![]() |
![]() |
นายอิติฯ![]() |
...ตั้งแต่นั้นมาคนรอบๆข้างก็ตั้งนิกเนมเพิ่มให้ผมอีกชื่อ
"น้องแว่น"
"ไอ้เชี่ยแว่น"
"พี่แว่น"
"น้าแว่น"
"ลุงแว่น"
หนักหน่อยก็ "ตาแว่น"...
"น้องแว่น"
"ไอ้เชี่ยแว่น"
"พี่แว่น"
"น้าแว่น"
"ลุงแว่น"
หนักหน่อยก็ "ตาแว่น"...
ตอน : จอกสาม
ผมติดต่อหาเพื่อนเก่า คนบ้านเกิดเดียวกันที่ทำงานอยู่สมุทรสาคร เพื่อหางานทำใหม่ และก็ได้งานทำที่นี่ แม้จะหยุดดื่มเหล้าขณะที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาล แต่เมื่อกลับมาทำงาน คบเพื่อนฝูง ผมก็ดื่มต่ออีกและเรื่อยๆมาจนแต่งงานกับสาวโคราชบ้านเดียวกัน ที่ยืนหยัดในรักมานานหลายปีและมีครอบครัวของตัวเองด้วยวัย ๒๕ ปีผมเลิกยาเด็ดขาด แรกๆของการหันหลังให้กับยาบ้า ด้วยความที่คิดว่าตัวเองยังไม่ถึงขั้นติดจนเข้าเส้น จึงเข้าใจว่าคงหยุดและเลิกได้อย่างง่ายๆ นั่นเป็นการคิดที่ผิด แต่ละวันของผม มันผ่านไปอย่างทุลักทุเล ร่างกายที่อ่อนแรงอ่อนล้า สมองและความคิดอันสับสนมันวิ่งวนอยู่ในหัว หลับตานอนแต่ละวัน มันช่างไร้ความอิ่มเอม ต้องอาศัยความเมาช่วยทุกครั้งไป จนเกือบร่วมเดือน นั่นล่ะ...ร่างกายจึงเริ่มอยู่ตัว
ภายหลังจากเลิกขาดจากยาบ้าได้อย่างสิ้นเชิง ผมก็ยังดื่มเหล้าอยู่ เพราะทุกๆเทศกาลที่หวนกลับบ้านเกิด ไม่ว่าจะบ้านพ่อแม่ บ้านพ่อตาแม่ยาย กลับไปทีก็มีแต่การต้อนรับจากกลุ่มพี่น้อง ที่ขันอาสารับมรดกยึดอาชีพทำนา และทำมาหากินใกล้ๆบ้าน มันก็ขาดเหล้าไม่ได้อยู่ดี
ตัวผมเริ่มจากการดื่ม เชียงชุน สาโท เหล้าขาว เหล้าป่า เหล้าแดง เหล้านอก จนเป็นการดื่มเหล้าที่หลากหลายชนิดต่อมาเรื่อยๆ ด้วยปริมาณที่เพิ่มขึ้น เมื่อเลิกงานก็ต้องก๊งต้องกั๊ก จวบจนแต่งงาน เหล้าก็ยังคบกับผมได้อย่างแนบแน่นและตลอดเรื่อยมา จนอายุย่างเข้า ๓๐ ผมเริ่มมีปัญหาด้านสายตามองไม่ชัด มองไกลๆ ภาพมันจะลางเลือน ก็เลยต้องตัดแว่น ใครๆก็บอกว่านั่นล่ะ อยากกินเหล้าเยอะนัก ตาฝ้าฟางไปเลย สมน้ำหน้าผมก็มี ตั้งแต่นั้นมาคนรอบๆข้างก็ตั้งนิกเนมเพิ่มให้อีกชื่อ
"น้องแว่น"
"ไอ้เชี่ยแว่น"
"พี่แว่น"
"น้าแว่น"
"ลุงแว่น"
หนักหน่อยก็ "ตาแว่น"
บ่อยครั้งที่มีคำถามมาเข้าหู ว่าดื่มทำไม? ได้อะไรบ้างจากการดื่มเหล้า?
