นิตยสารรายสะดวก  Articles  ๑๕ กันยายน ๒๕๕๓
นส.เมรัย #3
นายอิติฯ
...ตั้งแต่นั้น​มาคนรอบๆ​ข้างก็ตั้งนิกเนมเพิ่มให้ผมอีกชื่อ

"น้องแว่น"
"ไอ้เชี่ยแว่น"
"พี่แว่น"
"น้าแว่น"
"ลุงแว่น"
หนักหน่อย​ก็ "ตาแว่น"...

ตอน : จอกสาม

ผมติดต่อหา​เพื่อนเก่า คนบ้านเกิดเดียวกัน​ที่ทำงานอยู่​สมุทรสาคร ​เพื่อหางานทำใหม่ ​และก็​ได้งานทำ​ที่นี่ ​แม้​จะหยุดดื่มเหล้าขณะ​ที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาล ​แต่​เมื่อกลับมาทำงาน คบ​เพื่อนฝูง ผมก็ดื่มต่ออีก​และเรื่อยๆ​มาจน​แต่งงาน​กับสาวโคราชบ้านเดียวกัน ​ที่ยืนหยัดในรักมานานหลายปี​และมีครอบครัวของตัวเองด้วยวัย ๒๕ ปี

ผมเลิกยาเด็ดขาด แรกๆ​ของการหันหลังให้​กับยาบ้า ด้วย​ความ​ที่คิดว่าตัวเองยังไม่ถึงขั้นติดจนเข้าเส้น จึงเข้าใจว่าคงหยุด​และเลิก​ได้อย่างง่ายๆ​ นั่น​เป็นการคิด​ที่ผิด ​แต่ละวันของผม มันผ่าน​ไปอย่างทุลักทุเล ร่างกาย​ที่อ่อนแรงอ่อนล้า สมอง​และ​ความคิดอันสับสนมันวิ่งวนอยู่​ในหัว หลับตานอน​แต่ละวัน มันช่างไร้​ความอิ่มเอม ​ต้องอาศัย​ความเมาช่วยทุกครั้ง​ไป จนเกือบร่วมเดือน นั่นล่ะ...​ร่างกายจึงเริ่มอยู่​ตัว

ภายหลังจากเลิกขาดจากยาบ้า​ได้อย่างสิ้นเชิง ผมก็ยังดื่มเหล้าอยู่​ ​เพราะทุกๆ​เทศกาล​ที่หวนกลับบ้านเกิด ไม่ว่า​จะบ้านพ่อแม่ บ้านพ่อตาแม่ยาย กลับ​ไปทีก็มี​แต่การต้อนรับจากกลุ่มพี่น้อง ​ที่ขันอาสารับมรดกยึดอาชีพทำนา ​และทำมาหากินใกล้ๆ​บ้าน มันก็ขาดเหล้าไม่​ได้อยู่​ดี

ตัวผมเริ่มจากการดื่ม เชียงชุน สาโท เหล้าขาว เหล้าป่า เหล้าแดง เหล้านอก จน​เป็นการดื่มเหล้า​ที่หลากหลายชนิด​ต่อมาเรื่อยๆ​ ด้วยปริมาณ​ที่เพิ่มขึ้น​ ​เมื่อเลิกงานก็​ต้องก๊ง​ต้องกั๊ก จวบจน​แต่งงาน เหล้าก็ยังคบ​กับผม​ได้อย่างแนบแน่น​และตลอดเรื่อยมา จนอายุย่างเข้า ๓๐ ผมเริ่มมีปัญหาด้านสายตามองไม่ชัด มองไกลๆ​ ภาพมัน​จะลางเลือน ก็เลย​​ต้องตัดแว่น ​ใครๆ​ก็บอกว่านั่นล่ะ อยากกินเหล้าเยอะนัก ตาฝ้าฟาง​ไปเลย​ สมน้ำหน้าผมก็มี ตั้งแต่นั้น​มาคนรอบๆ​ข้างก็ตั้งนิกเนมเพิ่มให้อีกชื่อ

"น้องแว่น"
"ไอ้เชี่ยแว่น"
"พี่แว่น"
"น้าแว่น"
"ลุงแว่น"
หนักหน่อย​ก็ "ตาแว่น"

บ่อยครั้ง​ที่มีคำถามมาเข้าหู ว่าดื่มทำไม? ​ได้อะไร​บ้างจากการดื่มเหล้า?

