขย่มจิตใจผมให้โหยหาจนอยากจะออกไปเดินเตร็ดเตร่เปลี่ยนบรรยากาศที่แผงร้านค้าหน้า วค.เสียสักพัก ทว่าความเงียบวังเวงอันน่าสะพรึงกลัวราวกับป่าช้าที่แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณก็ได้ยับยั้งผมไว้ และผมก็ไม่คิดที่จะแวบออกไปหาพี่โสภาสในยามค่ำคืนอีกแล้ว
รอบ ๆ อาคารสำนักงานและตึกเรียน รวมทั้งหอพักสูง ๆ สาม-สี่ชั้น ที่ตั้งเป็นแถวเป็นแนวไปตามถนนภายใน วค. สว่างไสวด้วยแสงนีออนที่พวกยามรักษาการฯเปิดทิ้งไว้ รอบ ๆ บริเวณม้าหินอ่อนใต้โคนไม้ที่ผมนั่งกระดิกเท้ารับลมเย็น แมลงกลางคืนกรีดปีกส่งเสียงดังเซ็งแซ่ ถัดออกไปที่สระน้ำหน้าแปลงเกษตรกบเขียดส่งเสียงร้องระงมอยู่เหมือนกัน
สายลมยามค่ำพัดโชยมาแผ่ว ๆ ผมรู้สึกสดชื่นสบายกาย ขณะทอดอารมณ์ล่องลอยไปไกลโพ้น... พลางจ่อหน้าแป้นเลาขลุ่ยเข้ากับริมฝีปาก หมายจะเอาเสียงขลุ่ยขับกล่อมตนเองให้พอเพลิดเพลินสักเพลงครึ่งเพลงแล้วจะกลับขึ้นไปอาบน้ำนอน
ทว่าทันใดนั้นก็เกิดเหตุระทึกขวัญแทรกขึ้นมาขัดจังหวะจนผมสะดุ้งตกใจ
ตูม ! ปัง! ปัง !
ปัง! ปัง ! ปัง!
เสียงปืนดังขึ้น 5-6 นัดไล่ ๆ กันที่หน้า วค. ซึ่งผมพอจะจับเค้าได้ว่า อย่างน้อยเสียงปืนที่ดังขึ้นนั้นเกิดจากปากกระบอกปืนคนละกระบอก แต่จะเป็นกี่กระบอกและชนิดใดบ้างผมไม่มั่นใจ พร้อมกับไม่มั่นใจว่าจะมีการตายเพราะเสียงปืนที่แผดคำรามขึ้นหรือไม่ หรือตายกันไปกี่คน ผมก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ ๆ ผมรู้สึกเป็นห่วงพี่โสภาสขึ้นมาทันที
ผมลุกขึ้นยืน เอาขลุ่ยเหน็บหลัง สอดไว้กับขอบยางยืดของกางเกงกีฬาขาสั้นที่นุ่งอยู่ แล้วเดินอ้อมกลับไปที่หน้าหอ เจอพวกเพื่อนนักศึกษาที่พักอยู่ชั้นล่างสามสี่คน ออกมายืนออกันอยู่บริเวณนั้นด้วยสีหน้าแตกตื่น รวมทั้งอาจารย์ดนัยซึ่งเข้าเวรดูแลหอพักสำหรับคืนนี้รวมอยู่ด้วยท่านหนึ่ง
"เสียงปืนใช่ไหม-นายนุ้ย" อาจารย์ดนัยซึ่งอยู่ในชุดนอนสีลาย ๆ ถามผม
"ครับอาจารย์" ผมเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา พร้อมกับเอ่ยปากชวน "เราออกไปดูกันหน่อยไหม?"
"อย่า - อย่า! " อาจารย์ดนัยห้ามเสียงสั่น "ดีไม่ดีจะพลอยติดร่างแหไปกับเขาด้วย... ไป - -กลับเข้าหอพักกันเถอะ"
ทุกคนเดินตามหลังอาจารย์คุมหอเข้าหอพัก ผมเดินเลยขึ้นไปชั้นบน พวกเพื่อน ๆ ที่พักอยู่บนชั้นเดียวกับผม ที่ยังเหลือ ก็ยังไม่มีใครกลับเข้ามา ไม่รู้พวกเขาไปทำธุระกันที่ไหน และคิดว่าคงจะไม่มีใครกลับเข้ามาอีกแล้ว เพราะอีกไม่กี่นาทีก็จะได้เวลาสามทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาปิดหอ คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า
แต่พอผมออกจากห้องน้ำ พวกเขาก็มาถึง และใครคนหนึ่งพูดกับผมด้วยใบหน้าที่ยังไม่คลายจากอาการตื่นตระหนกว่า
"อาจารย์พิเชฐถูกยิง"
"เมื่อตะกี้นะหรือ?" ผมตกใจ
"ใช่ !" เขาพยักหน้า "พวก อส.พาไปส่งโรงพยาบาลแล้ว"
"ตั้งสี่-ห้านัด?" ผมสงสัย พร้อมทั้งปักใจว่าแกน่าจะไม่รอด
"อาจารย์พิเชฐโดนไอ้เท่งซัดเข้าไปนัดเดียว" ใครคนนั้นเล่าเหตุการณ์ "สามสี่นัดหลัง เป็นพวก อส.ที่มากับแกยิงสวนคนร้ายด้วยลูกโม่ น่าจะเป็น .38 แต่ไม่ถูกใคร เพราะ อส.สองคนนั้นล้มตัวลงกับพื้นแล้วยิงสุมสี่สุ่มห้าตามหลังไป..."