ดังนั้น ผมขอสรุปจากประสบการณ์ตรงที่ได้ี่ตะลุยดื่มในหลายๆบรรยากาศ ว่าโดยรวมๆแล้วผมและอีกหลายๆล้านคนดื่มเหล้า เพราะอะไร? และทำไม? ได้อะไร? แน่นอนว่า ทุกๆอย่างมันมีเหตุและมีผล...ถูกผิดโปรดใช้วิจารณญาณแยกแยะกันดูนะครับ
ดื่มเพื่อสังสรรค์ในงานและเทศกาลต่างๆ คนชนบทดั้งเดิมแต่ไหนแต่ไรมา จากบรรพบุรุษสืบทอดสู่ลูกหลาน เวลามีการรวมตัวช่วยกันลงแรงร่วมกันทำอะไรสักอย่าง เช่นงานบุญ งานแต่ง งานบวช ขึ้นบ้านใหม่ เก็บเกี่ยวข้าว กิจกรรมเหล่านี้ล้วนแต่ต้องมีการเลี้ยงดูปูเสื่อ ดื่มกินกันแทบทั้งนั้น ซึ่งแต่ละครัวเรือนไม่ต้องไปเดือดร้อนซื้อหาจัดเตรียมอะไรมากมายนัก หมูเห็ดเป็ดรึ..ไก่ก็เลี้ยงกันเอง พืชผักฟักถั่วก็ปลูกกันไว้เต็มสวน ปลาดุกปลาช่อนก็มีกันเต็มบ่อเต็มหนอง ส่วนข้าวเหนียว ข้าวเจ้าก็มีเต็มยุ้ง
พวกเราก็ช่วยกันออกแรงอย่างเดียว...ช่วยกันหาหยิบโน่นจับนี่ช่วยกันทำ...แล้วก็ช่วยกันกิน เมื่อคนเยอะ..แน่นอนว่า เหล้าก็ต้องขาดไม่ได้ ไม่ต้องซื้อหาให้เปลืองสตางค์ ต้มกันเองเลย เป็นสุรากลั่นบ้าง สาโทบ้าง ว่ากันไปตามถนัด งานบวชบ้านนี้เสร็จ เดี๋ยวอีกสามวันข้างหน้า ไปบ้านโน้น งานแต่งลูกสาว อีกทั้งเทศกาลของไทยที่ต้องมีให้รื่นเริงกันอยู่เรื่อย ปีหนึ่งก็บ่อยครั้ง ส่งท้ายปีเก่า รับปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ โพลสำรวจออกมา ๙๐ เปอร์เซ็นต์ งานรื่นเริงใดไม่มีเหล้าไม่มีขี้เมา รับรอง...งานกร่อย วิถีการดื่มกินมันก็มีการสืบทอดกันอยู่อย่างไม่ขาด อย่าเหมาว่าต้องคนต่างจังหวัดเท่านั้นมีค่านิยมเรื่องการกินเหล้าแบบนี้ ในเมืองเอง งานเลี้ยงต่างๆ ก็ต้องมีเหล้าเพื่อเป็นหน้าเป็นตาของเจ้าภาพ
ดื่มเพราะเหงา จากการตะลอนดื่มมาหลายที่หลากหลายบรรยากาศ จึงอยาก จะเล่าว่าคนเราถ้าเหงา ต้องแสวงหากิจกรรมทำ จะทำอะไรแล้วแต่ความชอบ บางคนต้องหาเพื่อน เพื่อพูดคุย ชอบโม้ ตื่นมาก็ขอให้กูได้โม้ได้พล่ามเป็นพอ วันไหนมันไม่ได้คุยฟุ้งบ้าน้ำลายจะครั่นเนื้อครั่นตัวรู้สึกร้อนๆหนาวๆเหมือนจะจับไข้ พอได้คุยน้ำลายแตกฟอง เออว่ะ!หาย บางคนชอบเที่ยวชอบมาก มีเวลา มีเงินหน่อยเป็นไม่ได้ กูต้องเที่ยวให้ได้ โบกรถสิบล้อไปก็ต้องยอมเพราะชอบการเที่ยวการเดินทาง บางคนชอบทำอาหาร รู้ทั้งรู้ว่าฝีมือไม่ให้ กางตำราได้ก็ก้มหน้าก้มตา สับ ๆ โขลกๆ เสร็จแล้วก็เดินหาหนูทดลองชิม กว่าจะเข้าที่เข้าทางฝีมือเลิศรสได้ก็ต้องอาศัยใจรัก ใจชอบนี่ล่ะเป็นตัวขับ