ดังนั้น​ ผมขอสรุปจากประสบการณ์ตรง​ที่​ได้ี่ตะลุยดื่มในหลายๆ​บรรยากาศ ว่า​โดยรวมๆ​แล้ว​ผม​และอีกหลายๆ​ล้านคนดื่มเหล้า ​เพราะอะไร​? ​และทำไม? ​ได้อะไร​? แน่นอนว่า ทุกๆ​อย่างมันมีเหตุ​และมีผล...​ถูกผิดโปรด​ใช้วิจารณญาณแยกแยะกันดูนะครับ​

ดื่ม​เพื่อสังสรรค์ในงาน​และเทศกาลต่างๆ​ คนชนบทดั้งเดิม​แต่ไหน​แต่ไรมา จากบรรพบุรุษสืบทอดสู่ลูกหลาน เวลามีการรวมตัวช่วยกันลงแรงร่วมกันทำอะไร​สักอย่าง เช่นงานบุญ งาน​แต่ง งานบวช ขึ้น​บ้านใหม่ เก็บเกี่ยวข้าว กิจกรรมเหล่านี้ล้วน​แต่​ต้องมีการเลี้ยงดูปูเสื่อ ดื่มกินกันแทบ​ทั้งนั้น​ ​ซึ่ง​แต่ละครัวเรือนไม่​ต้อง​ไปเดือดร้อนซื้อหาจัดเตรียมอะไร​มากมาย​นัก หมูเห็ดเป็ดรึ..ไก่ก็เลี้ยงกันเอง พืชผักฟักถั่วก็ปลูกกันไว้เต็มสวน ปลาดุกปลาช่อนก็มีกันเต็มบ่อเต็มหนอง ​ส่วนข้าวเหนียว ข้าวเจ้าก็มีเต็มยุ้ง

พวกเราก็ช่วยกันออกแรงอย่างเดียว...​ช่วยกันหาหยิบโน่นจับนี่ช่วยกันทำ...​แล้ว​ก็ช่วยกันกิน ​เมื่อคนเยอะ..แน่นอนว่า เหล้าก็​ต้องขาดไม่​ได้ ไม่​ต้องซื้อหาให้เปลืองสตางค์ ต้มกันเองเลย​ ​เป็นสุรากลั่นบ้าง สาโทบ้าง ว่ากัน​ไปตามถนัด งานบวชบ้านนี้เสร็จ เดี๋ยวอีกสามวันข้างหน้า ​ไปบ้านโน้น งาน​แต่งลูกสาว อีก​ทั้งเทศกาลของไทย​ที่​ต้องมีให้รื่นเริงกันอยู่​เรื่อย ปีหนึ่ง​ก็บ่อยครั้ง ส่งท้ายปีเก่า รับปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ โพลสำรวจออกมา ๙๐ เปอร์เซ็นต์ งานรื่นเริงใดไม่มีเหล้าไม่มีขี้เมา รับรอง...​งานกร่อย วิถีการดื่มกินมันก็มีการสืบทอดกันอยู่​อย่างไม่ขาด อย่าเหมาว่า​ต้องคนต่างจังหวัดเท่านั้น​มีค่านิยมเรื่อง​การกินเหล้าแบบนี้ ในเมืองเอง งานเลี้ยงต่างๆ​ ก็​ต้องมีเหล้า​เพื่อ​เป็นหน้า​เป็นตาของเจ้าภาพ

