![]() |
![]() |
พลอยพนม![]() |
ตอน : แว่วเสียงระฆังยกสุดท้าย
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ป่ารับฝนชุ่มฉ่ำสองวันติดต่อกัน ไม่มีใครลงไปขุดแร่ในขุมเหมือง แต่น้ำในลำธารก็ขุ่นข้นเป็นสีน้ำตาลอ่อน พัดพาเศษไม้ใบหญ้าลอยไปเป็นแพ เมื่อธรรมชาติเปลี่ยนฤดูกาล การขุดหาสายแร่ของชาวเหมืองป่าในดงเขายาก็จำต้องเปลี่ยนรูปแบบตามไปด้วย เพราะน้ำในลำธารที่เพิ่มระดับสูงขึ้นทุกวัน อีกหน่อยชาวเหมืองก็ไม่อาจจะลงไปขุดหาแร่ในขุมเก่าริมลำธารกันได้อีกแล้ว
เช้าวันที่สามขณะท้องฟ้าครึ้มเมฆฝน ตาปัญญาตื่นไปสำรวจขุมเหมืองของแกซึ่งอยู่เลยขุมของพวกเราขึ้นไปทางเหนือสามสี่คุ้งน้ำแต่เช้ามืด และกลับมาขณะผมกับไอ้พริ้งกำลังก่อไฟเตรียมหุงข้าวต้มแกงกันอยู่ที่ทับของพี่สงัดพอดี แกบอกพวกเราว่าต้องรีบไปกู้แร่ขึ้นจากรางอย่างเร่งด่วน เพราะหากวันนี้ฝนซ้ำหนัก ๆ ลงมาอีกสักห่าสองห่าน้ำป่าก็คงทะลักล้นนองท่วมตลิ่งแน่ ซึ่งก็หมายถึงว่าแร่ของเราที่กองซุกอยู่ในรางใต้ระดับน้ำแค่กลางหน้าแข้งจะโดนน้ำท่วมจมมิด หมดโอกาสที่จะกู้หรือตักใส่เรียงร่อนเอามาได้ ชะดีชะร้ายเกิดดินโคลนจากทางเหนือไหลลงมาทับถมซ้ำลงไปอีกชั้นก็จะทำให้การเก็บกู้ในวันต่อไปลำบากยิ่งขึ้น
"ถึงอย่างไรก็กู้ไม่ทัน" พี่สงัดพูดพร้อมกับแหงนมองท้องฟ้าไปรอบ ๆ ในขณะที่เมฆฝนสีเทาซึ่งกำลังเคลื่อนตัวมาทางทิศตะวันตกก็ดูเหมือนจะย้อยต่ำลงมาทุกที ป่ารอบด้านมืดครึ้มลงราวกับจะหวนเข้าสู่ยามมืดค่ำอีกครั้ง "ผมว่าสักประเดี๋ยวกินข้าวกินน้ำกันเสร็จแล้วเราไปถางป่าที่หน้าเหมืองบนเนินเขากันดีกว่า แร่ในลำธารปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ อย่างมากไม่เกินมะรืนนี้ฝนคงแล้ง ค่อยไปกู้กันก็ได้"
พี่สงัดพูดไม่ทันจบคำ บนเนินเขาที่มองเห็นอยู่ไม่ไกลฝนก็โปรยลงมาเป็นม่านละอองขาว ในขณะที่ยอดเขาสูง ๆ ต่ำ ๆ สลับกันไกลออกไปถูกปกคลุมด้วยเมฆฝนสีเทาจนหมดสิ้น ผมไม่รู้พี่สงัดมั่นใจได้อย่างไรว่าไม่เกินพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ฝนจะแล้ง เพราะถ้ามองดูสภาพท้องฟ้าในขณะนี้ ผมว่ามันน่าจะตกติดต่อกันเป็นเดือน ๆ ถึงจะหยุด แต่นั่นแหละพี่สงัดแกมีวิทยุทรานซิสเตอร์ขนาดพกพาอยู่เครื่องหนึ่ง ซึ่งอาจบางทีแกคงได้ฟังข่าวพยากรณ์อากาศมาแล้วก็ได้ เพราะแม้แต่ตาปัญญาก็ไม่ขัดความคิดเห็นของแก