แล้วคนขี้เหงาถ้าจะมีเหล้าเป็นเพื่อน ก็ไม่น่าจะผิดกติกาอันใด เมื่อกินเหล้าแล้วได้เพื่อนใหม่ๆ ได้คุยถูกคอ เป็นเครื่องมือกระชับความสัมพันธ์ระหว่างมิตรได้ดีทีเดียว เรื่องที่พูดกันในวงเหล้ามีตั้งแต่เรื่องมดย้ายไข่ ไก่เริ่มขัน แมลงวันตอมปลาร้า ว่ากันไปเรื่อยจนออกนอกโลกท่องจักรวาลไปเลยก็ยังได้..ยันเช้าอีกวันก็ไม่จบ
เหล้าทำให้เราลดความเป็นตัวตนที่ไม่เอาไหนของเราได้ มีความพร้อมที่จะเป็นมิตรมากกว่าหาเรื่อง ทำให้มันง่ายมากกับการทำความรู้จักคนใหม่ๆ เราจะได้รับรู้รับฟัง และแสดงความคิดเห็นที่โดยปรกติแล้วจะไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดออกไป ทำให้เราได้ความรู้และโลกทัศน์ที่กว้างและใหม่ๆอยู่เสมอ
ดื่มเพื่อกระตุ้นความกล้าและการแสดงออก เหล้าทำให้หน้าด้าน กล้าแสดงออก ทำให้ลดความรู้สึกกระดากเขินอาย เช่น เวลาเห็นคนอื่นเต้นรำ รื่นเริง อยากจะเต้นบ้าง แต่รู้สึกเขินๆอายๆเต้นไม่ออก พอได้ดื่มสักสองสามแก้วเท่านั้นล่ะ ลื่นปรื๊ด ดิ้นเป็นปลาไหลถูกเชือด หรือถ้าร้องแพลงไม่ได้ คุยก็ไม่คล่อง พอได้ดื่มเข้าไป ไม่ต้องอายกันแล้ว คุยกับใครก็ถูกคอสนุกสนานไปหมด
ดื่มเพื่อคลายความเครียด เหล้าทำให้เราสามารถผ่อนคลายอารมณ์ บางช่วง บางจุด บางจังหวะ บางตอนได้ การกินเหล้าอาจจะทำให้ลืมปัญหาต่างๆที่ทำให้เครียด เมื่อได้กระดกเหล้าเข้าปาก ท่านก็จะได้ลืมเรื่องที่คิดจนหนักหัวมาทั้งวัน บางคนคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ แล้วทำให้นอนไม่หลับ จึงใช้เหล้าช่วยในการทำให้หลับ และเมื่อกินติดต่อกันนานๆ ทำให้ติด จะทำให้รู้สึกว่าอยากกิน อยากเมา คุยกับเพื่อนวงเหล้า ได้ร้องรำทำเพลงกัน มันก็อาจทำให้ท่านเพลิดเพลิน แต่หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นก็กลับมาคิดจนปวดหัวเหมือนเคย และก็มีบางคนเมื่อกินเข้าไปแล้วมันดันไม่ยอมหลับ เพราะมันกลับสนุกติดลมกันทั้งคืนยันเช้าไปโน่น
ดื่มเพื่อให้สมองแล่น บางคนกินแล้ว ทำให้ช่างพูด ช่างคุย ช่างเจรจา หลายคนคิดว่าทำให้ความคิดไหลลื่น ดังเช่น "โกวเล้ง" นักเขียนนวนิยายจีน ได้รับสมญาว่านักปราชญ์ ขี้เหล้า ให้ข้อคิดว่า โลกใบนี้ยังไง..ยังไงก็ขาดเหล้าไม่ได้ โกวเล้งสร้างสรรค์ผลงานที่มีชื่อเสียงออกมามากมาย ท่านที่อ่านนิยายจีนกำลังภายในไม่อาจปฏิเสธได้ว่า งานเขียนของโกวเล้งสอดแทรกปรัชญา คำคมไว้ทุกเล่ม ส่วนหนึ่งล้วนมาจากการร่ำเมรัย
“รักคือเสียสละ...ไม่ใช่ยึดครอง ความรักเป็นสิ่งงดงาม งดงามประหนึ่งดอกกุหลาบ แต่ทว่ามันมีหนาม...กุหลาบที่ไร้หนามในโลกนี้มีเพียงสิ่งเดียวคือมิตรภาพ”
“หากหัวใจของผู้ใดตายแล้ว มีเพียงสองวิธีเท่านั้นที่จะสามารถบันดาลให้มันฟื้นคืนมาได้ หนึ่งคือความรัก หนึ่งคือความแค้น”