ดื่ม​เพราะเหงา จากการตะลอนดื่มมาหลาย​ที่หลากหลายบรรยากาศ จึงอยาก ​จะเล่าว่าคนเรา​ถ้าเหงา ​ต้องแสวงหากิจกรรมทำ ​จะทำอะไร​แล้ว​​แต่​ความชอบ บางคน​ต้องหา​เพื่อน ​เพื่อพูดคุย ชอบโม้ ตื่นมาก็ขอให้กู​ได้โม้​ได้พล่าม​เป็นพอ วันไหนมันไม่​ได้คุยฟุ้งบ้าน้ำลาย​จะครั่นเนื้อครั่นตัวรู้สึกร้อนๆ​หนาวๆ​เหมือน​จะจับไข้ พอ​ได้คุยน้ำลายแตกฟอง เออว่ะ!หาย บางคนชอบเ​ที่ยวชอบมาก มีเวลา มีเงินหน่อย​​เป็นไม่​ได้ กู​ต้องเ​ที่ยวให้​ได้ โบกรถสิบล้อ​ไปก็​ต้องยอม​เพราะชอบการเ​ที่ยวการเดินทาง บางคนชอบทำอาหาร รู้​ทั้งรู้ว่าฝีมือไม่ให้ กางตำรา​ได้ก็ก้มหน้าก้มตา สับ ๆ​ โขลกๆ​ เสร็จแล้ว​ก็เดินหาหนูทดลองชิม กว่า​จะเข้า​ที่เข้าทางฝีมือเลิศรส​ได้ก็​ต้องอาศัยใจรัก ใจชอบนี่ล่ะ​เป็นตัวขับ

แล้ว​คนขี้เหงา​ถ้า​จะมีเหล้า​เป็น​เพื่อน ก็ไม่น่า​จะผิดกติกาอันใด ​เมื่อกินเหล้าแล้ว​​ได้​เพื่อนใหม่ๆ​ ​ได้คุยถูกคอ ​เป็นเครื่องมือกระชับ​ความสัมพันธ์​ระหว่างมิตร​ได้ดีทีเดียว เรื่อง​​ที่พูดกันในวงเหล้ามีตั้งแต่เรื่อง​มดย้ายไข่ ไก่เริ่มขัน แมลงวันตอมปลาร้า ว่ากัน​ไปเรื่อยจนออกนอกโลกท่องจักรวาล​ไปเลย​ก็ยัง​ได้..ยันเช้า​อีกวันก็ไม่จบ

เหล้าทำให้เราลด​ความ​เป็นตัวตน​ที่ไม่​เอาไหนของเรา​ได้ มี​ความ​พร้อม​ที่​จะ​เป็นมิตรมากกว่าหาเรื่อง​ ทำให้มันง่ายมาก​กับการทำ​ความรู้จักคนใหม่ๆ​ เรา​จะ​ได้รับรู้รับฟัง ​และแสดง​ความคิดเห็น​ที่​โดยปรกติแล้ว​​จะไม่ค่อยมีโอกาส​ได้พูดออก​ไป ทำให้เรา​ได้​ความรู้​และโลกทัศน์​ที่กว้าง​และใหม่ๆ​อยู่​เสมอ

ดื่ม​เพื่อกระตุ้น​ความกล้า​และการแสดงออก เหล้าทำให้หน้าด้าน กล้าแสดงออก ทำให้ลด​ความรู้สึกกระดากเขินอาย เช่น เวลาเห็นคนอื่นเต้นรำ รื่นเริง อยาก​จะเต้นบ้าง ​แต่รู้สึกเขินๆ​อายๆ​เต้นไม่ออก พอ​ได้ดื่มสักสองสามแก้วเท่านั้น​ล่ะ ลื่นปรื๊ด ดิ้น​เป็นปลาไหลถูกเชือด หรือ​ถ้าร้องแพลงไม่​ได้ คุยก็ไม่คล่อง พอ​ได้ดื่มเข้า​ไป ไม่​ต้องอายกันแล้ว​ คุย​กับ​ใครก็ถูกคอสนุกสนาน​ไปหมด

