![]() |
![]() |
พลอยพนม![]() |
ตอน : พญานาคเล่นน้ำ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
1.พญานาคเล่นน้ำ
เรื่องเชย ๆ ที่จะนำมาเล่าให้พอเป็นที่บันเทิงใจต่อไปนี้ ส่วนหนึ่งจำลองมาเสี้ยวชีวิตจริงของบุคคลผู้หนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งเป็นผม(อาจไม่ใช่ผู้เขียน)ที่เสริมแต่งเข้าไปเพื่อประสงค์จะให้มันเป็นนิยาย ตามแต่โอกาสและความพร้อม อันหมายถึงยามว่างเว้นภาระการงานพอที่จะนั่งทบทวนเท้าความหลังอันรื่นรมย์ในบางส่วนออกมาได้ แม้บั้นปลายของความหลังที่เริ่มต้นด้วนความสุขสมจะต้องกลายเป็นเศร้ารัดทดไปในที่สุด แต่มันก็คือความทรงจำที่ผมมิอาจลืมเลือนได้เลย
เรื่องดังกล่าว ผมจำได้ว่า มันเกิดขึ้นขณะผมกำลังศึกษาวิชาครูปีแรกอยู่ที่วิทยาลัยครูเก่าแก่และมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของภาคใต้ ช่วงนั้นวิทยาลัยประกาศปิดภาคการศึกษาภาคสุดท้ายของปี ผมกลับบ้าน บ้านซึ่งขณะนั้นยังมีช้างป่าออกหากินอยู่ริมชายคากันเป็นโขลง ๆ และวันดีคืนดีมันก็ดีดลูกแปใส่ชายแก่คนหนึ่งเข้าให้ แค่เบาะ ๆ ซี่โครงหักไปสามซี่ ถึงกระนั้นก็นับว่าโชคของแกยังดีที่เผอิญรถกรมทางผ่านมาเจอเข้า ช้างป่าตกใจเสียงรถยนต์พากันเตลิดเข้าดงลึกไป พวกพนักงานกรมทางที่ติดมากับรถคันนั้นจึงช่วยกันหามแกขึ้นรถพาไปส่งโรงพยาบาล
เหตุการณ์อันชวนระทึกขวัญคราวนั้น แทนที่จะมีใครโศกเศร้าหรือหวาดกลัวกันสักคนก็หาไม่ กลับเห็นเป็นเรื่องโปกฮา ชวนกันหัวเราะชอบใจ เพราะว่ากันว่าเหตุที่ชายแก่โดนช้างถีบคราวนั้นก็เนื่องมาจากตัวแกไม่รักษาสัจจะ ผิดคำสาบาน แอบขับมอเตอร์ไซค์บุโรทั่งเสียงหวีดแหลมหนีแม่ศรีเรือนที่บ้านไปหาภริยาน้อยที่พำนักอยู่ซีกเขาฝั่งโน้นในเวลาดึกดื่น ซึ่งเป็นยามที่ช้างมันยกโขยงกันออกหากิน ชะรอยคงจะมีช้างตัวใดตัวหนึ่งนึกรำคาญเสียงรถมอเตอร์ไซค์ของแก ความหวังที่แกจะได้ไปเล่นจ้ำจี้จำไชกับแม่หวานใจที่ผัดหน้าทาแป้งรอถ้าอยู่ฝั่งเขาฝั่งโน้นก็พังพินาศ เพราะต้องไปนอนในห้องผ่าตัดให้หมอผ่าชายโครงเพื่อที่จะดามกระดูกซี่โครงที่หักไปสามซี่นั้นให้เข้ารูปเข้ารอยของมันตามเดิม
และนับตั้งแต่นั้น บริเวณที่ตาเฒ่าเจ้าชู้โดนช้างถีบ ใคร ๆ ก็พากันขนานนามให้มันว่า"ควนช้างถีบ"
"ควน" แปลว่า เนินเขา "ควนช้างถีบ"จึงพอที่จะแปลเป็นภาษากรุงเทพฯได้อย่างคร่าว ๆ ว่า บริเวณเนินเขาที่ชายแก่ผู้หนึ่งโดนช้างถีบนั่นเอง เวลาจะเข้าป่าเข้าดงไปล่าสัตว์ ตัดหวาย เจาะหาน้ำมันยาง หาพืชสมุนไพร หรือเลยลึกไปขุดแร่แสวงโชคในดงเขายา อันเป็นป่าดงดิบตรงรอยตะเข็บติดต่อระหว่างจังหวัดพังงากับจังหวัดสุราษฎร์ธานี ทุก ๆ ผู้คนก็จำต้องผ่านช่องประตูป่าตรงบริเวณริมถนนฝั่งทิศตะวันออกของควนช้างถีบด้วยกันทั้งนั้น
เมื่อตอนหยุดพักเรียนระหว่างปิดภาคการศึกษาคราวนั้น ผมก็ได้สะพายเป้บรรจุเครื่องยังชีพเดินป่าเข้าไปขุดแร่ในดงเขายาร่วมกับเพื่อนสองสามคน ก็ผ่านทางช่องประตูป่าแห่งนี้เช่นกัน พวกเราเดินทอดน่องไปตามสันเขาที่คดเคี้ยวและยักขึ้นยักลงครึ่งค่อนวันก็บรรลุจุดหมายปลายทาง
ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรก!
สมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมผมก็เคยดั้นด้นเข้าไปเสี่ยงโชคขุดหาทรัพย์ในดินเสริมรายได้ในระหว่างปิดภาคเรียนที่ป่าดงเขายาแห่งนี้มาแล้วเหมือนกัน หากแต่คราวนั้นเดินตามหลังผู้ใหญ่ไปอย่างเด็ก ๆ ติดสอยห้อยตามญาติผู้ใหญ่เข้าไป ท่ามกลางภยันตรายในป่าดงพงไพร ตัวตนของเราจึงตกอยู่ในความคุ้มครองดูแลของพวกเขา ไม่อิสรเสรีเหมือนเที่ยวนี้ซึ่งประมาณตนว่าโตเป็นหนุ่มแล้ว จึงได้จัดกระบวนทัพแบกขนสัมภาระโสหุ้ยมากันเอง พวกผู้หลักผู้ใหญ่และคนเฒ่าคนแก่ก็หอบสังขารไปประกอบกิจกรรมกันอยู่แต่ในส่วนของเขา จะไปมาหาสู่กันบ้างก็เฉพาะเวลาว่างหลังเลิกงาน หรือวันหยุดพักผ่อนเป็นบางครั้งบางคราวเท่านั้น
แม้งานขุดหาเม็ดแร่ที่ฝังอยู่ในกระสะ ปะปนอยู่กับ หิน ดิน ทราย ตามริมคลองหรือตามหุบเหวโดยทั่วไปจะเป็นงานหนัก สะกดพวกเราให้ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียขณะเอนกายลงนอนในตอนหัวค่ำ ทว่าพอถึงคราวไก่ป่าขานขันตอนย่ำรุ่ง เด็กหนุ่ม ๆ อย่างพวกเราก็กลับมีเรี่ยวแรงกระชุ่มกระชวย พลังวังชาทั่วทุกส่วนสัดของร่างกายกลับพากันเข้มและแข็งไปหมด
"ทำผีอะไร?"
ท่ามกลางบรรยากาศอันหนาวเย็นที่ต้องซุกตัวกันอยู่ภายใต้ผ้าห่มนอน ผมผงกหัวขึ้นถามเพื่อนคนหนึ่งซึ่งนอนคลุมผ้าห่มอยู่ใกล้ ๆ
มันหัวเราะแหะ ๆ
"เขกหน้าแข้ง"
"อุบาทว์" คนที่นอนถัดไปพลิกตัวมาด่า พร้อมกับดึงผ้าห่มของเพื่อนคนนั้นให้เปิดขึ้น "อันเดียวเท่าแขน ไอ้บองหลาเอ๋ย ฮา ๆ -นุ้ย-มึงไปเรียนหนังสืออยู่ในเมือง เคยแวะไปเที่ยวหญิงโรงแรมบ้างไหม?"
