![]() |
![]() |
พลอยพนม![]() |
ตอน : คืนหนึ่งที่ทุ่งส้าน
พระจันทร์แหว่งโผล่เหนือทิวป่าสูงขึ้นทุกระยะ ท้องทุ่งไฟลามสว่างนวล เมื่อลมเย็นพัดโชย ยอดหญ้าอ่อนชุ่มน้ำค้างพลิกพลิ้วสะท้อนแสงจันทร ดูแพรวพราวดุจประกายอัญมณีอันเลิศงาม ในขณะที่ดนตรีป่าบรรเลงกล่อมอยู่รายรอบ ทั้งแมลงกรีดปีก ทั้งนกกลางคืนส่งสำเนียงสอดประสานดังระงมเมื่อมีเสียงเจ้าป่าคำรามโฮ่งขึ้นสักครั้ง เสียงนั้นก็พลันหยุดชะงักไป หากแต่ชั่วไม่ทันอึดใจก็กลับร้องระงมอยู่ดังเดิม
เสียงกวางปีบร้องถี่ขึ้น วัวแดงร้องอื่อ ๆ ไม่ได้ร้อง มอ มอ เหมือนวัวบ้าน ตาปัญญาบอกว่าวัวแดงร้องได้หลายเสียง ร้องหาคู่ ร้องเรียกลูกน้อยให้กลับเข้าฝูง และร้องเตือนภัยเมื่อพากันกระโจนหนีสัตว์นักล่าจะออกเสียงผิดกัน
"โน่น มาโน่นแล้ว"
ตาปัญญาส่งเสียงกระซิบ เมื่อปรากฏเงาตะคุ่มภายใต้แสงจันทร์ของสัตว์สี่เท้าตัวหนึ่งโผล่พ้นแนวป่าทางฝั่งซ้ายเข้ามาในทุ่งระยะสามสิบวา ผมคิดในใจว่าไม่ใช่กวาง เพราะไม่ปรากฏเขาแตกกิ่งก้านพาราที่บนหัวของมันยื่นออกมาให้เห็น แต่ก็ผิดถนัดเมื่อตาปัญญากระซิบมาอีกครั้งว่า "กวาง !! วาดปืนจ้องไว้ดี ๆ ได้ระยะเหมาะก็ยิงเลย"
"กวางทำไม่มีเขา" ผมกระซิบถามด้วยความสงสัย
"มันเพิ่งผลัดเขา" ตาปัญญากระซิบตอบ แล้วพึมพัมต่อไปว่า "เดินเร็วซะด้วย ท่าทางจะไม่ได้ยิง เพราะคงเตลิดหนีอะไรมา หรือไม่ก็โดนตัวอื่นไล่กวด"
และเมื่อกวางตัวนั้นวกกลับเข้าไปในป่าตามเดิม ผมก็ถามตาปัญญาขึ้นเบา ๆ อีกครั้งว่า มันอยู่ไกลขนาดนั้น ตารู้ได้ยังไงว่าเป็นกวาง
"สังเกตลำตัวของมันนะซี ตัวมันสูงยาว ถ้าเป็นวัวก็ต้องเตี้ย ๆ กลม ๆ " แกว่า "แล้วอีกอย่าง, เดือนแจ้งประมาณนี้ถ้าเป็นวัวก็จะเห็นถุงเท้าสีขาวของมันไปแต่ไกล"
พอได้ยินตาปัญญาพูดอย่างนั้นผมก็นึกเสียดายขึ้นมาทันทีที่กวางตัวนั้นหลบเข้าป่าไปเสีย เพราะถ้ามันเข้ามาในระยะที่ผมสามารถยิงได้ บางทีนอกจากเนื้อของมัน, ผมก็อาจจะได้เขากวางอ่อนไปขายให้ร้านสมุนไพรที่ตลาดตะกั่วป่าอีกด้วย เขากวางอ่อนเป็นสมุนไพรที่มีราคามากทีเดียว
"กวางเขาอ่อน จะระวังรักษาตัวไม่ยอมเข้าใกล้ฝูง หรือเข้าใกล้กวางโทนตัวหนึ่งตัวใด เปรียบเสมือนนักรบที่ขาดมีดดาบก็ต้องเร้นกายเอาตัวรอดไว้ก่อน คืนนี้ท่าทางจะเป็นกวางออกมากินหญ้าระบัดแถบนี้มากกว่าวัว เพราะไม่ได้ยินเสียงวัวร้องเรียกฝูงเลย" พูดจบตาปัญญาก็กระเถิบห่างออกไปนั่งชิดขอบห้างอีกด้านหนึ่ง เพื่อให้ผมขยับวาดกระบอกปืนได้คล่องตัว
