![]() |
![]() |
นายอิติฯ![]() |
...แต่พอแก้วแปด กลืนลงท้องไปไม่ทันไร มันชวนแก้วหนึ่ง ถึง เจ็ด วิ่งสวนกลับออกมาทางปากหมดเลย น้ำหูน้ำตาไหลพราก ผมพยายามยืนตรงให้มั่น ตั้งหลักให้แม่น แต่โลกมันกลับหมุนติ้ว ภวังค์สำนึกที่พอสัมผัสได้ในขณะนั้นก็คือ มีคนประคองหิ้วปีกมาส่งถึงบ้านของน้าชาย แล้วก็หลับ...
ตอน : จอกหนึ่ง
ผมเกิดและเติบโตมาจากสภาพครอบครัวที่ใช้ชีวิตตามชนบท แถบภาคอีสาน ได้เห็นคนกินเหล้ามาจนชินตา ในวัยเด็กมัธยม ผมเป็นคนที่ตั้งใจเรียนเอามากๆ จึงไม่ใคร่ใส่ใจ กับของมึนเมาสักเท่าไหร่ แม้ว่าเพื่อนๆบางคนริดื่มเหล้ากันทั้งที่ยังสวมชุดนักเรียน ซึ่งก็มักที่จะชวนผมแค่ให้ลองๆจิบๆ และผมก็จะปฏิเสธมาตลอด ถึงเพื่อนมันจะล้อว่าไม่กล้า..ไม่ถึง ... เป็นคนขี้ขลาดเกิดมาเสียชาติชายหมด ก็ปล่อยให้มันว่าไปเหตุผลอีกอย่างที่ทำให้ผมไม่อยากข้องแวะหรือแตะเหล้าในตอนนั้น เพราะแม่ครับ ถ้าแม่รู้ว่าผมหัดกินเหล้าในวัยเรียนท่านคงเสียใจมากทีเดียว ท่านคงไม่ดุด่าว่าตี เพราะท่านเป็นแม่ที่รักลูกมาก ตั้งแต่ผมจำความได้ การพูดจาสอนสั่งของท่านราบเรียบ ไม่เคยใช้น้ำเสียงที่ดุดัน แม่สอนแต่สิ่งดีๆให้เสมอ
เมื่อผมเรียนจบเข้าสู่วัยที่ต้องออกไปทำงาน เพื่ื่อหาประสบการณ์ชีวิตไว้สร้างครอบครัวของตัวเอง ผมก็ต้องห่างจากถิ่นฐานบ้านเกิด ต้องรอนแรมเดินทางไปไกล คราวนี้ล่ะ...เหล้าก็เข้ามาในชีวิตผม
จากที่ราบสูงเมืองโคราช ผมออกเดินทางล่าฝันมุ่งสู่ภาคตะวันตกของประเทศ ณ จุดหมายอำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ผมเริ่มต้นทำงานกับน้าชาย ที่เป็นข้าราชการประจำของกรมชลประทาน พักบ้านหลังเดียวกัน เพื่อนของน้าทั้งเจ้านายลูกน้องแวะเวียนมาดื่มกินอยู่เป็นนิจ แทบจะทุกเสาร์-อาทิตย์ก็ว่าได้
แรกๆผมก็ยังเหนียมๆดูท่าทีอยู่ จนมาสนิทกับลุงข้างบ้าน ที่แกมีวิถีชีวิต คล้ายคลึงกับชาวบ้านทางอีสาน ดักลอบ ตกปลา ทอดแห ปักเบ็ด ซึ่งมันเป็นแนวทางที่ผมถนัด ครั้นเมื่อคุยกันถูกคอ ผมจึงเปิดใจรับ "เหล้า" ให้ผ่านเข้าสู่ร่างกายเป็นครั้งแรก
ไม่มีการคะยั้นคะยอกันมากนัก แค่ถามอาการข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นตามมาเมื่อดื่มเข้าไป น้ำสีแดงขุ่น ถูกรินใส่แก้วใสประมาณค่อนครึ่งแก้ว ลุงแกบอกว่านี่ล่ะเหล้า "เชียงชุน" แก้ปวดแก้เมื่อยดีนัก
"เอ้า!!! เอาก็เอาวะ!!!"
