![]() |
![]() |
ดอยสะเก็ด![]() |
...อีกสองวันต่อมาหนานคำส่งคำปันมารับเคนไปพบเขาที่ห้องทำงาน ในบริเวณโรงบ่มใบยาใกล้ไหล่เขาเตี้ยๆ ที่เมื่อมองขึ้นไปจะเห็นไร่ยาสูบเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา...
ตอน : ตอนที่ 6 - แรกพบสบตา
อีกสองวันต่อมาหนานคำส่งคำปันมารับเคนไปพบเขาที่ห้องทำงาน ในบริเวณโรงบ่มใบยาใกล้ไหล่เขาเตี้ยๆ ที่เมื่อมองขึ้นไปจะเห็นไร่ยาสูบเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา ปลูกลดหลั่นเป็นขั้นบันได ตั้งแต่ยอดลงมาจนถึงตีนเนิน เนื้อที่เพาะปลูกมีขนาดกว้างใหญ่ ครอบคลุมเนินเขาหลายเนินที่อยู่ติดต่อกันสถานที่ทำงานของหนานคำเป็นตึกเล็กๆชั้นเดียว ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับที่ตั้งโรงบ่มใบยา ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหกโรง มีห้องเพียงสองห้อง ห้องหนึ่งเป็นห้องทำงานของหนานคำ อีกห้องหนึ่งเป็นห้องประชุมขนาดกลาง ส่วนที่เหลือซึ่งเป็นที่โล่งกว้าง เป็นที่ทำงานของเสมียนสองคน มีเครื่องคอมพิวเตอร์เก่าๆสองเครื่องตั้งอยู่บนโต๊ะทำงาน ตู้เก็บเอกสารตั้งเรียงเป็นแถวอยู่ชิดผนังด้านหนึ่ง
เมื่อคำปันพาเคนเข้ามาในห้อง หนานคำ ซึ่งกำลังอ่านเอกสารฉบับหนึ่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน พยักหน้าเรียกเคนให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่หน้าโต๊ะ
" ผมเรียกคุณมาคุยจะได้รู้ว่าคุณทำอะไรได้บ้าง ที่นี่มีงานหลายประเภท งานด้านเอกสาร งานในไร่ โรงบ่ม ขับรถ อะไรพวกนี้แหละ " เขาอธิบายพร้อมกับสำรวจหน้าตาท่าทางของอีกฝ่ายไปด้วย " คุณคิดว่าจะทำอะไรได้บ้าง? "
ชายหนุ่มนิ่งคิดก่อนตอบว่า "ผมไม่แน่ใจว่าเคยทำงานพวกนี้มาบ้างหรือเปล่า แต่ถึงไม่เคยก็น่าจะเรียนรู้ได้ "
คำตอบของเขาทำให้หนานคำมีสีหน้าดีขึ้น ท่าทางเขาคงไม่เกี่ยงงาน ดูเขากระตือรือร้นที่จะทำงาน หลังจากนั้นหนานคำซึ่งกำลังจะขึ้นไปดูงานบนไร่ยาสูบขับรถจิ๊ปขึ้นไปบนเนินซึ่งเป็นที่ปลูกต้นยาสูบ โดยให้เคนติดรถไปด้วย ชายหนุ่มซึ่งไม่เคยเห็นไร่ยาสูบอย่างใกล้ชิดมาก่อนรู้สึกแปลกหูแปลกตากับสิ่งที่เขาเห็น หนานคำอธิบายให้เขาฟังแล้วระหว่างนั่งมาในรถ ว่าไร่ยาสูบที่นี่ปลูกยาสูบพันธ์เวอร์จิเนียและพันธ์เบอร์เลย์เป็นส่วนใหญ่ ส่วนพันธ์เตอร์กิซ กำลังอยู่ในขั้นตอนขยายการปลูกออกไป เนื่องจากความต้องการในตลาดโลกมีสูง ในขณะที่ประเทศผู้ผลิตมีน้อย
" ใบยาสูบนี่ปลูกกันเฉพาะในภาคเหนือเท่านั้นหรือครับ ? " เคนถามอย่างสนใจ