เมื่อกวางตัวนั้นลับหายเข้าไปในป่าได้สักประเดี๋ยว ก็มีสัตว์ที่ผมคิดถึงอยู่เมื่อครู่โผล่ออกมาจากราวป่าในทิศทางเดียวกัน ยกฝูงกันมาสี่ห้าตัว มีตัวโต ๆ เขาโง้งแหลมอยู่สองตัว อีกสองตัวเพิ่งแรกรุ่น และอีกตัวเป็นลูกน้อยกระโดดโลดเต้นอย่างเริงร่า พวกมันคือวัวแดงนั่นเอง ตัวโตสองตัวมีถุงน่องสีขาวมองเห็นเด่นชัด แต่พวกเล็ก ๆ สองสามตัวนั้นยังไม่มี
เมื่อมันติดลูกน้อยมาด้วย ผมก็พลันเกิดความยุ่งยากใจขึ้นมาทันที เพราะภายใต้แสงจันทร์รำไรอย่างนี้ในระยะวิถีกระสุนที่ผมจะยิงได้ ผมคงไม่อาจรู้ว่าตัวไปตัวผู้ตัวไหนตัวเมีย จะสังเกตเต้านมที่ใต้ท้องก็คงมองไม่เห็น ส่วนจะสังเกตเขางอโง้งบนหัวของมันซึ่งมีข้อแตกต่างระหว่างตัวผู้ตัวเมียอยู่เล็กน้อยก็คงจะลำบากอีกเหมือนกัน แต่ถ้าหากมันเฉียดกรายเข้ามาใกล้ในระยะหกเจ็ดวานั่นแหละถึงจะรู้
ผมวาดปลายกระบอกปืนไปยังฝูงของพวกมันซึ่งกำลังชวนกันก้มหน้าก้มตาแทะเล็มยอดหญ้าชุ่มน้ำค้างกันอย่างเพลิดเพลิน ในระยะ ๒๐ - ๓๐ วา ตรงชายป่าด้านหน้าซึ่งมีทั้งเนินหญ้าและต้นส้านขึ้นอยู่ประปราย บางครั้งเมื่อมันทอดน่องเข้าไปกินหญ้าที่ใต้โคนต้นส้านซึ่งทอดเงาทึมทึบลงเบื้องล่าง ร่มเงาดังกล่าวก็ปกคลุมพวกมันให้หดหายไปจากสายตาผม เห็นแต่ถุงน่องสีขาวโผล่พ้นเงามืดออกมาหน่อยเดียว
ด้วยความที่เกิดมาเป็นลูกป่า ชีวิตอบอวลอยู่ด้วยกลิ่นพฤกษาพงไพรมาแต่เล็กแต่น้อย กับสิ่งที่ย่างเท้าเข้ามาเป็นเป้าหมายให้ซุ่มยิงอยู่ในขณะนี้นั้น แม้จะเขย่าใจให้ตื่นเต้น แต่ผมก็ไม่ปรารถนาจะกระดิกนิ้วลั่นไกปืนมากนัก เพราะเกรงจะโดนตัวแม่ของมันเข้า ลูกวัวแดงตัวเล็กขนาดนั้นถ้าขาดแม่ของมันเมื่อใด ชีวิตน้อย ๆ ของมันก็คงจะยืนยาวต่อไปไม่ทันข้ามวัน ไหนจะต้องอดนมหิวโซ ไหนจะโดนฝูงทอดทิ้ง ก็คงไม่แคล้วเป็นเหยื่อของนักล่าอย่างไม่ต้องสงสัย
และก็แปลกเหลือเกิน พอผมนึกถึงสัตว์นักล่า พวกมันเหล่านั้นก็พลันปรากฏขึ้นมาจริง ๆ มันปรากฏขึ้นรอบทิศทางในเวลาเดียวกัน มามากันเร็วเหลือเกิน ทันที่ได้ยินเสียงเห่าบ๊อก ๆ เสียงแหลม พวกมันก็พากันกรูเข้าถึงฝูงสัตว์เหล่านั้นเสียแล้ว ความสับสนอลหม่านที่เกิดขึ้นทำให้ผมนับจำนวนพวกมันได้อย่างคร่าว ๆ ราว ๆ สิบสี่หรือสิบห้าตัวเป็นอย่างต่ำ
มันเป็นหมาในฝูงใหญ่เอาการ มันกรูเข้าห้อมล้อมฝูงวัวแม่ลูกอ่อนเป็นวงกลม คอยไล่ต้อนให้เข้าไปกระจุกอยู่ด้วยกัน ทำให้ไม่คล่องตัวในการต่อสู้ป้องกันการโจมตีของพวกมัน