กลิ่นเหม็นเมื่อสูดเข้าจมูก ร้อนคอวาบเมื่อน้ำเหล้า ไหลผ่านลำคอ พอตกถึงท้องเกิดอาการร้อนวูบขนลุกไปทั้งตัว
โอ้ว!!! นี่น่ะหรือรสชาติสุรา ที่บ่งบอกความเป็นลูกผู้ชาย
แก้วที่สอง ถูกรินตามมา ตาเริ่มลอยๆ หัวสมองมึนๆ แก้วที่สาม , สี่ ตามมาติดๆ ผมเริ่มยิ้มง่ายและบ่อย พูดเก่งพูดคล่องมากขึ้น พอถึงแก้ว ที่หก ,เจ็ด เริ่มอ้าปากหาวว้อดๆ รู้สึกเหมือนทุกที่มันเป็นเตียงนอนอันอ่อนนุ่มแสนอบอุ่น พร้อมที่จะหลับลงได้ในทันที
แต่พอแก้วแปด กลืนลงท้องไปไม่ทันไร มันชวนแก้ว หนึ่ง ถึง เจ็ด วิ่งสวนกลับออกมาทางปากหมดเลย น้ำหูน้ำตาไหลพราก ผมพยายามยืนตรงให้มั่น ตั้งหลักให้แม่น แต่โลกมันกลับหมุนติ้ว ภวังค์สำนึกที่พอสัมผัสได้ในขณะนั้นก็คือ มีคนประคองหิ้วปีกมาส่งถึงบ้านของน้าชาย แล้วก็หลับยาวตื่นอีกทีก็เช้าขึ้นอีกวัน
ผมเริ่มคุ้นเคยกับเหล้าเชียงชุน เพราะทุกเสาร์-อาทิตย์ ต้องรีบมานั่งคุยกับลุงผู้ฝึกวิทยายุทธ์ในการเสพเมรัยให้แข็งแกร่ง ทุกครั้งที่ลงมือดื่มก็อยากจะบอกว่า มันเป็นการพยายามฝึกปรือ ฝีมือในการดื่มขึ้นเรื่อย ซึ่งมันก็เริ่มจะเห็นผล จากนกกระจอกธรรมดา ก็เริ่มจะเป็นนกกระจอกเทศแล้ว
ผมนั่งดื่มได้นานขึ้น "เหล้าสี" เป็นด่านต่อไป เหล้าขาวธรรมดาก็ตามมา เบียร์แบบเบาๆที่น้าชายชอบดื่ม ยี่ห้อแพงๆ ผมก็ซัดมาอย่างถ้วนทั่ว ลุงแกบอกว่า ผมเป็นประเภทกินเหล้าแล้วจะคุยสนุกและเมาหลับ ซึ่งถือว่าเป็นการเมาที่ดี ไม่เหมือนพวกที่เมาแล้วชอบระราน เพราะพวกนี้เป็นพวกที่อันตรายที่สุด เสี่ยงตายอันดับหนึ่ง น่ารำคาญเป็นที่สุด ลุงแกบอกว่าคอเหล้าทุกๆคนต้องเคยเจอ ดังนั้นถ้าริจะกินเหล้า ก็พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้ปะทะกับขี้เมาประเภทนี้
ผ่านไปเกือบๆสองปีที่ผมมาอยู่เมืองกาญจนบุรี ...เมื่อถึงคราวกลับบ้านเกิด เพื่อนๆที่มันเคยชวนและชอบคะยั้นคะยอให้ผมดื่ม กลับมาคราวนี้พวกมันไม่ผิดหวัง แต่ผมก็ไม่ถึงกับปล่อยให้ตัวเองเมามากนัก เพราะไม่อยากทำให้แม่ท่านไม่สบายใจ แต่ท่านก็ไม่เคยว่าอีกตามเคย
ผมหยุดและห่างเหล้าเมื่อถึงคราวต้องบวชเพื่อทดแทนพระคุณแม่ งานที่จัดขึ้นก็ขาดเหล้าไม่ได้ เพราะต้องมีเลี้ยงแขกที่มาช่วยงาน ไหนจะเพื่อนฝูงอีก ก่อนบวชเจ็ดวันผมไม่ดื่ม แม้จะมีเพื่อนๆรบเร้าและมีอาการอยากอยู่บ้าง แต่ก็ต้องตัดใจ จนบวชได้ครบหนึ่งพรรษา เก้าสิบวันกว่าๆ ที่ผมเชิดหน้าใส่เหล้า
ผมสึกออกมาไปเผชิญโลกของฆราวาสอีกครา การหวนกลับมาดื่มของผม ก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
เมื่อวันที่ : ๒๔ ส.ค. ๒๕๕๓, ๐๔.๔๑ น.
น้องเขียนให้ติดตามอ่านได้อย่างสบายๆ ค่ะ