" ที่ภาคอีสานก็มีปลูกกันมาก แถวขอนแก่น ร้อยเอ็ด นครพนม สกลนคร และอีกหลายจังหวัด แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพันธ์เตอร์กิซ ภาคเหนือนี่ก็ปลูกกันหลายจังหวัด แต่มากที่สุดก็ต้องแถวเชียงราย ที่นี่ปลูกกันไม่มากนักหรอก "
หนานคำพาเคนไปดูแปลงเพาะและการเตรียมเพาะต้นกล้าจากเมล็ดยาสูบ เขาหยิบเมล็ดยาสูบซึ่งมีขนาดเล็กๆออกมาให้ชายหนุ่มดู แล้วอธิบายว่า " อยากให้คุณศึกษาเรื่องเมล็ดยาสูบที่ใช้ทำพันธ์ก่อน ในน้ำหนักหนึ่งกรัมจะมีเมล็ดพวกนี้อยู่ประมาณ 10,000 ถึง 30,000 เมล็ด มันงอกได้เร็วมาก ภายในห้าถึงสิบวันเท่านั้น "
เคนมองไปที่แปลงเพาะขนาดใหญ่ ซึ่งมีต้นกล้าเล็กๆกำลังงอกงามอยู่เต็ม แล้วถามอย่างสนใจว่า "เนื้อที่หนึ่งไร่ปลูกกล้าได้สักกี่ต้นครับ ผมเห็นมันขึ้นกันแออัดไปหมด ? "
" ประมาณ 30,000-40,000 ต้น ถ้าแปลงเพาะมีสภาพที่เหมาะสมมีความเย็นและความชื้นที่พอเหมาะ ต้นยาสูบพวกนี้ก็จะเจริญเติบโตสูงถึง15-20 เซนติเมตรภายในสองเดือน " แล้วหนานคำก็หันมาทำหน้ายิ้มๆ อย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกับเคน " ท่าทางคุณจะสนใจไร่ยาสูบของเรานะ ดีเหมือนกัน ถ้าคุณสนใจศึกษาขั้นตอนต่างๆให้ดี ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระให้ผมได้มากทีเดียว "
ชายวัยกลางคนพูดโดยที่ยังไม่แน่ใจว่าหนุ่มแปลกหน้าคนนี้จะเอาจริงสักแค่ไหน แต่หนานคำก็คิดว่าจะให้เคนมาทำงานใกล้ตัว เพื่อที่จะได้สังเกตพฤติกรรมของเขาได้สะดวกขึ้น เดินคุยกันไปเรื่อยๆครู่หนึ่งหนานคำก็หยุดพูดกับคนงานหญิงสองคนที่ทำงานอยู่แถวนั้น แล้วจึงหันมาอธิบายให้เคนฟังต่อว่า
" วิธีเก็บใบยาแต่ละสายพันธ์ก็แตกต่างกัน พันธ์เวอร์จิเนียต้องเก็บเกี่ยวตามระยะเวลา เราจะเริ่มเก็บใบแก่ที่อยู่โคนต้นก่อน แล้วค่อยๆขยับเก็บใบที่อยู่สูงขึ้นไปเรื่อยๆเมื่อใบยาแก่พอดี ส่วนพันธ์เบอร์เลย์จะต้องเก็บในขั้นตอนเดียว คือตัดต้นแล้วรูดใบออกจากก้าน หลังจากผ่านการบ่มแล้ว "
หลังจากเดินดูงานรอบๆและสั่งงานอีกประมาณชั่วโมงกว่าๆแล้ว หนานคำกับเคนก็กลับลงมาที่โรงบ่มใกล้ออฟฟิศ หนานคำพาชายหนุ่มเข้าไปดูวิธีบ่มยาในโรงบ่มที่มีอยู่หกโรง
" โรงบ่มพวกนี้บ่มใบยาโดยใช้ความร้อนแบบรวมศูนย์ เป็นระบบใหม่ที่เราเพิ่งติดตั้งแทนระบบแบบเดิม เป็นการบ่มแบบอัดแน่น มีความแน่นประมาณสี่เท่าของการบ่มแบบเดิม บ่มใบยาได้ประมาณหกพันกิโลกรัมต่อครั้ง เตาเผาลิกไนท์และหม้อน้ำร้อนขนาดสี่ร้อยกิโลวัตต์ที่คุณเห็นอยู่นี่เพียงชุดเดียว ก็ให้ความร้อนกับโรงบ่มทั้งหกโรงของเราได้พอเพียงแล้ว "