ทว่าพริบตาหนึ่งผมเห็นหมาป่าตัวหนึ่งลอยคว้างออกมาจากวง ส่งเสียงร้องเป๋ง ๆ อย่างเจ็บปวด ทำให้ฝูงของมันหยุดชะงักไปพักหนึ่ง ก่อนจะพากันวิ่งวนไปรอบ ๆ ฝูงวัวที่เคลื่อนออกจากร่มเงาหมู่ไม้ส้านกลุ่มนั้นครั้งหนึ่ง มันไล่ต้อนตรงมาทางเราสองคนที่นั่งมองกันอยู่บนห้างด้วยใจระทึก ในมือของผมมีปืนซึ่งมีแสนยานุภาพพอที่จะปลิดชีวิตสัตว์ใหญ่แม้แต่ช้างให้ล้มคว่ำลงได้ สัมหาอะไรกับพวกหมาน้อยเหล่านั้น ซึ่งผมรู้สึกไม่พอใจอย่างมากที่มันใช้นิสัยหมาหมู่เข้ากลุ้มรุมทำร้ายสัตว์อื่น จะไม่ดับดิ้นสิ้นชีพถ้าหากผมลั่นไกใส่พวกมันสักโป้ง แต่นั่นแหละ หลังจากพวกมันทั้งฝูงรวมทั้งฝูงวัวแดงพวกนั้นจะแตกตื่นวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงกันไปคนละทิศละทางเพราะเสียงปืนสักหนึ่งชั่วยาม และอีกไม่นานการไล่ล่าในรูปการณ์นี้ก็จักต้องปรากฏขึ้น ไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง ผมจึงต้องระงับใจที่จะช่วยเหลือพวกวัวแดงนั้นเสีย ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติชีวิตสัตว์ ซึ่งต้องต่อสู้ดิ้นรนไปตามเรื่องตามราวของมัน
เมื่อหันไปทางตาปัญญา ก็เห็นแกนั่งจ้องพวกสัตว์เหล่านั้นกำลังต่อสู้ขับเคี่ยวกันอยู่ที่กลางทุ่งเหมือนกัน แกยิ้มให้ผมเมื่อเห็นผมหันไปมองหน้าแก ทว่าแกก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ด้วยแกคงจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
เจ้าสัตว์สองชาติพันธุ์ที่กำลังขับเคี่ยวกันอยู่เบื้องล่าง ห่างจากห้างของเราออกไปราว ๆ ๒๐ วา ยังคงโรมรันพันตูกันอยู่อุตลุด ในช่วงจังหวะหนึ่งผมเห็นหมาในตัวหนึ่งกระโดดเข้าไปงับน่องวัวแดงแรกรุ่นติดคาปากจนเจ้าวัวแดงตัวนั้นร้องแง้ ๆ เสียงหลง เจ้าวัวตัวโตหันมาช่วย มันเอี้ยวตัวมาขวิดหมาในที่กำลังงับขาลูกวัวแรกรุ่นอย่างไม่ยอมปล่อยด้วยปลายเขาอันแหลมโง้งเข้าเต็มเหนี่ยว จนหมาป่าเคราะห์ร้ายตัวนั้นลอยขึ้นสูงจากพื้นไม่ตำกว่าห้าวา ก่อนจะหล่นตุ๊บลงไปนอนแน่นิ่งไม่ไหวติง ทำให้ฝูงของพวกหยุดชะงักขึ้นอีกครา และคราวนี้วัวเขาโง้งตัวโตทั้งสองไม่ปล่อยโอกาสให้หมาล่าเนื้อพวกนั้นได้ทันตั้งหลัก มันทั้งสองตรงเข้าขวิดศัตรูที่ล่าถอยส่งเสียงร้องเป๋ง ๆ และแตกหนีกระเจิง
วีระกรรมอันห้าวหาญของวัวแดงสองตัวนั้นทำให้ผมรู้สึกยกย่อง กระทั่งใจอ่อนจนคิดที่จะสังหารมันด้วยปืนที่เล็งจ้องไปไม่ลง
ในที่สุดผมก็ลดปืนลงจากบ่า ปล่อยให้พวกมันเดินผ่านใต้ถุนห้างหายไปในแนวป่าด้านหลังกันตามสบาย เป็นเหตุให้ตาปัญญาหัวเราะหึ ๆ ออกมา