"จะเอาอย่างนั้นก็ได้" ตาปัญญาพยักหน้าพร้อมกับขอตัวไปหาข้าวหาน้ำใส่ท้องที่ทับของแก ผมกับไอ้พริ้งก็เร่งพัดไฟไม้ฟืนในเตาก้อนเส้าให้โหมกระพือเพื่อแข่งกับเวลาที่กำลังเคลื่อนไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเม็ดฝนก็เริ่มโปรยปรายพร่างพรูลงมา
พี่สงัด ไอ้พริ้ง ไอ้ชน รวมทั้งตาปัญญาไม่มีอาชีพอื่นนอกจากทำเหมือง หน้าแล้งน้ำในลำธารตื้นเขินพวกเขาก็เสาะหากระสะแร่ตามซอกลำธารขุดร่อนกัน แต่พอย่างเข้าหน้าฝนน้ำป่าไหลนองน้ำในลำธารเพิ่มระดับและไหลเชี่ยวจนต้านไม่อยู่ อีกทั้งบางคราวยังชะพาดินโคลนและกิ่งไม้ใบหญ้าไหลล่องลงมาไม่ขาดสาย การทำเหมืองจึงต้องพลิกแพลงรูปแบบไปตามสถานการณ์
เช้าวันนั้น หลังจากกินข้าวกินน้ำกันเสร็จแล้วคณะของเราสี่คนก็เดินทอดน่องตามหลังกันไปยังโตรกเหวใกล้กับโตนนกอาบ ที่นั่นมีร่องรอยการทำเหมืองแล่นอยู่หลายเจ้า ซึ่งแต่ละเจ้าก็รกรื้อไปด้วยพุ่มเสือหมอบสูงท่วมหัว แถมยังมีต้นสามแก้วที่มีพิษร้ายไม่แพ้ต้นตะลังตังแซมอยู่ด้วยห่าง ๆ นอกนั้นก็เป็นไผ่ตากวางกอเล็ก ๆ แต่ลำต้นของมันช่างเหนียวเหลือเกิน ผมเอามีดพร้าแผ้วถางได้ไม่ทันหมดกอก็หอบฮัก ๆ เหมือนโดนโขลงช้างไล่มา พี่สงัดกับตาปัญญาหันมามองผมแล้วหัวเราชอบใจ ดีหน่อยที่ขณะพวกเรากำลังแผ้วถางป่าก็มีสายฝนโปรยปรายลงมาเปียกชุ่ม ช่วยให้คลายร้อนและไม่เหนื่อยจนเกินไปนัก
เมื่อถางป่ากันได้สักประมาณหนึ่งไร่ตาปัญญาก็ชวนไปดูทำนบเก่าที่พวกเขาสร้างกันไว้เมื่อหน้าฝนปีที่แล้ว ซึ่งมันอยู่ตรงร่องน้ำที่แยกมาจากส่วนหนึ่งของน้ำตกที่โตนนกอาบนั่นเอง เป็นทำนบที่พวกเขาใช้ชะแลงงัดก้อนหินขนาดครกตำข้าวกลิ้งมาเรียงแถวกั้นสายน้ำนั้นไว้ พร้อมกับขุดร่องคูส่งน้ำไปยังหน้าเหมืองที่อยู่ข้างล่าง เพื่ออาศัยแรงน้ำที่ไหลพุ่งลงไปนี้ทำหน้าที่ชะล้างหิน ดิน ทราย ในรางเหมืองให้ไหลไปตกท้ายราง เลียนแบบระบบการทำเหมืองฉีด