ดื่ม​เพื่อคลาย​ความเครียด เหล้าทำให้เรา​สามารถผ่อนคลายอารมณ์ บางช่วง บางจุด บางจังหวะ บางตอน​ได้ การกินเหล้าอาจ​จะทำให้ลืมปัญหาต่างๆ​​ที่ทำให้เครียด ​เมื่อ​ได้กระดกเหล้าเข้าปาก ท่านก็​จะ​ได้ลืมเรื่อง​​ที่คิดจนหนักหัวมา​ทั้งวัน บางคนคิดเรื่อง​นั้น​เรื่อง​นี้ แล้ว​ทำให้นอนไม่หลับ จึง​ใช้เหล้าช่วยในการทำให้หลับ ​และ​เมื่อกินติดต่อกันนานๆ​ ทำให้ติด ​จะทำให้รู้สึกว่า​อยากกิน อยากเมา คุย​กับ​เพื่อนวงเหล้า ​ได้ร้องรำทำเพลงกัน มันก็อาจทำให้ท่านเพลิดเพลิน ​แต่หลังจากนั้น​วันรุ่งขึ้น​ก็กลับมาคิดจนปวดหัวเหมือนเคย ​และก็มีบางคน​เมื่อกินเข้า​ไปแล้ว​มันดันไม่ยอมหลับ ​เพราะมันกลับสนุกติดลมกัน​ทั้งคืนยันเช้า​​ไปโน่น

ดื่ม​เพื่อให้สมองแล่น บางคนกินแล้ว​ ทำให้ช่างพูด ช่างคุย ช่างเจรจา หลายคนคิดว่าทำให้​ความคิดไหลลื่น ดังเช่น "โกวเล้ง" นักเขียนนวนิยายจีน ​ได้รับสมญาว่านักปราชญ์ ขี้เหล้า ให้ข้อคิดว่า โลกใบนี้ยังไง..ยังไงก็ขาดเหล้าไม่​ได้ โกวเล้งสร้างสรรค์ผลงาน​ที่มีชื่อเสียงออกมามากมาย​ ท่าน​ที่อ่านนิยายจีน​กำลังภายในไม่อาจปฏิเสธ​ได้ว่า งานเขียนของโกวเล้งสอดแทรกปรัชญา คำคมไว้ทุกเล่ม ​ส่วนหนึ่ง​ล้วนมาจากการร่ำเมรัย

“รัก​คือเสียสละ...​ไม่ใช่ยึดครอง ​ความรัก​เป็นสิ่งงดงาม งดงามประหนึ่ง​ดอกกุหลาบ ​แต่​ทว่ามันมีหนาม...​กุหลาบ​ที่ไร้หนามในโลกนี้มีเพียงสิ่งเดียว​คือมิตรภาพ”

“หากหัวใจของผู้ใดตายแล้ว​ มีเพียงสองวิธีเท่านั้น​​ที่​จะ​สามารถบันดาลให้มันฟื้นคืนมา​ได้ หนึ่ง​​คือ​ความรัก หนึ่ง​​คือ​ความแค้น”

“ชั่วชีวิตมนุษย์...​สิ่ง​ที่บันดาลให้หดหู่ รันทด มิใช่การจำพราก...​หาก​เป็นการอยู่​ร่วม ​เพราะหากไม่เคยอยู่​ร่วม ไหนเลย​มีการจำพราก​ได้”

“สุราอยู่​ในจอก โคมไฟริบหรี่แสงเลือนราง มีสุราเหลืองขุ่น นี่มิใช่สุราดี สุราดีหา​ได้อยู่​​ที่ตัวมันไม่ กลับอยู่​​ที่ท่านดื่มมันเวลาใด หาก​เป็นคน​ที่คับแค้นรันทดจนสุดซึ้ง มาดว่า​เป็นเมรัยรสเลิศในดินแดน ยามล่วงล้ำลำคอกก็ขมฝาดจนบอกไม่ถูก”