“ชั่วชีวิตมนุษย์...สิ่งที่บันดาลให้หดหู่ รันทด มิใช่การจำพราก...หากเป็นการอยู่ร่วม เพราะหากไม่เคยอยู่ร่วม ไหนเลยมีการจำพรากได้”
“สุราอยู่ในจอก โคมไฟริบหรี่แสงเลือนราง มีสุราเหลืองขุ่น นี่มิใช่สุราดี สุราดีหาได้อยู่ที่ตัวมันไม่ กลับอยู่ที่ท่านดื่มมันเวลาใด หากเป็นคนที่คับแค้นรันทดจนสุดซึ้ง มาดว่าเป็นเมรัยรสเลิศในดินแดน ยามล่วงล้ำลำคอกก็ขมฝาดจนบอกไม่ถูก”
“สุราไม่อาจคลี่คลายความคับแค้นของผู้ใดได้ แต่สามารถดลบันดาลให้ท่านหลอกตัวเองได้ ผู้ดื่มสุราเมามาย มักเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนมีเหตุผลที่สุดในโลก ไม่ว่ากระทำเรื่องราวใดล้วนถูกต้อง ที่ผิดพลาดต้องเป็นผู้อื่น หลังร่ำสุรามักเปิดเผยความจริง ผู้ที่ดื่มจนเมามายมักยากที่จะรักษาความลับไว้ได้ ในโลกความจริงไม่มีผู้ใดสามารถเข้าใจอีกผู้หนึ่งโดยกระจ่างอย่างแท้จริง มิว่าเป็นสามี ภรรยาเป็นมิตรสหายก็ตาม อย่าว่าแต่สตรีเลย...ความจริงพวกเธอก็ถูกสร้างขึ้นเพื่อไม่ให้คนเข้าใจอยู่แล้ว สตรีงาม สุราเลิศ เพื่อนร่วมบรรเลงและเพลงที่ถูกใจ”
เป็นไงครับ คารมของขี้เมา.. คมบรรลัย!!!
ดื่มเพื่อความสนุกสนาน ปกติผู้ชายเวลาเจอหน้ากันหลังจากทักทายสารทุกข์ สุกดิบก็คงไม่รู้จะคุยอะไรต่อ แต่พอมีเหล้ากินก็มีเรื่องคุยซะมากมาย ญาติพี่น้องที่ไม่คุ้นเคย ก็ถูกทำความสนิทสนมก็ตอนที่ได้ร่วมวงดื่มสุราด้วยกันครานี้เอง ส่วนหนึ่งกับการดื่มของผมนั่นก็คือ ชอบบรรยากาศของการกินดื่มร่วมกับบรรดาญาติพี่น้องบ้านใกล้เรือนเคียงนี่แหละ เมื่อตั้งวงเหล้าเมื่อใด จะได้ความสนุกสนานเฮฮากับเพื่อน พี่ น้อง น้าลุง เพราะเหล้าจะช่วยลดกำแพงมิตรภาพและระยะห่างระหว่างกันในสังคมได้ บางคนไม่ได้กินเหล้าเป็นอาชีพ โดยส่วนตัวก็ไม่ชอบกินเหล้า แต่ชอบมานั่งในวงเหล้า เนื่องจากได้อยู่ในบรรยากาศของญาติพี่น้องที่นิยมกินเหล้ากัน แน่นอนว่าต้องมีอะไรสนุกๆชวนให้เข้าไปนั่งฟัง พอถูกคะยั้นคะยอชงให้ ขัดใจไม่ได้ก็ทำเป็นจิบวางๆ แต่เจตนาหลักๆก็เพื่อแวะไปนั่งลองลิ้มชิมกับแกล้มในวงเหล้าซึ่งถือเป็นลาภปาก หูฟังปากเคี้ยว พร้อมทั้งอาศัยฮาไปด้วย
ดื่มเพราะเลียนแบบคนในครอบครัว หลายคนดื่มเหล้าเพราะเห็นคนในครอบครัวดื่มประจำ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดจนชินตา จนดูเหมือนเรื่องปกติ เมื่อโตขึ้นจึงดื่มบ้าง เรื่องนี้มีตัวอย่างชัดเจนจากคนใกล้ชิด ซึ่งผมจะเล่าให้ฟังในตอนท้ายเรื่อง
จากประสบการณ์ของผมเท่าที่เคยผ่านเจอมา ผลของการได้เมา ได้ดื่ม อารมณ์ต่างๆไม่ถูกปิดกั้น มันจะถูกเปิดโล่งไร้กำแพงใดๆมาขวางกั้น ทำให้ปลดปล่อยอารมณ์ออกมาเต็มที่ ไม่ว่าจะสุขก็สุขเต็มที่ หรือทุกข์ก็ทุกข์ได้แทบขาดใจ ปลดปล่อยได้สุดปลายเหยียด แต่ถ้าเวลาสุขเมื่ออยู่กันเป็นหมู่คณะยิ่งรู้สึกสนุกสนานด้วยการกระตุ้นจากบรรยากาศรอบข้างที่เมากันหมด