เมื่อเห็นเคนมองอุปกรณ์ต่างๆอย่างสนใจ หนานคำก็อธิบายเพิ่มเติมว่า "เตาเผากับหม้อน้ำร้อนชุดนี้ จะส่งผ่านความร้อนไปตามท่อน้ำร้อนและเครื่องแลกเปลี่ยนความร้อน อากาศภายในโรงบ่มจะถูกหมุนเวียนโดยพัดลมขนาดใหญ่ ซึ่งให้ลมในปริมาตรสองหมื่นลูกบาศก์ฟุตต่อวินาที บังคับให้อากาศร้อนไหลผ่านใบยา แทนที่จะอาศัยการลอยตัวตามธรรมชาติของอากาศแต่เพียงอย่างเดียว" ขณะที่ปากอธิบายไปเรื่อยๆ หนานคำก็คิดในใจว่า หรือว่าชายนิรนามผู้นี้จะเคยทำงานเป็นช่างหรือวิศวกรเครื่องจักรกลมาก่อน
" ระบบเก่ามีปัญหาอะไรหรือครับ ถึงต้องเปลี่ยนมาเป็นระบบแบบอัดแน่น ?"
" ระบบใหม่นี่ช่วยลดค่าใช้จ่ายต่างๆลงได้มาก ประหยัดพลังงานความร้อนได้สูงถึงประมาณ 67% ลดมลภาวะทางอากาศและกลิ่นได้มากกว่าแบบเดิม ใช้คนงานน้อยลง ก่อนหน้านี้การนำใบยาเข้าออกจากโรงบ่มแต่ละครั้ง ต้องใช้คนงานประมาณห้าสิบคนต่อวันต่อครั้ง แต่แบบใหม่นี่ใช้คนงานแค่สิบคนต่อวันต่อครั้ง อีกเรื่องที่สำคัญคือการบ่มแบบใหม่นี้ให้ใบยาแห้งที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ เพราะอากาศร้อนสามารถไหลผ่านใบยาทุกส่วนได้อย่างเท่าเทียมและสม่ำเสมอกัน "
หนานคำอธิบายอย่างยืดยาว ไม่รู้ว่าเคนจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน เพราะถึงอย่างไรวันนี้ก็เป็นวันแรกของเขา หลังจากนั้นคนทั้งสองก็เดินเข้าไปในห้องทำงานของหนานคำ
" ดูจนทั่วแล้วคุณคิดว่าจะช่วยทำอะไรได้บ้างล่ะ? " หนานคำลองถามไปอย่างนั้นแหละ อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะตอบว่าอย่างไร
ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนตอบว่า " อะไรก็ได้ครับ ให้ผมลองไปเก็บใบยาดูก่อนก็ได้ พอชำนาญแล้วค่อยเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น ขอให้มีใครช่วยสอนผมบ้างก็แล้วกัน "
หนานคำรู้สึกพอใจหนุ่มแปลกหน้าคนนี้ขึ้นมาอีกหน่อย " ดีเหมือนกัน ค่อยๆหัดทำไปทีละอย่างสองอย่าง อีกหน่อยก็เก่งไปเอง ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใครมาจากไหน แต่ถ้าคุณไม่รังเกียจงานแบบคนงานผมก็ค่อยสะดวกใจที่จะใช้สอยคุณหน่อย "
ชายวัยกลางคนเปิดตู้เอกสารหยิบแฟ้มสองสามแฟ้มส่งให้เคน "ระหว่างนี้คุณก็เอาเอกสารพวกนี้ไปศึกษาดูก่อน ศึกษาไปเรื่อยๆไม่ต้องรีบร้อน สงสัยอะไรก็ถามผมได้ แล้วก็ขึ้นไปบนไร่บ้างวันละครั้ง จะไปเก็บใบยาหรืออะไรก็ได้ เดี๋ยวผมจะสั่งสมจิตร์ หัวหน้าคนงานที่ดูแลเรื่องการเก็บใบยา ให้สอนงานให้คุณ "