"สองสามหน" ผมโกหก
"เห็นสวรรค์รำไรเหมือนอย่างเขาว่าจริงไหม?" ไอ้คนที่นอนเขกหน้าแข้งตัวเองเลิกผ้าห่มหันมาถาม
"อ้าว! เวลาพวกมึงออกไปขายแร่ที่ตะกั่วป่า ทำไมไม่คิดจะลองดูบ้าง แถวนั้นก็มีหญิงโรงแรมนี่หว่า" ผมย้อน
มันหัวเราะ
"กลัวเป็นหนอง"
"ไอ้เปรต--มันขี้เท็จ-- ไอ้นุ้ยมึงอย่าไปเชื่อ" เสียงขัดคอจากเพื่อนอีกคนซึ่งตื่นมาแอบฟังแล้วทนไม่ได้ "ไอ้ผีตัวนี้เวลาไปขายแร่แล้วหายหัวไปเป็นชั่วโมง พวกเรานั่งคอยที่คิวรถหลับเป็นตื่นมันก็ยังไม่โผล่หัวมา"
"กูเดินเที่ยว"
"เที่ยวเปรตอะไรของมึงเป็นชั่วโมง ๆ ?"
"กูหลงทาง- -เดินกลับคิวรถไม่ถูก"
ไอ้บองหลาเล่นมุขหลบเลี่ยงจนผมอดหัวเราะไม่ได้
พวกเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ครั้งแก้ผ้ากระโดดน้ำคลอง จริตนิสัยเป็นอย่างไรล้วนรู้ไส้รู้พุงกันดี หากแต่ทั้งหมดที่นอนเรียงแถวกันอยู่เป็นตับบนเสื่อเก่า ๆ ภายในทับนอนริมลำธารกลางป่าลึกในขณะนี้นั้น ผมค่อนข้างจะมีภาษีกว่าพวกมันในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะความหล่อเหลาเงางาม เพราะชีวิตส่วนใหญ่ของผมจมจ่อมอยู่แต่ในร่ม อย่างน้อยผิวพรรณของผมก็ผุดผ่องดั่งทองทา ต้องตาอิสตรีมากกว่าพวกมันที่แต่ละคนดำเหนี่ยงเหมือนหัวตออยู่หลายขุม
วันนั้นเราตื่นกันแต่เช้า หลังช่วยกันล้างถ้วยจานและติดไฟก้อนเส้าหุงข้าวต้มแกงเสร็จแล้ว ก่อนกินข้าวเอาแรงออกไปขุดคุ้ยหินทรายในลำคลองเอามาใส่เรียงร่อนหาผงแร่ ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจับไข้ พวกเพื่อน ๆ เห็นอาการก็บอกให้หยุดพักอยู่ที่ทับนอน
"พวกมึงไม่ต้องคดห่อ" ผมบอกพวกมัน "ประเดี๋ยวตอนเที่ยงกูจะเอาไปส่งเอง"
"ไหวเหรอ" เพื่อนคนหนึ่งถาม
"คงไม่เป็นอะไรมากหรอก เดี๋ยวล่อพาราฯเข้าไปสักเม็ดสองเม็ดก็จบ"
พวกเพื่อน ๆ กินข้าวกินน้ำเสร็จก็ชวนกันไปลงงาน ผมหอบถ้วยจานที่พวกมันกินกันเสร็จแล้วซ้อนวางไว้บนแคร่ไม้ไผ่ตรงไปที่ลำธาร ตรงนั้นมีแท่งหินสีดำคล้ำกว้างใหญ่ปูลาดอยู่เหมือนมีใครมาเทพื้นคอนกรีตไว้ให้ ผมวางถ้วยจานที่นำมาล้างลงบนพื้นศิลาปริ่มน้ำแล้วนั่งทอดหุ่ยใจลอย... ฟังเสียงชะนีกู่ร้องเรียกผัวดังโหยหวนอยู่บนเนินเขาใกล้ ๆ ในขณะที่พิษยาซึ่งตอกเข้าไปสองเม็ดเริ่มออกฤทธิ์ มันขับเหงื่อเยิ้มเหนียวหนืดไปทั่วทั้งตัว
ทั้งที่อากาศยามเช้ายังหนาวเย็น ทว่าความร้อนรุ่มจากฤทธิ์ยาทำให้อยากอาบน้ำ แต่เกรงความไข้จะจู่โจมเล่นงานเข้าจริง ๆ ก็เลยไม่กล้า
"วันนี้ไม่ไปขุดแร่หรือ?"
ผมหันขวับ!
สาวบัวนั่นเอง! มายืนอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ?
"ฉันเห็นพวกนั้นเดินผ่านหน้าทับ ไม่เห็นนุ้ยไปกับเขาด้วย..." หล่อนพูดเสียงหวาน
"รอให้ยาหมดฤทธิ์แล้วจะตามไป"
"อ้าว เป็นไข้หรือ?"