แถวบ้านผมเรียกปืนลูกซองสั้นเมดอินไทยแลนด์ว่า "ไอ้เท่ง" ซึ่งเป็นปืนที่นิยมใช้กันในหมู่นักเลงไร้สังกัดชอบบินเดี่ยว บ้างก็ว่า มือปืนนิรนาม เพราะมือปืนพวกนี้สืบหาต้นตอได้ยาก ในส่วนหลักฐานก็ไม่รู้จะไปเสาะหาเกลียวกระสุนได้จากที่ไหน และราคามันก็ไม่กี่บาท ยิงเสร็จโยนทิ้งไปเสียก็ไม่น่าเสียดาย ทว่าไอ้เท่งก็ไม่เคยสร้างความผิดหวัง ถ้ามือปืนใจถึงเข้าไปจ่อระยะประชิดตัว...
ตูมเดียวจอด!
หากแต่รายอาจารย์พิเชฐแกกลับไม่ตายคาที่ เพราะมี อส. คุ้มกัน และแกก็ถูกนำส่งโรงพยาบาลในเวลาต่อมา ซึ่งจะรอดหรือไม่ยังไม่มีใครคาดเดาได้ ในขณะนี้ รู้เพียงแต่ว่าแกยังไม่ตายเท่านั้น
หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสองตามหลักคณิตศาสตร์ !
ทว่าสองบวกสองจะเป็นสี่หรือเป็นอย่างอื่นตามทฤษฎีของพวกหัวหมอหรือไม่ ยังคาดเดาไม่ได้ แต่ที่แน่ ๆ คืนนั้นกว่าจะหลับลงได้ ผมนอนกระสับกระส่ายพลิกไปพลิกมาหลายตลบ
เราจะต้องเป็นไก่ที่ถูกจับเชือดให้ลิงดูอย่างแน่นอน
เป็นความครุ่นคิดซ้ำซากและตัดสินใจไม่ถูกว่าจะทำอย่างไรกับตนเองต่อไปอยู่ตลอดเวลา... ซึ่งถ้าผมมีใจเอนเอียงไปในแนวทางใช้กำลัง คือ จับอาวุธต่อสู้ ผมก็จะไม่ทุกข์ร้อนอันใด เพราะภูมิลำเนาเดิมของแม่ผมอยู่ที่เวียงสระ-ดินแดนปฏิวัติตัวจริงเสียงจริง ญาติโกโหติกาของผมหลายคนก็ขึ้นไปร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่บนภูเขา พรุพี เหนือคลอง ช่องช้าง พรุกำ ปลายแพง ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมืองครั่นคร้ามเป็นที่สุด ซึ่งผมอาจแวบตามญาติ ๆ ขึ้นไปเมื่อไหร่ก็ได้
หากแต่นี่ไอ้ไข่นุ้ยมันก็แค่ "เด็กเรียน" ที่ชอบคบค้าสมาคมกับเพื่อนฝูง ไม่ยอมกักขังตนเองเหมือนใครบางคนที่ภาษาปักษ์ใต้เรียกว่า "พวกขี้มัน" เห็นแก่ตัว วัน ๆ หมกมุ่นอยู่กับตนเอง สุขสำราญอยู่กับ รูป รส กลิ่น เสียง อย่างเมามัน ใครจะเป็นจะตายไม่เคยสนใจ ขอให้ตัวเองปลอดภัยและสุขสบายก็พอ กิจกรรมต่าง ๆ ถ้าไม่มีผลต่อคะแนนเก็บระหว่างเรียน ก็ไม่ยอมเข้าร่วม ซึ่งคนประเภทนี้ช่างมีอยู่มากมายเหลือเกิน
ทว่าผลพวงจากการคบค้าสมาคมเพื่อนฝูงของผม ก็กำลังจะกลายเป็นดาบสองคม และอีกคมก็กำลังจะวกกลับมาบั่นคอผมเข้าให้แล้ว!