หลังจากวันนั้น ชายหนุ่มก็ต้องวุ่นวายอยู่กับการศึกษางาน เขาขึ้นไปช่วยเก็บใบยาในช่วงเช้า พอถึงช่วงบ่ายก็เอาแฟ้มต่างๆมาศึกษา ทำให้เวลาของเขาค่อยๆผ่านไปโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย เคนรู้จากตาเป็งว่า คุณดนัยเจ้าของเวียงพุกามที่เขาไม่เคยเห็นหน้ากลับมาจากกรุงเทพฯสองสามวันแล้ว แต่เขาก็ฟังเฉยๆไม่ได้สนใจอะไร เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา ชายหนุ่มยังก้มหน้าก้มตาศึกษางานหลายอย่างที่หนานคำหัวหน้าโดยตรงของเขามอบหมายให้ แต่แล้ววันหนึ่งหลังจากมาอยู่ที่เวียงพุกามได้ประมาณสามสัปดาห์ หนานคำก็พาเขาขึ้นไปบนตึกใหญ่ ที่เคยรู้จากตาเป็งว่าเป็นที่อยู่ของคุณดนัยและบุตรสาว
เมื่อขึ้นไปถึงบนตึกหนานคำเดินนำเขาเข้าไปในห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่ต่อจากห้องโถงใหญ่ยาวที่เป็นห้องรับแขกไปในตัวด้วย บนเก้าอี้นวมสีสวยเขาเห็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่นั่งเอนๆอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ และเห็นด้วยหางตาว่าในเก้าอี้อีกตัวหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ใกล้กันมีคนอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ เมื่อหนานคำและเคนเดินใกล้เข้าไป ผู้ชายคนที่เขาคิดว่าน่าจะเป็นคุณดนัยก็เงยหน้าขึ้น
" ท่านครับ นี่นายเคน " หนานคำประสานมือและค้อมศรีษะลง พูดกับชายผู้นั้นอย่างนอบน้อม
เคนมองสบตาคุณดนัยแล้วก้มศรีษะลงนิดหนึ่งเป็นเชิงคารวะ ทำให้คุณดนัยเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ มองสำรวจเขาอย่างเปิดเผยจากหัวถึงเท้า นึกในใจว่า ไอ้หมอนี่มันนึกว่ามันเป็นใคร ไหว้คนไม่เป็นหรือไง
ส่วนหนานคำก็รีบสะกิดชายหนุ่มและกระซิบเตือนว่า " ไหว้ท่านเสียสิ "
เคนทำหน้างงๆ แต่แล้วก็รีบยกมือไหว้คุณดนัยด้วยท่าทางที่สุภาพถูกต้องตามแบบแผน ทำให้คุณดนัยมองหน้าเขาอีกครั้งด้วยความรู้สึกแปลกๆ
หนานคำรีบรายงานว่า " ไม่ทราบว่าคุณหมอประสพชัยเรียนท่านหรือยังขอรับ แกขอให้ผมพานายเคนมาพักอยู่กับเราที่เวียงพุกามชั่วคราว จนกว่าเขาจะมีทางไปหรือจำเรื่องราวของตัวเขาได้ "
" คุยกันแล้วละ " คุณดนัยตอบ มองเคนอีกครั้งหนึ่ง รู้สึกสะดุดใจกับบุคลิกลักษณะที่โดดเด่น มีราศรีกว่าบริวารที่เวียงพุกามของเขาทุกคน เขาเห็นหน้าคมคาย ที่ตอนนี้เกลี้ยงเกลาปราศจากหนวดเครารกรุงรังและริ้วรอยจากการถูกทำร้าย ที่เคยเห็นในวันแรกตอนที่คนงานหามเขามาวางไว้บนตั่งใหญ่ในห้องโถงเมื่อสองสามเดือนที่แล้ว เขายืนตัวตรง มือประสานกันไว้ต่ำๆคล้ายหนานคำก็จริง แต่ศรีษะของเขาตั้งตรง รูปร่างในเสื้อกางเกงกลางเก่ากลางใหม่นั้นดูแข็งแรงกำยำล่ำสัน อกของเขาผายกว้าง มีมัดกล้ามงามสมตัว ไม่ใหญ่เกินไปจนดูเทอะทะเหมือนนักเพาะกาย แต่ก็ไม่เล็กเกินไปจนดูกร้องแกร้ง เขาดูผิดแผกแตกต่างไปจากที่เคยเห็นราวกับเป็นคนละคน