การตกแต่งทำนบและปิดกั้นสายน้ำให้ไหลไปตามร่องคูของพวกเขารอบนี้ผมไม่อาจช่วยเหลือได้มากนัก เพราะบริเวณนั้นเป็นที่ลาดชัน เกลียวน้ำไหลพุ่งลงสู่เบื้องล่างรุนแรงมาก พลาดพลั้งมีหวังโดนน้ำพัดพาตกลงไปแข้งขาหัก อีกทั้งผมไม่ค่อยเข้าใจกรรมวิธีการทำงานประเภทนี้ จึงได้แต่นั่งดูและคอยหยิบโน่นหยิบนี่อำนวยความสะดวกตามแต่พวกเขาจะเรียกใช้ กระทั่งเวลาล่วงเลยไปจนรู้สึกหิวข้าวซึ่งก็คงประมาณเที่ยงวันทุกอย่างก็เสร็จสิ้น ทำนบกั้นน้ำถูกตกแต่งซ่อมแซมและเสริมทับด้วยใบพ้อใบชิง รวมทั้งใบปุดใบหนา ๆ คล้ายใบข่าอย่างหนาแน่นจนกระแสน้ำไม่อาจลอดผ่านได้ ทำให้น้ำที่ไหลพุ่งไปตามคูส่งน้ำของพวกเขาไหลเชี่ยวจนไอ้ชนซึ่งลื่นไถลพลัดตกลงไปยืนต้านแทบไม่ไหว และแน่นอนว่ากระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากอย่างนั้นสามารถที่จะชักพาก้อนหินขนาดกำปั้นให้กลิ้งหลุน ๆ ออกไปสู่ท้ายรางเหมืองของพวกเขาได้สบาย โดยไม่ต้องออกแรงช้อนด้วยชะนางให้เมื่อยมือ
ทว่าเสียดายที่การเข้าป่าขุดแร่ที่ดงเขายาเที่ยวนั้น ผมไม้ได้อยู่เลยไปจนถึงฤดูกาลทำเหมืองแล่นร่วมกับพวกเขา เพราะหลังจากนั้นอีกวันฝนก็แล้งขาดเม็ด ดวงอาทิตย์สาดแสงสว่างจ้าตลอดทั้งวัน และเมื่อล่วงไปอีกวันน้ำในลำธารก็ลดระดับลงจนเกือบเข้ารูปเดิม พี่สงัดจึงตัดสินใจชวนกันไปกู้แร่ในรางที่เราช่วยกันขุดขึ้นมากองไว้พร้อมกระสะหิน ดิน ทราย ที่ยังคงหลงเหลือปะปนอยู่บางส่วน
งานกู้แร่เป็นงานหนัก... พวกเราต้องช่วยกันใช้ชะนางช้อนก้อนหินในรางทิ้งไปจนหมด แม้แต่ก้อนขนาดนิ้วโป้งก็ไม่ให้เหลือ ซึ่งใชเวลายาวนานกว่าสองชั่วโมง จากนั้นก็ถึงขั้นตอนของการ "พายราง" คือใช้จอบสับลงไปในรางแล้วลากทวนน้ำจากท้ายรางขึ้นมายังหัวราง เพื่อให้ทรายหยาบฟุ้งกระจายแล้วโดนกระแสน้ำพัดพาไป ทุกคนผลัดกันพายรอบแล้วรอบเล่ากว่าเม็ดทรายเหล่านั้นจะเบาบาง กระทั่งมองเห็นเม็ดแร่สีดำ ๆ ปะปนกับทรายละเอียดกองอยู่บนท้องรางลึกลงไปใต้ผิวน้ำระดับกลางหน้าแข้ง
ในบรรดา หิน ดิน ทราย ที่คละเคล้าปะปนอยู่ แร่ซึ่งเป็นวัตถุที่มีน้ำหนักมากกว่าหินและทรายละเอียดพวกนั้น อีกทั้งเราก็ปรับระดับกระแสน้ำที่ป้องไว้เป็นทำนบให้ไหลเชี่ยวฝ่าไปขนาดพอดี มันจึงไม่เคลื่อนที่ไปไหน เพราะฉะนั้นเมื่อเรายิ่งพายก็จะยิ่งเห็นมันโดนจอบชักลากขึ้นมากองที่หัวรางจนดำมืดชวนให้ตื่นเต้นกันไม่น้อย แม้จะมีทรายละเอียดปะปนอยู่จำนวนมากแต่ก็พอจะมองออกว่าเที่ยวนี้เราขุดแร่กันได้ในปริมาณที่มากเท่าใด