ทั้งหมดที่ผมพล่ามมาเป็นเพียงแค่เหตุผลที่พอจะนึกออกได้ มันเป็นความเข้าใจที่ผมไม่คิดปฏิเสธว่าเหล้า มันเป็นสิ่งจรรโลงโลกใบนี้ให้น่าอยู่จริงๆ ในวงเหล้าที่หลายๆคนตั้งท่ารังเกียจนั้น ก็ยังมีสาระดีๆ มีข้อคิดมากมายให้ได้ศึกษา ไม่ใช่ว่าที่ใดมีวงเหล้าก็จะมีแต่เสียงเอะอะโวยวายโครมครามทะเลาะต่อยตีกันเสมอไป วงเหล้ายังเป็นที่ให้เราสามารถศึกษาน้ำใจคน แนวคิดของคน และวัดคนได้ระดับหนึ่ง
เหล้าถูกเรียกว่า น้ำเปลี่ยนนิสัย เป็นเรื่องจริงแน่นอน ลองดูพฤติกรรมของ นักดื่มกันบ้างว่า หลังจากร่วมวงดื่มกันไปได้สักพัก แต่ละคนมีท่าทียังไงบ้าง จากการสังเกตพฤติกรรมของเพื่อนร่วมวงที่ได้มีโอกาสได้พบปะสังสรรค์กันอยู่บ่อยครั้ง
ขี้เมาประเภทแรก จากคนที่เงียบขรึมสงบนิ่งก่อนเมา ครั้นเมื่อได้เสพเมรัยเข้าไป คุยจ้อหูดับตับไหม้ พูดจาตลกเฮฮา อารมณ์ดีสุดขั้ว ภรรยาผมเคยถามว่า เวลากินเหล้าทำไมชอบเล่นกีตาร์..ดีด..ดีด..ดีด..อยู่นั่นล่ะ ทั้งเล่นทั้งกินมันไม่เหนื่อย แย่เหรอ "น้องจ๋าพี่เล่นกีตาร์น่ะมันเหมาะดีแล้ว ถ้าให้เอาแตรวงมาเป่า เอากลองยาวมาตี เพื่อนบ้านอาจจะนอนไม่หลับเอาได้" ผมเคยเห็นพวกคนมีเงินที่มาซื้อบ้านอยู่แถวๆห้องเช่า เวลาเมาชอบเอาเปียโนมาเล่นนอกบ้านกัน กะออกมาเล่นโชว์รับลมว่างั้นเถอะ แต่ทำได้ไม่เท่าไรก็เลิก เพราะเปียโนผมว่ามันหนักเอาการ ยกออกมาหน้าบ้านแต่ละที หายเมาไปหมดอารมณ์เล่นร้องกันพอดี ฉะนั้นกีตาร์เหมาะสุด
ประเภทต่อมา จะด้วยเหตุอันใดก็มิอาจคาดเดาได้ จะสลับขั้วกับขี้เมาประเภทแรก นั่นคือ จากที่ช่างเจรจาฉอเลาะก่อนเมา พอเหล้าเข้าปากกลับนั่งตาปรือซึมเป็นไก่เหงาซะงั้น แต่สติก็ยังพร้อมโงหัวทุกครั้งที่มีเสียงเพลงดังขึ้น และก็คอตกทุกทีเมื่อเสียงเพลงหยุดลง
บางคน (อันนี้ก็ยังหาสาเหตุที่แน่นอนไม่ได้) จากชายอกสามศอกร่างบึก พอได้ลิ้มชิมรสสุราเข้าไปสักพัก ก็พร่ำรำพัน น้อยอกน้อยใจใครมาก็ไม่รู้ น้ำหู น้ำตาไหล เป็นสายน้ำ เพื่อนๆยิ่งปลอบก็ยิ่งร้อง สุดท้ายก็ต้องปล่อยให้ร้องไป
สุดท้าย อันนี้แรง..แรงจริงๆ วงเหล้าทุกวงต้องมีไว้ประดับ(แม้จะไม่ปรารถนาก็ต้องจำใจมี) ทั้งเจตนาและไม่เจตนา ขาใหญ่ประจำวงเหล้า เรื่องมันไม่มี ก็พยายามโวยวายแหกปากร่ำร้องหา เหล้าผ่าน ลำคอทีไรเป็นอ้อนตีนชาวบ้านคนผ่านไปมาทุกที
ทุกประเภทที่เอ่ยมาแก้ไม่หาย คาแรกเตอร์ของใครของมัน
ห้ามลอกเลียนแบบถ้าใจไม่รัก
เมื่อวันที่ : ๓๑ ส.ค. ๒๕๕๓, ๑๘.๐๙ น.