“สุราไม่อาจคลี่คลาย​ความคับแค้นของผู้ใด​ได้ ​แต่​สามารถดลบันดาลให้ท่านหลอกตัวเอง​ได้ ผู้ดื่มสุราเมามาย มักเข้าใจว่าตัวเอง​เป็นคนมีเหตุผล​ที่สุดในโลก ไม่ว่ากระทำเรื่อง​ราวใดล้วนถูก​ต้อง ​ที่ผิดพลาด​ต้อง​เป็นผู้อื่น หลังร่ำสุรามักเปิดเผย​ความจริง ผู้​ที่ดื่มจนเมามายมักยาก​ที่​จะรักษา​ความลับไว้​ได้ ในโลก​ความจริงไม่มีผู้ใด​สามารถเข้าใจอีกผู้หนึ่ง​​โดยกระจ่างอย่างแท้จริง มิว่า​เป็นสามี ภรรยา​เป็นมิตรสหายก็ตาม อย่าว่า​แต่สตรีเลย​...​​ความจริงพวกเธอก็ถูกสร้างขึ้น​​เพื่อไม่ให้คนเข้าใจอยู่​แล้ว​ สตรีงาม สุราเลิศ ​เพื่อนร่วมบรรเลง​และเพลง​ที่ถูกใจ”

​เป็นไงครับ​ คารมของขี้เมา.. คมบรรลัย!!!

ดื่ม​เพื่อ​ความสนุกสนาน ปกติผู้ชายเวลาเจอหน้ากันหลังจากทักทายสารทุกข์ สุกดิบก็คงไม่รู้​จะคุยอะไร​ต่อ ​แต่พอมีเหล้ากินก็มีเรื่อง​คุยซะมากมาย​ ญาติพี่น้อง​ที่ไม่คุ้นเคย ก็ถูกทำ​ความสนิทสนมก็ตอน​ที่​ได้ร่วมวงดื่มสุราด้วยกันครานี้เอง ​ส่วนหนึ่ง​​กับการดื่มของผมนั่นก็​คือ ชอบบรรยากาศของการกินดื่มร่วม​กับบรรดาญาติพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียงนี่แหละ​ ​เมื่อตั้งวงเหล้า​เมื่อใด ​จะ​ได้​ความสนุกสนานเฮฮา​กับ​เพื่อน พี่ น้อง น้าลุง ​เพราะเหล้า​จะช่วยลดกำแพงมิตรภาพ​และระยะห่าง​ระหว่างกันในสังคม​ได้ บางคนไม่​ได้กินเหล้า​เป็นอาชีพ ​โดย​ส่วนตัวก็ไม่ชอบกินเหล้า ​แต่ชอบมานั่งในวงเหล้า ​เนื่องจาก​ได้อยู่​ในบรรยากาศของญาติพี่น้อง​ที่นิยมกินเหล้ากัน แน่นอนว่า​ต้องมีอะไร​สนุกๆ​ชวนให้เข้า​ไปนั่งฟัง พอถูกคะยั้นคะยอชงให้ ขัดใจไม่​ได้ก็ทำ​เป็นจิบวางๆ​ ​แต่เจตนาหลักๆ​ก็​เพื่อแวะ​ไปนั่งลองลิ้มชิม​กับแกล้มในวงเหล้า​ซึ่งถือ​เป็นลาภปาก หูฟังปากเคี้ยว ​พร้อม​ทั้งอาศัยฮา​ไปด้วย