" ตอนนี้เป็นไง หายดีแล้วหรือ ? " คุณดนัยถาม เหมือนถามบริวารคนอื่นๆที่เจ็บไข้ได้ป่วย
หนานคำตอบแทนว่า " หายดีแล้วครับ แต่เขายังจำอะไรไม่ได้ คุณหมอ บอกว่าอาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก " แล้วเขาก็รีบรายงานต่อโดยไม่รอให้เจ้านายถาม " ผมให้เขาพักอยู่กับตาเป็ง ตอนนี้แกอยู่คนเดียว จะได้เป็นเพื่อนกัน ผมขอให้แกคอยช่วยแนะนำอะไรๆให้เขาบ้าง เพราะเขายังไม่ค่อยคุ้นเคยกับเวียงพุกามของเรา "
เจ้าของเวียงพุกามเปิดกล่องบนโต๊ะข้างตัว หยิบซิการ์ออกมามวนหนึ่งแล้วคาบเอาไว้ ในมือมีกล่องไม้ขีดแต่ยังไม่ได้จุด ปกติเขาใช้กล้องยาเส้น นานๆจึงจะสูบซิการ์สักทีหนึ่ง เขามองเคนอย่างตริตรองเมื่อถามว่า " แล้วตอนนี้ทำอะไร ? "
ชายหนุ่มอึกอักไม่เข้าใจคำถามนั้น ร้อนถึงหนานคำต้องช่วยตอบแทนอีกครั้ง " ตอนนี้ผมให้เขาศึกษางานอยู่ขอรับ อ่านเอกสารต่างๆบ้าง เข้าไปดูงานในไร่บ้าง ในโรงบ่มบ้าง จะได้รู้วิธีทำงานของเรา หลังจากนั้นผมกะว่าจะดูอีกทีว่าเขาเหมาะจะทำอะไร แล้วค่อยมอบหมายให้เขาทำ "
พอพูดจบหนานคำก็มองเจ้านายของเขา เหมือนจะถามว่าที่เขาจัดการไปโดยพลการนี่เห็นด้วยหรือไม่ คุณดนัยจุดไม้ขีดจ่อเข้าไปที่ซิการ์มวนนั้น ดูดสองสามทีจนปลายของมันติดไฟทั่วถึงแล้วจึงกล่าวว่า " ก็แล้วแต่แกจะจัดการ เรื่องค่าแรงก็จ่ายให้เขาไปตามระเบียบ อาหารการกินที่โรงครัวของเรามีกฏเกณฑ์อะไรบ้าง ก็อธิบายให้เขาเข้าใจด้วย "
พอพูดจบคุณดนัยก็หยิบหนังสือพิมพ์ที่ลดลงไว้บนตักตอนที่หนานคำกับเคนเข้ามา ขึ้นมาอ่านต่อไป เป็นสัญญาณว่าจบการสนทนาแต่เพียงเท่านั้น ทำให้ทั้งห้องมีแต่ความเงียบ
หนานคำกับเคนขยับจะเดินออกไปจากห้องแต่ก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อมีเสียงหนึ่งดังแหวกความเงียบออกมา
" หนานคำ ให้คนแปลกหน้าไปอยู่กับตาเป็ง แกไม่อึดอัดแย่หรือ แกอาจจะชินกับการอยู่ตามลำพังก็ได้ "
เคนเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงนั้น พร้อมๆกับที่หนานคำทักว่า " อ้อ...คุณหนู "