ครั้นเราพายรางกระทุ้งเม็ดทรายและช้อนหินทิ้งไปจนเหลือแต่แร่กับทรายละเอียดเพียงสองอย่างแล้ว งานสำคัญขั้นถัดไปก็ตกเป็นหน้าที่ของพี่สงัดซึ่งเป็นผู้ชำนาญในการร่อนแร่ ทำหน้าที่ร่อนเอาทรายละเอียดเหล่านั้นทิ้งไปอีกทีด้วยเรียงไม้รูปร่างคล้ายกระทะไม่มีหูขนาดหมวกใบลานซึ่งเตรียมกันมาเรียบร้อยแล้ว ผม ไอ้พริ้ง ไอ้ชน ผลัดกันตักแร่ปนทรายในรางด้วยพลั่วขนาดเล็กใส่เรียงให้พี่สงัดเป็นผู้ร่อน อีกทั้งคอยบริการใบกระท่อมและมวนบุหรี่ใบจากให้แกเสร็จสรรพ เวลาสำคัญอย่างนี้ต้องอาศัยความเข้าอกเข้าใจกันจริง ๆ ไม่มีเวลาจะเกี่ยงมึงเกี่ยงกูหรือทำเป็นเล่นเหมือนวันก่อน ๆ ได้เลย
การขุดหาแร่ตามซอกลำธารในหน้าแล้งเที่ยวนี้ตาปัญญาขอบินเดี่ยว การกู้แร่ของแกจึงออกจะช้ากว่าพวกเราอยู่สักหน่อย เพราะในขณะที่ดวงตะวันกำลังจะลอยขึ้นตรงหัวและเราเริ่มรู้สึกหิวข้าวกันแล้ว การกู้แร่ของพวกเราก็เสร็จสิ้น หากแต่ตาปัญญาก็ยังไม่โผล่หน้ามาที่หน้าเหมืองของเราเลย
"เราไปช่วยตาปัญญากันก่อนไหม? ช่วยแกให้เสร็จเสียก่อนแล้วค่อยกลับไปกินข้าว" ผมหารือพรรคพวก
"มึงไปกับไอ้ชน" พี่สงัดว่า "กูกับไอ้พริ้งจะขนเครื่องมือและแบกแร่กลับทับกันก่อน"
"เดี๋ยวกูจะหุงข้าวเผื่อแกด้วย เสร็จแล้วบอกแกไปกินข้าวกับเราเลย" ไอ้พริ้งทำใจกว้าง เพราะมันรู้ว่า บ่ายวันนี้ยังไง ๆ ก็ต้องอาศัยตาปัญญาให้ช่วยไถ้แร่นั่นเอง
ตั้งแต่เข้ามาอยู่ป่าจนเวลาล่วงเลยมาเกือบสามสิบวัน ผมรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่พวกเราจะรื่นรมย์และมีความสุขกันเป็นพิเศษ อย่างแรก เราได้แร่กันมากเกินความคาดหมาย จึงเกิดความปีติยินดีเป็นธรรมดา แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใด ก็คือ อย่างช้าไม่เกินมะรืนนี้เราก็จะได้กลับออกจากป่าไปสู่เมือง นำแร่ไปขายและนำเงินที่ได้จากการแบ่งปันไปฝากครอบครัว
ดวงตะวันทอดเฉียงไปทางทิศตะวันตกจวนจะลับทิวไม้ ค่างไพรส่งเสียงร้องอยู่ใกล้ ๆ คล้ายจะบอกย้ำว่าอีกไม่ช้าราตรีกาลก็จะมาเยือน ตาปัญญากับพี่สงัดขลุกอยู่กับการไถ้แร่ที่ลำธารหน้าทับนอน ผมกับไอ้พริ้ง ไอ้ชน ช่วยกันเติมฟืนคั่วแร่ให้แห้งเพื่อที่จะบรรจุใส่ถุงแบกออกจากป่าไปขาย และในเวลาเดียวกัน น้ากี่กับน้าหวังสองคนผัวเมียก็โผล่มาเยี่ยมพวกเราพร้อมกับหิ้วขวดเหล้าขาวมาเสริมสัมพันธไมตรีกับตาปัญญาขวดหนึ่งด้วย น้าหวังผู้เป็นเมียถือกระปุกเนื้อกระทิงหมักเปรี้ยวเอามาต้มข่าตะไคร้ทำกับแกล้ม