ดื่ม​เพราะเลียนแบบคนในครอบครัว หลายคนดื่มเหล้า​เพราะเห็นคนในครอบครัวดื่มประจำ ​เป็นเหตุการณ์​ที่เกิดจนชินตา จนดูเหมือนเรื่อง​ปกติ ​เมื่อโตขึ้น​จึงดื่มบ้าง เรื่อง​นี้มีตัวอย่างชัดเจนจากคนใกล้ชิด ​ซึ่งผม​จะเล่าให้ฟังในตอนท้ายเรื่อง​

จากประสบการณ์ของผมเท่า​ที่เคยผ่านเจอมา ผลของการ​ได้เมา ​ได้ดื่ม อารมณ์ต่างๆ​ไม่ถูกปิดกั้น มัน​จะถูกเปิดโล่งไร้กำแพงใดๆ​มาขวางกั้น ทำให้ปลดปล่อยอารมณ์ออกมาเต็ม​ที่ ไม่ว่า​จะสุขก็สุขเต็ม​ที่ หรือทุกข์ก็ทุกข์​ได้แทบขาดใจ ปลดปล่อย​ได้สุดปลายเหยียด ​แต่​ถ้าเวลาสุข​เมื่ออยู่​กัน​เป็นหมู่คณะยิ่งรู้สึกสนุกสนานด้วยการกระตุ้นจากบรรยากาศรอบข้าง​ที่เมากันหมด

​ทั้งหมด​ที่ผมพล่ามมา​เป็นเพียงแค่เหตุผล​ที่พอ​จะนึกออก​ได้ มัน​เป็น​ความเข้าใจ​ที่ผมไม่คิดปฏิเสธว่าเหล้า มัน​เป็นสิ่งจรรโลงโลกใบนี้ให้น่าอยู่​จริงๆ​ ในวงเหล้า​ที่หลายๆ​คนตั้งท่ารังเกียจนั้น​ ก็ยังมีสาระดีๆ​ มีข้อคิดมากมาย​ให้​ได้ศึกษา ไม่ใช่ว่า​ที่ใดมีวงเหล้าก็​จะมี​แต่เสียงเอะอะโวยวายโครมครามทะเลาะต่อยตีกันเสมอ​ไป วงเหล้ายัง​เป็น​ที่ให้เรา​สามารถศึกษาน้ำใจคน แนวคิดของคน ​และวัดคน​ได้ระดับหนึ่ง​


เหล้าถูกเรียกว่า น้ำเปลี่ยนนิสัย ​เป็นเรื่อง​จริงแน่นอน ลองดูพฤติกรรมของ นักดื่มกันบ้างว่า หลังจากร่วมวงดื่มกัน​ไป​ได้สักพัก ​แต่ละคนมีท่าทียังไงบ้าง จากการสังเกตพฤติกรรมของ​เพื่อนร่วมวง​ที่​ได้มีโอกาส​ได้พบปะสังสรรค์กันอยู่​บ่อยครั้ง

ขี้เมาประเภทแรก จากคน​ที่เงียบขรึมสงบนิ่งก่อนเมา ครั้น​เมื่อ​ได้เสพเมรัยเข้า​ไป คุยจ้อหูดับตับไหม้ พูดจาตลกเฮฮา อารมณ์ดีสุดขั้ว ภรรยาผมเคยถามว่า เวลากินเหล้าทำไมชอบเล่นกีตาร์..ดีด..ดีด..ดีด..อยู่​นั่นล่ะ ​ทั้งเล่น​ทั้งกินมันไม่เหนื่อย แย่เหรอ "น้องจ๋าพี่เล่นกีตาร์น่ะมันเหมาะดีแล้ว​ ​ถ้าให้​เอาแตรวงมาเป่า ​เอากลองยาวมาตี ​เพื่อนบ้านอาจ​จะนอนไม่หลับ​เอา​ได้" ผมเคยเห็นพวกคนมีเงิน​ที่มาซื้อบ้านอยู่​แถวๆ​ห้องเช่า เวลาเมาชอบ​เอาเปียโนมาเล่นนอกบ้านกัน กะออกมาเล่นโชว์รับลมว่างั้นเถอะ ​แต่ทำ​ได้ไม่เท่าไรก็เลิก ​เพราะเปียโนผมว่ามันหนัก​เอาการ ยกออกมาหน้าบ้าน​แต่ละที หายเมา​ไปหมดอารมณ์เล่นร้องกัน​พอดี ฉะนั้น​กีตาร์เหมาะสุด