ชายหนุ่มเห็นผู้หญิงคนที่หนานคำเรียกว่าคุณหนู แล้วก็นึกขึ้นได้ถึงคำพูดของตาเป็งในวันแรกที่เขาเข้ามาพักอาศัยที่เวียงพุกาม ว่าคุณหนูของแกเป็นลูกสาวของคุณดนัย เจ้าของอาณาจักรเวียงพุกามอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ เมื่อมองไปเขาเห็นผู้หญิงสาวที่เขาคะเนว่าอายุคงไม่เกินยี่สิบปี อาจจะเป็นเพราะทรงผมก็ได้ ผมที่ถักเป็นเปียเดี่ยวที่ทั้งหนาและคงหนัก ห้อยลงไปกลางหลัง ด้านหน้าหวีเสยเปิดให้เห็นหน้าผากลาดนูนที่มีลูกผมเล็กๆล้อมรอบ หน้ารูปไข่ที่ประกอบด้วยคิ้วเข้มที่ดกหนาตรงหัวคิ้วแล้วค่อยๆเรียวยาวทอดโค้งไปตามรูปตาจนถึงหางตา ดวงตาภายใต้ขนตาที่ทั้งดกหนาและดำยาว ยาวจนเขานึกว่าเป็นขนตาปลอมที่กำลังจ้องมองเขาอยู่ขณะนี้คมปลาบ ชายหนุ่มสะดุ้งมีความรู้สึกเหมือนมองดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ที่แสงเจิดจ้าของมันทำให้ผู้มองเคืองตาจนต้องหลบ ก็เหมือนกับเขาตอนนี้ที่ไม่กล้าสู้ตาเธอ แล้วตาที่หลบต่ำจากตาเธอของเขาก็เห็นจมูกปากที่งามรับกันอย่างเหมาะเจาะ จมูกของเธอไม่โด่งมากนัก แต่มันก็ขึ้นสันสวยรับกับริมฝีปากเต็มตึงโค้งงามได้รูปที่ปราศจากร่องรอยของลิปสติก
เคนตะลึงมองอยู่อย่างนั้นอย่างลืมตัวจนหนานคำต้องสะกิดเตือน เมื่อรู้สึกตัวเขาก็ก้มหน้าลงมองพื้นและทันได้ยินหนานคำอธิบายถึงเรื่องบ้านตาเป็งให้หญิงสาวคนนั้นฟังว่า " ตอนแรกผมกะว่าจะให้ไปอยู่ที่เรือนแถวคนงาน แต่เผอิญเต็มหมดทุกห้องก็เลยไปฝากไว้กับตาเฒ่า แต่คุณหนูไม่ต้องห่วงหรอกครับ แกชอบเสียอีกเพราะมีเพื่อนคุย แล้วเคนก็แค่อาศัยนอนเท่านั้น ส่วนใหญ่เขาอยู่ที่ที่ทำงาน "
คุณหนูหรือทิพย์สุรางค์ยักไหล่ พับหนังสือพิมพ์วางไว้บนโต๊ะ เดินเหมือนจะออกจากห้องไป แต่เมื่อผ่านผู้ชายสองคนที่ยืนตัวลีบอยู่เธอก็หยุดแล้วพูดกับเคนโดยตรง ด้วยสุ้มเสียงของคนเป็นนายว่า " ไปอยู่กับตาเป็งก็ทำตัวดีๆล่ะ แกเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ ถ้านายคิดจะทำอะไรที่ไม่ดี ก็ขอให้คิดให้รอบคอบเสียก่อน ถ้าอยากจะอยู่ที่นี่นานๆ "
ทั้งหนานคำและเคนมองเธอเป็นตาเดียวกัน เคนงุนงงไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้องพูดอย่างนั้นและด้วยสุ้มเสียงเช่นนั้น เขานึกโกรธขึ้นมานิดๆ นึกในใจว่าผู้หญิงอะไร หน้าตาก็สวยดีหรอกแต่ปากร้ายนัก แถมยังมองคนอื่นในแง่ร้ายอีกด้วย แล้วเขาก็เบือนหน้าไปทางอื่นที่ไม่มีร่างสูงโปร่งเกินมาตรฐานหญิงไทย ในเสื้อกางเกงคนละท่อนตัวหลวมๆ ของลูกสาวคุณดนัย