"ถ้าซื้อหวยแม่นอย่างนี้ก็ดี" ตาปัญญาพูดเบา ๆ "ตานึกแล้วว่าเอ็งยิงมันไม่ลง"
"แต่ถ้าเป็นตาตาจะยิงพวกมันไหม" ผมถาม
"ยิงสิ" ตาปัญญาพูดหนักแน่น "เรื่องอะไรจะหวังน้ำบ่อหน้า เมื่อวัวฝูงนี้ผ่านไปแล้วไม่รู้จะมีสัตว์อะไรโผล่มาอีกหรือเปล่า เพราะหมาในพวกนี้มันป้วนเปี้ยนเสียจนสัตว์อื่นไม่กล้าโผล่ออกมา เมื่อกี้ถ้าเป็นกวางละก็เสร็จมันแน่ กวางส่วนใหญ่เป็นสัตว์ตาขาว บางครั้งได้ยินเสียงเสือคำรามก็ยืนตัวสั่นวิ่งไปไหนไม่ถูก พอมันโดนพวกหมาป่ารายล้อมแทนที่จะสู้กลับยืนเฉย ถ้าวิ่งหนีก็จะเข้าป่ารก แทนที่จะวิ่งไปในที่โล่งไม่ให้เขาบนหัวไปคล้องเถาวัลย์ เพราะฉะนั้นเมื่อมันวิ่งเข้าป่ารกก็เสร็จพวกหมาป่าทุกราย พอเถาวัลย์คล้องเขาติดเมื่อไหร่ก็ยืนตัวแข็งทื่อ รอให้ฝูงหมาป่ากรูเข้าขย้ำลูกเดียว"
ฟังตาปัญญาพูดผมคิดเสียดายกวางเขาอ่อนตัวนั้นไม่หาย ท่าทางมันจะหลบหนีฝูงหมาในฝูงนี้มาก็ได้ แต่หมาในพวกนั้นก็โลภมาก เห็นฝูงวัวแดงก็ทิ้งเหยื่อกวางโง่ไปเสีย พวกมันจึงต้องผิดหวังทั้งต้องล้มตายและบาดเจ็บไปหลายตัว
ได้เวลาย่ำรุ่งพระจันทร์แหว่งก็ลอยเด่นอยู่ตรงหัว เบื้องทิศตะวันออกปรากฏดาวดวงหนึ่งเปล่งแสงสุกปลั่งเป็นประกาย และกลมโตเกือบเท่าลูกหมากแลโดดเด่นกว่าดาวดวงอื่นแม้จะไม่กระพริบแสงเพราะเป็นดาวพระเคราะห์
ตาปัญญาเคี้ยวใบกระท่อมหยับ ๆ อยู่ในปาก จ้องมองดาวดวงนั้นสักครู่ ก็พูดขึ้นว่า ดาวรุ่งขึ้นอย่างนี้เป็นวาระสุดท้ายที่พวกสัตว์กินหญ้าจะออกหากิน ถ้าเลยไปจากนี้ ก็ต้องเป็นตอนสาย ๆ ของวันรุ่ง ถ้าดวงเราไม่ซวยจนเกินไปก็น่าจะได้ยิงแน่ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ พอดาวรุ่งดวงนั้นโผล่พ้นทิวป่าขึ้นมาได้สักวากว่า ๆ ก็ปรากฏกระทิงแรกรุ่นตัวหนึ่งก้าวผ่านแนวป่าทางด้ายซ้ายมือออกมา เป็นกระทิงแรกรุ่นตัวไม่ใหญ่นัก เขาของมันเพิ่งโผล่พ้นปลายใบหูได้สักสองข้อมือเท่านั้น แต่ถุงน่องที่ปลายเท้าก็ขาวนวลต้องแสงจันทร์มองเห็นชัดเจน
แรก ๆ ที่โผล่พ้นชายป่าออกมา มันก็ยืนชะเง้อมองทิวทัศน์รอบด้านอย่างระแวดระวังอยู่ครู่หนึ่ง ผมวาดปืนจ้องตรงไป แต่เป็นระยะที่ยังไม่เหมาะ และเชื่อว่ามันจะต้องย่างเท้าเยื้องกรายเข้ามา กลางทุ่งหญ้าแห่งนี้แน่ จึงอดใจรอถ้าด้วยใจที่สั่นระทึก
เมื่อเหลือบไปมองที่ตาปัญญาก็เห็นแกนั่งจ้องตาไปไม่กระพริบอยู่เหมือนกัน
"สมาธิต้องแน่วแน่" เสียงปู่กระซิบขึ้นข้างหู "หายใจลึก ๆ ก่อนจะหยุดกลั้นใจเมื่อเหนี่ยวไกปืน"
เปรี้ยง!