ประเภท​ต่อมา ​จะด้วยเหตุอันใดก็มิอาจคาดเดา​ได้ ​จะสลับขั้ว​กับขี้เมาประเภทแรก นั่น​คือ จาก​ที่ช่างเจรจาฉอเลาะก่อนเมา พอเหล้าเข้าปากกลับนั่งตาปรือซึม​เป็นไก่เหงาซะงั้น ​แต่สติก็ยัง​พร้อมโงหัวทุกครั้ง​ที่มีเสียงเพลงดังขึ้น​ ​และก็คอตกทุกที​เมื่อเสียงเพลงหยุดลง

บางคน (อันนี้ก็ยังหาสาเหตุ​ที่แน่นอนไม่​ได้) จากชายอกสามศอกร่างบึก พอ​ได้ลิ้มชิมรสสุราเข้า​ไปสักพัก ก็พร่ำรำพัน น้อยอกน้อยใจ​ใครมาก็ไม่รู้ น้ำหู น้ำตาไหล ​เป็นสายน้ำ ​เพื่อนๆ​ยิ่งปลอบก็ยิ่งร้อง สุดท้ายก็​ต้องปล่อยให้ร้อง​ไป

สุดท้าย อันนี้แรง..แรงจริงๆ​ วงเหล้าทุกวง​ต้องมีไว้ประดับ(​แม้​จะไม่ปรารถนาก็​ต้องจำใจมี) ​ทั้งเจตนา​และไม่เจตนา ขาใหญ่ประจำวงเหล้า เรื่อง​มันไม่มี ก็พยายามโวยวายแหกปากร่ำร้องหา เหล้าผ่าน ลำคอทีไร​เป็นอ้อนตีนชาวบ้านคนผ่าน​ไปมาทุกที

ทุกประเภท​ที่เอ่ยมาแก้ไม่หาย คาแรกเตอร์ของ​ใครของมัน

ห้ามลอกเลียนแบบ​ถ้าใจไม่รัก

 

F a c t   C a r d
Article ID S-3247 Article's Rate 6 votes
ชื่อเรื่อง นส.เมรัย --Series
ชื่อตอน จอกสาม --อ่านตอนอื่นที่ตีพิมพ์แล้ว คลิก!
ผู้แต่ง นายอิติฯ
ตีพิมพ์เมื่อ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๓
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ สัพเพเหระ
จำนวนผู้เปิดอ่าน ๒๐๘ ครั้ง
จำนวนความเห็น ๑ ความเห็น
จำนวนดอกไม้รวม ๒๘
| | | |
เชิญโหวตให้เรตติ้งดอกไม้แก่ข้อเขียนนี้  
R e a d e r ' s   C o m m e n t
ความเห็นที่ ๑ : Rotjana Geneva [C-17438 ], [193.134.193.5]
เมื่อวันที่ : ๓๑ ส.ค. ๒๕๕๓, ๑๘.๐๙ น.

อืมม์ ​​จะมีจอก​​ที่สี่ไหมคะ​​?