"ไม่หรอก" ผมพูดพลางหันกลับไปหยิบถ้วยจานทั้งหมดแช่ลงน้ำที่ตื้นแค่ศอก "แค่ครั่นเนื้อครั่นตัว กับปวดเมื่อยตามข้อนิดหน่อยเท่านั้น"
"ตายจริง" หม้ายสาวหันมาดุผม "ยังจะมาถูกน้ำเย็น ๆ เข้าอีก ไม่ได้นะ ประเดี๋ยวก็เป็นไข้ขึ้นมาจริง ๆ หรอกคราวนี้ ถอยออกมา-พี่ล้างให้เอง-เธอกระเถิบไปนั่งตรงโน้นเลย- ไป"
หญิงหม้าย-ลูกหนึ่ง ชี้ให้ผมขยับขึ้นไปนั่งบนแท่งหินใหญ่อีกก้อน ซึ่งอยู่ถัดไปทางเหนือซักประมาณครึ่งวา แท่งหินก้อนนั้นรูปร่างคล้ายโซฟาตัวยาว ๆ แถมมีส่วนที่มองคล้ายพนักพิงผุดขึ้นมาชวนให้นั่งพักผ่อนอีกด้วย
ชะนีนางบนเนินไพรยังกู่ร้องโหยหวน ลมป่าพัดแผ่ว ผมสูดหายใจเก็บเกี่ยวความสดชื่นเข้าสู่ภายในอย่างลุ่มลึก... กระทั่งรู้สึกดีขึ้นเมื่อสายลมเย็นที่โชยมาช่วยบรรเทาความรุ่มร้อนจากพิษยาให้ผ่อนคลาย
สาวบัวนั่งยอง ๆ บนพื้นศิลาที่ทอดลาดลงสู่ผิวน้ำริมสายธาร หล่อนนั่งหันหลังให้ผม ขณะโน้มตัวก้มลงสาละวนอยู่กับถ้วยจานที่กำลังเช็ดล้างอยู่ในน้ำ ตะโพกงอนผายภายใต้ผืนผ้าถุงปาเต๊ะลายดอกไม้รัดรูปแต่งตึงได้สัดส่วน ยวนยั่วสายตา ปลุกเร้าความหนุ่มของผมให้ขยับตัวและขยายพองขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
"ไอ้โรคจิต!"
ผมเคยโดนเพื่อนหญิงในรั้วการศึกษาเดียวกันด่าตวาด ขณะเผลอตาจ้องมองเธอผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ประดับกายอยู่หลังฉากเวทีละคร ตอนที่เราเล่นละครเป็นคู่พระคู่นางด้วยกัน
ผมหัวร่อก้าก
"ตูดมึงสวยชิบหายเลยว่ะ"
"ไอ้เปรต-นี่แน่ะ..."
"โอ้ย!"
ผมรู้สึกจุกเสียดในช่องท้องจนหายใจไม่ออก เมื่อโดนลูกถีบของมันส่งกระเด็นลงไปกองอยู่กับพื้น
ทว่าสาบานให้ตายโหงตายห่า!ในเก้าวันเจ็ดวันเลยก็ได้ ขณะนั้นผมไม่มีความรู้สึกใด ๆ ในด้านลบกับเพื่อนหญิงคู่พระคู่นางของผมเลย
หากแต่บัดนี้ ท่ามกลามความอ้างว้างเดียวดาย ณ กลางป่าดิบ จิตใจของผมกำลังว้าวุ่นและฟุ้งซ่านระส่ำระสายเสียสิ้นดี
หม้ายสาวล้างจานใบสุดท้ายเสร็จ... เธอก้มวักน้ำล้างหน้าเรียกความสดชื่นให้ตนเอง
"สาวบัว"
"จ๋า"
"ไอ้ตัวเล็กอยู่กับใคร" ผมหมายถึงลูกสาวอายุขวบกว่าของหล่อน
"ฝากแม่ไว้"
หล่อนลุกขึ้นยืน สอดปลายนิ้วมือสองข้างรวบเส้นผมอันดกดำเสยไปไว้ด้านหลัง พร้อมหมุนกายหันมาทางผม
"ถามทำไม"
"เปล่า- -เกรงว่าจะรีบกลับ" ผมหยั่งท่าทีแบบหมาหยอกไก่
"วันนี้หยุดพัก"