สิ้นเสียงปืนลั่นกระทิงน้อยตัวนั้นตีลังกาหัวทิ่มไปข้างหน้า สี่ตีนพยายามตะกุยตะกายพยุงตัวลุกขึ้นแต่ก็ไม่สำเร็จ มันพยายามอย่างนั้นอยู่สองสามครั้งก็นอนตะแคงแน่นิ่ง แสดงว่าหยุดหายใจลงแล้ว
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก หันไปมองตาปัญญาก็เห็นแกยิ้มหน้าบาน คงจะดีใจที่ไม่เสียเที่ยว ไม่ต้องอดตาหลับขับตานอนอย่างไร้ประโยชน์
ต่อไปนี้ก็ต้องรอรุ่งสาง เพื่อจะได้เดินทางกลับหน้าเหมือง ไปตามสมาชิกเหมืองป่า ทั้งไอ้ชน ไอ้พริ้ง พี่สงัด และสมาชิกทับอื่นที่สนิทสนมให้มาช่วยแล่เนื้อนำกลับไป ส่วนเราสองคนคงทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากนอนพักผ่อนอย่างเดียว โดยเฉพาะผมซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านไม่ได้หลับแม้แต่น้อย
"เราต้องไปทางลัด"
ตาปัญญาพูดขึ้นตามทาง ช่วงที่เลยทุ่งหญ้าแห่งนั้นมาตามทางด่านได้พัก
"อ้าวแล้วตอนขามาทำไมไม่เดินทางนั้น" ผมถาม
"ทางมันลำบาก ต้องข้ามบึงเล็ก ๆ สองสามแห่ง แล้วอีกอย่างเราก็ต้องการจะล่าสัตว์ไปตามทางด้วย พวกสัตว์ป่าก็เหมือนกับเรา ต้องการเดินไปตามทางเดินที่สะดวกสบายเหมือนกัน เมื่อเราเดินตามทางด่าน โอกาสที่จะพบเจอพวกสัตว์ต่าง ๆ มีมาก แต่ถ้าเดินไปตามทางทุรกันดารโอกาสแบบนั้นมีน้อย เว้นแต่พวกมันจะแตกตื่นหลบหนีอะไรมา"
"ดีเหมือนกันจะได้หายง่วงนอน" ผมหัวเราะ "ว่าแต่ใกล้ถึงทางลัดตรงนั้นแล้วยัง"
"เลยหลุมต่อโพรงไปหน่อย"
"งั้นก็ใกล้โตนนกอาบแล้วนี่" ผมว่า
"นั่นแหละ เราตัดป่าตรงนั้นราว ๆ ครึ่งชั่วโมงก็จะถึงโตนนกอาบ"
ตาปัญญาพูดเหมือนพกนาฬิกาอยู่กับตัว ทั้ง ๆ ที่ทีมเหมืองป่าของเราสี่ห้าคน มีคนพกนาฬิกาอยู่คนเดียว คือ พี่สงัด แต่แกก็เก็บไว้ที่ทับไม่ยอมแขวนออกไปไหน เพราะนาฬิกาข้อมือของแกเรือนนั้นเป็นนาฬิกาโบราณยางกันน้ำสึกหรอ เหมือนอย่างที่ไอ้ชนมันว่า "กันน้ำออกได้อย่างเดียว น้ำเข้ากันไม่ได้" แกจึงเก็บไว้ที่หัวนอนไม่ยอมพกติดตัวไปไหน
เมื่อถึงทางแวะไปสู่ทางลัด ตาปัญญาก็ชี้ให้ผมดูต้นไทรใหญ่ใบดก แผ่กิ่งก้านทอดเงาร่มครึ้มอยู่ทางซ้ายมือ
"เลยต้นไทรตรงนี้ไปหน่อยก็จะถึงหนองน้ำแห้ง ข้ามหนองน้ำแห้งก็มีทางด่านเล็ก ๆ ทอดผ่านไปทางทิศใต้ เราเดินไปตามทางนั้นขึ้นเนินเขาย่อม ๆ ลูกหนึ่ง พอถึงสันเนินก็จะมองเห็นร่องน้ำโตนนกอาบอยู่เบื้องหน้า"