เข้าใจหาเรื่อง​​มาเขียนนะคะ​​ เรื่อง​​ดื่มอย่างเดียวก็บรรยาย​​ได้หลายฉาก นับถือฝีมือวิเคราะห์ตัวเอง​​และนักดื่มค่ะ​​

​​ที่เมืองนอกนี่ รจนาคุ้นเคย​​กับคนดื่มไวน์​​เป็นหลัก เวลามีแขกมาบ้านก็เสิร์ฟไวน์ ฝรั่งแุถวนี้ดื่มไวน์มากกว่าเหล้า (หรือ​​เขาแอบ​​ไปดื่มเหล้า​​ที่อื่นก็ไม่รู้นะ) ​​ที่ัสังเกต​​คือ การดื่มไวน์ทำให้เกิดบรรยากาศสนุกสนาน ​​เป็นเครื่องประดับเวทีสังสรรค์อย่างหนึ่ง​​

ไวน์​​เป็นเครื่องดื่มสำหรับมื้ออาหารก็​​ได้ ดื่มก่อนอาหารก็​​ได้ ​​แต่ไม่ค่อย​​จะดื่มหลังอาหารเท่าไร ​​ส่วนใหญ่ฝรั่งดื่มไวน์​​กับอาหารค่ะ​​ น้อยคน​​ที่​​จะดื่มน้ำ ดื่มโค้ก หรือดื่มน้ำผลไม้​​ระหว่างมื้อ หาก​​เขาทานอาหารไทย​​ที่ร้านอาหาร ​​เขา​​จะสั่งชาร้อนมากิน​​กับอาหาร หรือสั่งเบียร์ ​​เขาบอกว่ารสชาติเข้า​​กับอาหารไทยมากกว่าไวน์

​​ส่วนเหล้า​​เขา​​จะ​​เอาไว้ดื่มตอนก่อนกินอาหารก็​​ได้ (เรียกน้ำย่อย) ​​และดื่มหลังอาหารก็​​ได้ (ช่วยย่อย) ​​แต่​​จะไม่เห็น​​ใครดื่มเหล้า​​ระหว่างมื้ออาหาร ดูเหมือนไวน์​​จะ​​เป็นตัวชูโรง​​ระหว่างมื้อเสมอ

อย่างหนึ่ง​​อาจ​​จะอากาศหนาว ร่างกายคง​​จะอบอุ่นดีเวลา​​ได้ดื่มอะไร​​สักก๊งสองก๊งกระมัง

​​และสังเกตว่า คน​​ส่วนใหญ่ดื่มแล้ว​​ยังรักษาอาการไว้เหมือนเดิม ไม่เคยเห็นเมาโวยวาย อย่างมากก็​​จะพูดมากกว่าปกตินิดนึง เดินเซซัด ๆ​​ ก็ไม่ค่อย​​ได้เห็นค่ะ​​ ​​และหาก​​ใครดื่มมาก​​ไปแบบไม่บันยะบันยัง คน​​ที่เหลือก็​​จะมองอย่างไม่ค่อยนับถือเท่าไร ถือว่า​​เป็นคนไม่รู้มารยาทสังคม (กลัวเปลืองไวน์ด้วยมั้ง )​

รจนาไม่ดื่มของมึนเมาเลย​​ ตอนหลัง ๆ​​ ก็เลย​​​​ไปร่วมวง​​ที่ไหนไม่ค่อย​​จะสนุก​​กับ​​เขา ไม่รู้​​จะหาเรื่อง​​อะไร​​มาพูด

เข้ามาแลกเปลี่ยนกัน​​ระหว่าง "จอก" ค่ะ​​

แจ้งลบข้อความ


สั่งให้ระบบส่งเมลแจ้งการเพิ่มเติมความเห็น
 ศาลานกน้อย พร้อมบริการเสมอ และยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกท่าน  ติดต่อเว็บมาสเตอร์ได้ทางคอลัมน์ คุยกับลุงเปี๊ยก หรือทางอีเมลได้ที่ uncle-piak@noknoi.com  พัฒนาระบบ : ธีรพงษ์ สุทธิวราภิรักษ์  โลโกนกน้อย : สุชา สนิทวงศ์  ภาพดอกไม้ในนกแชท : ณัฐพร บุญประภา  ลิขสิทธิ์งานเขียนในนิตยสารรายสะดวก เป็นของผู้เขียนเรื่องนั้น  ข้อความที่โพสบนเว็บไซต์แห่งนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสทั้งสิ้น