อืมม์ จะมีจอกที่สี่ไหมคะ?
)
เข้าใจหาเรื่องมาเขียนนะคะ เรื่องดื่มอย่างเดียวก็บรรยายได้หลายฉาก นับถือฝีมือวิเคราะห์ตัวเองและนักดื่มค่ะ
ที่เมืองนอกนี่ รจนาคุ้นเคยกับคนดื่มไวน์เป็นหลัก เวลามีแขกมาบ้านก็เสิร์ฟไวน์ ฝรั่งแุถวนี้ดื่มไวน์มากกว่าเหล้า (หรือเขาแอบไปดื่มเหล้าที่อื่นก็ไม่รู้นะ) ที่ัสังเกตคือ การดื่มไวน์ทำให้เกิดบรรยากาศสนุกสนาน เป็นเครื่องประดับเวทีสังสรรค์อย่างหนึ่ง
ไวน์เป็นเครื่องดื่มสำหรับมื้ออาหารก็ได้ ดื่มก่อนอาหารก็ได้ แต่ไม่ค่อยจะดื่มหลังอาหารเท่าไร ส่วนใหญ่ฝรั่งดื่มไวน์กับอาหารค่ะ น้อยคนที่จะดื่มน้ำ ดื่มโค้ก หรือดื่มน้ำผลไม้ระหว่างมื้อ หากเขาทานอาหารไทยที่ร้านอาหาร เขาจะสั่งชาร้อนมากินกับอาหาร หรือสั่งเบียร์ เขาบอกว่ารสชาติเข้ากับอาหารไทยมากกว่าไวน์
ส่วนเหล้าเขาจะเอาไว้ดื่มตอนก่อนกินอาหารก็ได้ (เรียกน้ำย่อย) และดื่มหลังอาหารก็ได้ (ช่วยย่อย) แต่จะไม่เห็นใครดื่มเหล้าระหว่างมื้ออาหาร ดูเหมือนไวน์จะเป็นตัวชูโรงระหว่างมื้อเสมอ
อย่างหนึ่งอาจจะอากาศหนาว ร่างกายคงจะอบอุ่นดีเวลาได้ดื่มอะไรสักก๊งสองก๊งกระมัง
และสังเกตว่า คนส่วนใหญ่ดื่มแล้วยังรักษาอาการไว้เหมือนเดิม ไม่เคยเห็นเมาโวยวาย อย่างมากก็จะพูดมากกว่าปกตินิดนึง เดินเซซัด ๆ ก็ไม่ค่อยได้เห็นค่ะ และหากใครดื่มมากไปแบบไม่บันยะบันยัง คนที่เหลือก็จะมองอย่างไม่ค่อยนับถือเท่าไร ถือว่าเป็นคนไม่รู้มารยาทสังคม (กลัวเปลืองไวน์ด้วยมั้ง
รจนาไม่ดื่มของมึนเมาเลย ตอนหลัง ๆ ก็เลยไปร่วมวงที่ไหนไม่ค่อยจะสนุกกับเขา ไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาพูด
เข้ามาแลกเปลี่ยนกันระหว่าง "จอก" ค่ะ