ส่วนทิพย์สุรางค์นั้น ตอนที่นั่งอยู่เงียบๆฟังคำสนทนาระหว่างบิดาของเธอกับหนานคำ เธอมองชายหนุ่มแปลกหน้า ที่เธอและกรไปช่วยมาจากลำธารอย่างประหลาดใจกับความเปลี่ยนแปลงของเขา เขาเหมือนไม่ใช่คนเดียวกันกับผู้ชายคนนั้น หน้าตาของเขาสะอาดผ่องใสมีสง่าราศรี บุคลิกของเขาโดดเด่นทะลุเสื้อผ้ามอซอที่สวมอยู่ออกมาจนเห็นได้ชัด ท่ายืนตัวตรงหลังตรงของเขาดูต่างไปจากบริวารทุกคนของเวียงพุกาม ที่เมื่ออยู่ต่อหน้าบิดาเธอจะยืนค้อมตัว ก้มศรีษะลงต่ำแล้วประสานมือกันไว้อย่างนอบน้อม แต่ผู้ชายคนนี้ไม่ได้ทำเช่นนั้น เขามีท่าของเขาเองที่แปลกตา และขัดตา...ในสายตาของเธอ
ตอนที่เขาจ้องมองเธออย่างลืมตัวนั่นก็อีก ปกติไม่มีใครในเวียงพุกามนี้กล้ามาต่อตากับเธอ แต่นายเคนคนนี้กลับจ้องมองเธอเขม็งเหมือนไร้มารยาท แถมยังไม่ค่อยจะยอมหลบตาเธอเสียอีก ความจริงการถูกผู้ชายหนุ่มๆจ้องมอง ไม่ใช่ของใหม่หรือแปลกสำหรับทิพย์สุรางค์ ก็เธอรู้ตัวว่าเป็นคนสวย ผู้ชายที่ไหนบ้างจะไม่ชอบมองผู้หญิงสวย แต่สำหรับนายเคนคนนี้เธอรู้สึกไม่พอใจ ก็เขาเป็นใครถึงบังอาจมาจ้องมองเธอแบบนั้น เธอไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แต่เมื่อเขาอยู่ที่นี่ ฐานะของเขาก็เป็นเพียงลูกจ้างคนหนึ่งเท่านั้น
หญิงสาวเริ่มสงสัยชายนิรนามผู้นี้ เธอไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะจำอดีตของตัวเองไม่ได้ เขาอาจจะแกล้งทำเป็นจำไม่ได้เพื่อที่จะได้อยู่ในเวียงพุกามต่อไป เพื่อทำอะไรที่ไม่ดีก็ได้ ท่าทางเขาดีเกินกว่าจะเป็นลูกจ้าง ทิพย์สุรางค์ตั้งใจว่า ต่อไปนี้เธอจะต้องพยายามค้นหาความจริงให้ได้ว่าเขาเป็นใคร มีจุดประสงค์อะไรกับเวียงพุกามของเธอ หญิงสาวมองเคนอย่างไม่ไว้วางใจด้วยสายตาหยิ่งยโส ก่อนจะเดินคอตั้งออกจากห้องนั้นไป
เย็นวันนั้นซึ่งเป็นวันศุกร์กรลงจากรถที่ไปรับเขาจากโรงเรียน เดินขึ้นมาบนตึก วางกระเป๋าหนังสือแอบไว้ข้างประตูห้องนั่งเล่นแล้วเข้าไปหาทิพย์สุรางค์ ซึ่งกำลังเล่นเปียโนเพลงประเภทที่เขาฟังไม่รู้เรื่อง
" คุณหนูฮะ พบเคนแล้วใช่ไหม ? เห็นคำปันบอกว่าวันนี้หนานคำพาเขามากราบคุณท่านแล้ว "
ทิพย์สุรางค์เงยหน้าขึ้นจากเปียโน มองท่าทางตื่นเต้นของเด็กชายอย่างรำคาญ ประชดว่า " น้อยๆหน่อย นายกร เขาเป็นอะไรกับเธอหรือไง? สงสัยตอนที่ฉันกับคุณพ่อไม่อยู่ เธอคงวิ่งแร่ไปคุยโม้เรื่องที่วังพุกามนี่ ให้เขาฟังจนหมดไส้หมดพุงแล้วสินะ "
เด็กชายทำหน้าเจื่อน รู้ทันทีว่าเธออารมณ์ไม่ดี เขาพยายามนึกว่าจะเอาใจเธออย่างไรดี หมุนไปหมุนมาแล้วก็นึกออก ตอนนั้นทิพย์สุรางค์หมดความสนใจกับเขาแล้ว เธอกำลังเล่นเปียโนต่อจากที่หยุดชะงักเพราะการรบกวนของเขา
กรเดินเข้าไปยืนใกล้ๆทิพย์สุรางค์ ปากก็พูดว่า "โอ้โฮ ! คุณหนูเล่นเก่งจัง นี่เพลงอะไรหรือฮะ "