เวลาล่วงไปกระทั่งดวงตะวันชิงพลบตาปัญญาก็ไถ้แร่เสร็จหมดทั้งสองเจ้า พร้อมด้วยกับแกล้มในหม้อที่น้าหวังเป็นคนปรุงอยู่บนไฟก็สุกหอมยั่วน้ำลาย ความสนุกสุขใจที่เกาะกุมอยู่ทุกอณูร่างกายทำให้ผมอยากทดลองจิบเหล้าขาวกับเขาบ้าง
"ของไม่ดีเอ็งอย่าริกินเข้าไป" ตาปัญญาว่าพลางรินเหล้าใส่จอกตะไลเกือบครึ่งค่อนแล้วยกขึ้นซดรวดเดียวเกลี้ยง
"เมื่อรู้ว่าของไม่ดี แล้วตนเองกินเข้าไปทำไม?" ไอ้พริ้งขัดคอแก
"นั่นนะสิ" ไอ้ชนเสริม "ปากว่าของไม่ดีแต่ตนเองกลับซดเอา ๆ จนคนอื่นคว้าจอกแทบไม่ทัน"
"กลัวคนอื่นจะแย่งกินน่ะไม่ว่า" ไอ้พริ้งว่าพลางหัวเราะ ฮา ๆ พร้อมกับเอื้อมไปหยิบขวดเหล้ายกรินใส่จอกจนเกือบเต็ม "เอาเลยไอ้นุ้ย มึงกับกูแบ่งซดกันคนละครึ่ง ประเดี๋ยวจะได้กินข้าว กูชักจะหิวขึ้นมาแล้ว"
และในที่สุดคืนนั้นผมก็หลับใหลลงด้วยฤทธิ์เหล้าที่ดื่มเข้าไปก่อนกินข้าวกับไอ้พริ้งคนละครึ่งจอกจนรุ่งเช้าดวงตะวันแย้มยอดไม้เบื้องทิศตะวันออกถึงได้ตื่นขึ้นมาล้างหน้าล้างตาและเดินไปกินข้าวมื้อเช้าที่ทับพี่สงัดอีกคราว
"เป็นยังไงบ้าง" พี่สงัดถามขณะร่วมวงกินข้าวด้วยกัน "ใครยังรู้สึกปวดเมื่อยแขนขาอยู่บ้าง วันนี้เราจะหยุดพักผ่อนกันอีกวัน พรุ่งนี้จะเดินทางกลับ"
"หยุดพักอีกสักวันก็ดีเหมือนกันจะได้ไปสอยค่างเอาไปฝากที่บ้านสักตัวสองตัว" ไอ้ชนว่า
"มึงอย่าดั้นไปให้เหนื่อยอีกเลย" พี่สงัดขัดคอ "นอนพักเอาแรงดีกว่า พรุ่งนี้แบกแร่หนักกว่าทุกเที่ยวนะเว้ย"
"หนักก็ไม่ต้องรีบ หมดแรงตรงไหนก็หยุดพักตรงนั้น พอหายเหนื่อยก็ไปต่อ"
"กว่าจะออกไปถึงถนนหลวงก็บ่าย หมดรถขาล่องเข้าเมืองกันพอดี"
พี่สงัดไม่เห็นด้วย แต่ไอ้ชนยังฝืนว่า "กูจะไปแถวเนินเขาใกล้ ๆ แค่นี้ ไม่ออกไปไกลหรอก ไม่เจอก็กลับ... ไปด้วยกันไหมนุ้ย"
สุดท้ายไอ้ชนก็หันมาถามผม ซึ่งจริง ๆ แล้ว ขณะนั้นผมรู้สึกขัดยอกและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อขึ้นมาตงิด ๆ จนนึกอยากจะพักผ่อนให้เต็มที่สักวัน แต่ครั้นถูกเพื่อนชักชวนออกป่าซึ่งเป็นสิ่งโปรดปราน ความปวดเมื่อยที่ว่าก็ดูเหมือนจะหดหายไปโดยพลัน ปืนแก๊ปของไอ้พริ้งกระบอกนั้นจึงถูกยกใส่บ่าของผมอีกครั้งหนึ่ง แล้วเราสองคนก็ชวนกันมุ่งหน้าไปทางเนินเขาเตี้ย ๆ ที่อยู่ห่างไปทางทิศเหนือของทับชนิดกู่เรียกกันได้ยิน ซึ่งเรามักจะได้ยินเสียงค่างกู่ร้องก้องป่าแถวนั้นบ่อย ๆ