หล่อนทอดสะพาน และผมก็เร่งเดินข้ามทันที
"มานั่งรับลมเย็นด้วยกันตรงนี้ดีกว่า" ผมขยับที่ให้หล่อน
สาวบัวเป็นหญิงสาวรุ่นพี่ผมสองปี หล่อนแต่งงานกับไอ้หนุ่มสิบล้อเมื่ออายุสิบหกย่างสิบเจ็ด ทว่าโชคร้าย ขณะตั้งท้องได้สามเดือน ไอ้หนุ่มสิบล้อคนนั้นก็ประสบอุบัติเหตุขณะขับรถไปส่งของให้เถ้าแก่ ยางรถล้อหน้าข้างหนึ่งเกิดระเบิดทำให้รถสิบล้อของเขาเสียหลักพุ่งประสานงากับรถบรรทุกสิบล้อด้วยกันที่แล่นสวนมาจบชีวิตทั้งคู่
"นึกอย่างไรถึงได้ดั้นด้นขึ้นมาขุดแร่ในป่าดงดิบอย่างนี้"
ผมถามเมื่อหล่อนเดินมานั่งลงใกล้ ๆ
"ก็คนบ้านเราส่วนใหญ่ยึดอาชีพนี้กันทั้งนั้นมิใช่หรือ? มีแต่พ่อแม่ของนุ้ยกับคนอื่นอีกไม่กี่คนใช่ไหม- -ที่ทำสวน?"
จริงของหล่อน!
เพราะนอกจากพวกเพื่อน ๆ ของผมที่บุกป่าฝ่าดงเข้ามาเสี่ยงโชคขุดแร่ในป่าแห่งนี้เป็นอาชีพแล้ว ก็ยังมีบุคคลอื่นอีกจำนวนมากที่พากันเข้ามาเสี่ยงโชคด้วยการขุดหาเม็ดแร่ใต้พื้นดินหรือตามท้องคลองยึดเป็นอาชีพเลี้ยงกายด้วยเหมือนกัน
"เคยมีคนมาจีบบ้างไหม?" ผมเลี้ยวกลับทางเก่า
"นับไม่ถ้วน ไอ้บองหลาเพื่อนรักของนุ้ยก็เอากับเขาเหมือนกัน"
ผมปล่อยก้าก นึกถึงตอนมันเขกหน้าแข้งตัวเองเมื่อตอนหัวรุ่ง
"ไอ้บองหลามันขยันงานนะ" ผมหยั่งท่าทีของหล่อน...
"คนบ้านเดียวกัน คุ้ยเคยกันมาตั้งแต่เด็ก- - รักไม่ลง"
"แล้วผม...?" ผมว่าพลางตัดสินใจเล่นบทเจ้าชู้ยักษ์ กระเถิบเข้าไปเบียดพร้อมโอบไหล่รวบกายหล่อนมาแนบชิด จนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นตูม ๆ เหมือนรัวกลอง
สาวบัวไม่ขัดขืน หากแต่ก้มหน้ามองพื้น หายใจหอบถี่ หน้าแดงเรื่อ พูดติด ๆ ขัด ๆ ฟังไม่ได้สรรพอยู่สองสามคำแล้วนั่งตัวแข็ง
ผมก้มจูบตรงเรียวแก้มของหล่อน กระซิบเบา ๆ
"เราลงไปเล่นน้ำกันเถอะ"
"หนาว"
"แต่ผมร้อน..." ผมลุกจากที่ แล้วก้มไปโอบรัดกายหล่อนพยุงให้ลุกตาม
หม้ายสาวเหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาด ๆ
"เดี๋ยวใครมาเห็น"
"ในน้ำไม่มีใครเห็นหรอก"
จากนั้นผมก็ค่อย ๆ ประคองหม้ายสาวก้าวย่างไปตามพื้นศิลาที่ทอดยื่นออกไปในสายน้ำ กระทั่งถึงช่วงน้ำลึกเหนือบั้นเอว ก็ตระกองกอดพาหล่อนแหวกว่ายไปตามกระแสน้ำมุ่งสู่ลืบหินใหญ่ริมฝั่งลำธารอีกด้าน ซึ่งมั่นใจว่าลับตาคน
**************************
เมื่อวันที่ : ๑๙ ต.ค. ๒๕๕๓, ๑๐.๓๖ น.
ชอบภาพประกอบจัง
เข้ามาเจิมภาค 2 เป็นคนแรก