รถจี๊ปตราโล่เลี้ยวเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน พ่อกับแม่มีสีหน้าเคร่งเครียด น้องสาวสองคนนั่งกอดแขนผมร้องไห้น้ำตาเปียกชื้นทั่วใบหน้า กระทั่งถึงคราวที่ผมต้องลงชื่อในท้ายบันทึกการจับกุมข้อกระทำการอันเป็นคอมมิวนิสต์และพยายามฆ่า เธอทั้งสองจึงปล่อยมือผม แต่ยังคงร้องไห้อยู่เหมือนเดิม
กรามสองข้างของพ่อบดเข้าหากันจนเป็นสันนูน เมื่อผมก้าวลงขั้นกระได น้องสาวทั้งสองคนหวีดร้องเสียงแหลมจนแม่ต้องเข้าไปกอด และปลอบว่า "เขาไม่ทำอะไรบ่าวหรอก อีกวันสองวันบ่าวก็กลับ"
ตำรวจสามสี่นายพร้อมอาวุธครบมือรวมทั้งพลขับของรถจี๊ปคันนั้นพาผมมาที่โรงพัก สิบเวรประจำวันเป็นคนไขกุญแจเปิดประตูห้องขังต้อนรับการเหยียบโรงพักในฐานะผู้ต้องหาเป็นครั้งแรกในชีวิตผม
"เราได้แจ้งไปให้ทางโน้นได้รับทราบผลการจับกุมคุณแล้ว น่าจะไม่เกินพรุ่งนี้เขาคงมารับตัว" สิบเวรคนนั้นพูดกับผม
ทางโน้นของเขาก็หมายถึงโรงพักในท้องที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นเจ้าของคดีฆาตกรรมยามสุชาติ คดีพยายามฆ่าอาจารย์พิเชฐ และคดีความมั่นคง ที่มีรายชื่อผมไปปรากฏอยู่ด้วยนั่นเอง
เรื่องมีอยู่ว่า... เมื่อผมกลับบ้านได้ 2 วัน และกำลังเตรียมตัวจะขึ้นไปดงเขายา เพื่อไปทำเหมืองหารายได้พิเศษพร้อมทั้งหวนคืนไปหาคนที่ผมกำลังคิดถึงใจจะขาด... ก็มีจ่าตำรวจนอกเครื่องแบบซึ่งเป็นญาติห่าง ๆ กับพ่อเอาข่าวร้ายมาบอก พร้อมทั้งสอบถามว่า เป็นอย่างที่โรงพักทางโน้นแจ้งข่าวมาจริงหรือไม่ ถ้าจริง- จะหลบหนีขึ้นเขาหรือจะหนีไปไหน ก็ให้รีบหนีไปเสียก่อน สักครู่เขาก็จะส่งตำรวจในเครื่องแบบมาจับกุม หรือจะสู้คดีก็สุดแล้วแต่... เพียงแต่มาบอกไว้ก่อนจะได้เตรียมรับมือ
ผมตอบว่า "ไม่หนีไปไหนหรอกลุง เพราะผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา"
แล้วผมก็เล่ารายละเอียดทั้งหมดให้เขาฟัง รวมทั้งพ่อและแม่ด้วย
"ดวงไม่ดีเลย-ลูกเอ๋ย" พ่อพูด พลางมวนยาใบจากจุดสูบพ่นควันโขมง
"เรื่องคดีขึ้นโรงขึ้นศาลฉันไม่กลัว" แม่พูดขึ้นบ้าง "กลัวแต่เมื่อเสร็จเรื่องเสร็จราวแล้ว นุ้ยจะหมดโอกาสกลับไปเรียนต่อจนจบหลักสูตรนี่ซิสำคัญ"
"ทำไม?" นายจ่านอกเครื่องแบบผู้เป็นญาติของพ่อถามขึ้น "ถ้าเราไม่มีความผิดทำไมจะกลับไปเรียนไม่ได้"
"การเมือง" แม่ตอบ "การเมืองชนิดที่ต้องเข่นฆ่ากันให้ตายลงไปสักข้าง... มันได้เกิดขึ้นแล้วในสถาบันการศึกษาของไข่นุ้ย"
พ่อพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของแม่ เพราะรู้ว่าแม่ติดตามข่าวสารทั้งทางวิทยุและหนังสือพิมพ์อยู่ไม่ขาด กระทั่งจ่าตำรวจผู้อุตส่าห์นำความลับสำคัญถึงขั้นเขาเองจะต้องติดคุกถ้าหากต้นสังกัดสืบทราบมาบอกแก่เราได้ลากลับไป ผมก็นั่งทำใจและเตรียมตัวที่จะเผชิญชะตากรรม
**************************************