ผมเดินพลางมองภูมิประเทศรอบด้านไปพลาง จดจำเส้นทางที่ปัญญาบอกไว้ในใจ ราวกับจะนึกรู้เหตุการณ์ร้ายล่วงหน้า เช่นเดียวกับตาปัญญาที่บอกกล่าวเส้นทางให้ผมฟังขึ้นมาลอย ๆ โดยที่ผมไม่ได้สอบถาม เหมือนกับเป็นลางบอกเหตุว่าแกจะต้องประสบเคราะห์กรรมจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดในเวลาต่อมา
"ไอ้นุ้ย เอ็งเดินไปพลางนะ ตาจะไปทุ่งสักหน่อย"
ตาปัญญาร้องบอกผมมาจากด้านหลัง แล้วแกก็แวะหายเข้าไปในป่าข้างทาง ผมเดินทอดน่องช้า ๆ ฟังเสียงนกป่าขับขานรับแสงอรุณรอแกไปเรื่อย กระทั่งถึงห้วยน้ำแห้งมีน้ำสีขุ่นข้นติดขังอยู่เป็นแอ่งเล็กแอ่งน้อยห่าง ๆ กัน ทว่าผมสังเกตรอยสัตว์เดินข้ามก็ยังไม่เจอ จึงไม่กล้าตัดสินใจลุยข้ามลงไป ปู่เคยสอนว่าก่อนข้ามห้วยหนองในป่าให้ระวังตกหลุมโคลนดูด ทางที่ดีก่อนจะลุยข้ามให้สังเกตรอยสัตว์เสียก่อน ตรงไหนมีร่องรอยสัตว์ลุยข้ามแสดงว่าปลอดภัย
ผมเดินเลียบไปตามขอบหนองดูลาดเลาสักพักก็เจอทางข้ามของพวกส่ำสัตว์ลุยย่ำกันไปเป็นร่องลึก จึงตัดสินใจถอดรองเท้าผ้าใบ พร้อมถลกขากางเกงสูงเทียมเข่าแล้วลุยโคลนเหนียวหนืดตรงนั้นข้ามไป เมื่อข้ามไปได้อย่างเหนื่อยหอบเพราะต้องออกแรงลุยโคลนไปตามรอยเท้าสัตว์ที่ย่ำกันไว้เป็นร่องลึกถึงหัวเข่าแล้ว ผมก็มองหาแอ่งน้ำที่อยู่ริมขอบห้วยเพื่อล้างเท้าทำความสะอาดจะได้สวมรองเท้าอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าแต่ละแห่งหมิ่นเหม่ต่อการลื่นไถลพลัดตกลงไปเหลือเกิน ผมจึงยืนชั่งใจว่าจะลงไปล้างเท้า ณ ที่นั้น ๆ ดีหรือไม่ กระทั่งในที่สุดก็ตัดใจว่าเดินแบกปืนหิ้วรองเท้าไปให้ถึงโตนนกอาบเสียก่อนดีกว่า พร้อมกับคิดในใจว่า จะนั่งรอตาปัญญาอยู่แถวนั้น ทว่าขณะกำลังตัดสินใจ ผมก็ได้ยินเสียงกู่ของตาปัญญาดังขึ้นแว่ว ๆ
"ไอ้ไข่นุ้ยกลับมาก่อน มาช่วยตาหน่อยเร้ว ... เร็ว ๆ นะโว้ย เฮ้ย เฮ้ย...."
เสียงของแกดังเอะอะราวกับกำลังตกอกตกใจบางสิ่งบางอย่างสุดขีด
ผมวางรองเท้าลงกับพื้น แล้วแบกปืนวิ่งย้อนกลับไปตามเสียงนั้นทันที
************************************************************
เมื่อวันที่ : ๑๐ ส.ค. ๒๕๕๓, ๐๘.๐๐ น.
เมื่อลมเย็นพัดโชย ยอดหญ้าอ่อนชุ่มน้ำค้างพลิกพลิ้วสะท้อนแสงจันทร ดูแพรวพราวดุจประกายอัญมณีอันเลิศงาม...
******************************************************
จันทร เป็นเจตนาเขียน และต้องการให้ออกเสียง จัน-ทอน ซึ่งนิยมใช้กันในบทร้อยกรอง บทร้อยแก้วมักไม่ค่อยมีใครเขียน