เช้าวันนั้นอากาศเย็นฉ่ำ ร่องรอยฝนตกเมื่อสองวันก่อนทำให้ใบไม้เหี่ยวแห้งที่หล่นลงมาเกลี่ยนกลาดอยู่บนพื้นใต้โคนของมันดูดซับน้ำฝนจนอ่อนนุ่ม ระหว่างทางเดินเมื่อเราสองคนย่างเท้าเหยียบย่ำลงไปก็ไม่ปรากฏเสียงดังกรอบแกรบให้ต้องคอยระแวดระวังเหมือนช่วงแล้ง แต่ทว่านั่นแหละสิ่งที่มากับความเปียก ชื้นซึ่งหน้าแล้งที่ผ่านมาไปเคยพบเจอก็พลันปรากฏขึ้นมาให้เห็นในทันที อย่างแรกก็ ยุง พวกมันพากันบินตอมและกัดกินเลือดของเราทั้งที่ท่อนแขน ใบหน้า รวมทั้งใบหูสองข้างมากมายยิ่งกว่าฝูงผึ้ง อย่างที่สองก็ตัวทาก ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเดินป่าไปทางไหนผมไม่เคยเจอพวกมันสักตัว ทว่าบัดนี้ใต้ใบไม้ใบหญ้าที่เปียกชื้นแทบทุกหย่อมเมื่อเราก้าวย่างลงไปพวกมันก็จะยืดลำตัวโผล่ขึ้นมาตวัดเกาะติดหลังเท้าของเรากันยั้วเยี้ยน่าพองขน ทากพวกนี้ปากเบายิ่งกว่ามือหมอฉีดยา เพราะขณะที่มันเจาะดูดเลือดของเราไม่ว่าที่ง่ามเท้าภายในรองเท้าผ้าใบ หรือแถว ๆ ปลีน่องและหน้าแข้งก็จะไม่รู้สึกเจ็บ แต่พอเรารู้สึกคัน ๆ ก็ปรากฏว่ามันดูดเลือดของเรากินไปจนอิ่ม แล้วมันก็คายหลุดออกไปเหลือแต่รอยแผลแดง ๆ เล็ก ๆ มีเลือดอาบซึมอยู่รอบ ๆ ซึ่งวันนั้นกว่าจะดั้นด้นไปจนเจอฝูงค่างที่กำลังห้อยโหนเก็บกินลูกไม้กันอยู่ ผมก็โดนทั้งทากทั้งยุงรุมเล่นงานเสียจนคันคะเยอไปทั้งตัว
ซึ่งผมคิดว่า นั่นคือสิ่งแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมเสมอสำหรับป่า
-------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อวันที่ : ๑๐ ต.ค. ๒๕๕๓, ๑๕.๕๕ น.
ยิ่งอ่านยิ่งเพลินค่ะ ภาพก็ยอดเยี่ยม เข้ากับเนื้อเรื่องเป็นที่สุด คุณนามฯวาดเองหรือเปล่าคะ?
เรื่องทากนี่ แค่คิดก็ขนพองสยองเกล้า แต่คุณนามฯก็อธิบายได้เป็นธรรมชาติจริง ๆ ทำให้เข้าใจว่ามันก็เป็นวงจรชีวิตแบบหนึ่ง เลยรู้สึกกลัวน้อยลง
สำนวน "ทากพวกนี้ปากเบายิ่งกว่ามือหมอฉีดยา" เข้าท่าเป็นอย่างยิ่งค่ะ อันนี้คงหมายถึงหมอที่มือเบาเท่านั้นนะคะ ดีอย่างหนึ่ง รจนาไม่กลัวเข็มฉีดยาเท่าไร
(ปล แฮ่ม รจนาลงเรื่องบาร์เซโลน่าแบบรีบร้อน เลยไม่ได้ให้ความเป็นมา เดี๋ยวมีเวลาจะไปปรับแต่งแก้ไขนะคะ ขอบคุณที่แสดงความคิดเห็นไว้ค่ะ)