หญิงสาวปรายตาค้อน รู้ทันว่าเขาพยายามแก้ตัวเพื่อเอาใจเธอ เธอก็ชอบคำชมเหมือนผู้หญิงทุกคนนั่นแหละ แต่ปากก็ทำเป็นค่อนขอดเขาว่า " ฟังรู้เรื่องหรือไงว่าเพราะหรือไม่เพราะ เธอเคยบอกว่าเพลงของฉันแต่ละเพลงฟังไม่รู้เรื่อง ต้องปีนบันไดฟังบ้างละ นึกว่าเพลงงิ้วบ้างละ แล้วตอนนี้มาทำเป็นชม นึกว่าฉันโง่นักหรือไง ไปเลย ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย "
เด็กชายเลยยิ้มแห้งๆ ยอมถอยออกไปจากห้องโดยดี เมื่อพ้นประตูห้อง ออกมาเขาก็คว้ากระเป๋าหนังสือที่วางแอบไว้ข้างประตู เดินไปตามทางเดินยาวที่นำไปสู่บันได ขึ้นบันไดไปชั้นบนเข้าไปในห้องส่วนตัวเล็กๆ ที่อยู่สุดตึกด้านหนึ่ง อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า พร้อมที่จะลงไปหาอะไรเล็กๆน้อยๆรับประทานรองท้อง ก่อนถึงเวลาอาหารเย็นในอีกสองชั่วโมงข้างหน้า
หลังรับประทานของว่างเสร็จ กรก็ค่อยๆย่องลงจากตึก กะว่าจะแวบไปหาเคนที่บ้านตาเป็ง เขาเดินย่องๆผ่านห้องนั่งเล่นที่คิดว่าทิพย์สุรางค์ยังอยู่ข้างใน แต่ขณะที่เดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่เพื่อทะลุออกไปทางหน้าตึก เด็กชายก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นทิพย์สุรางค์ ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวหนึ่งที่เขาจะต้องผ่านพอดี
พอเห็นเขา หญิงสาวซึ่งนั่งคอยทีอยู่แล้วก็ถามว่า " จะไปไหน ? "
"เปล่าฮะ" กรปฎิเสธโดยอัตโนมัติ แล้วยืนรีรออยู่
"แล้วมาทำอะไรตรงนี้? " แล้วเธอก็ยิ้มอย่างเยาะเมื่อกล่าวหาเขาว่า "ฉันรู้ว่าเธอจะแอบย่องไปไหน จะไปหานายเคนนั่นใช่ไหม? ได้ข่าวว่าเธอชอบไปประจ๋อประแจ๋เขานักนี่ ฉันไม่ห้ามหรอก แต่จะเตือนว่าอย่าไปโม้เรื่องความเป็นฮีโร่ของเธอเชียวนะ "
เมื่อเห็นกรมองเธองงๆ หญิงสาวก็สะบัดเสียงบอกเขาว่า " ก็ไอ้เรื่องที่เที่ยวพูดไปทั่วว่าช่วยชีวิตเขาจากลำธารนั่นไง เข้าใจไหม? เอ๊ะ..หรือว่าเธอเสนอหน้าไปบอกเขาเรียบร้อยแล้ว เจอกับเขาหลายครั้งแล้วไม่ใช่หรือ? "
เด็กชายทำหน้าแหยๆ "เปล่าฮะ ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย แล้วที่คุณหนูหาว่าผมไปเจอกับเขาหลายครั้งแล้วก็ไม่เป็นความจริง เขาเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้แค่สามอาทิตย์เอง อาทิตย์ที่แล้วผมก็ไม่ได้กลับบ้านเพราะที่โรงเรียนมีงาน สรุปคือเราเพิ่งเจอกันแค่ครั้งเดียวเท่านั้น "
กรร่ายยาวจนทิพย์สุรางค์ต้องทำตาเขียวใส่เขา " ไม่ต้องพูดมาก จะไปไหนก็รีบไปเสียให้พ้นหูพ้นตา "
ความจริงเด็กชายก็รู้ว่าทิพย์สุรางเพียงแต่ไล่เพื่อประชดเขา แต่เขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ รีบเดินลงจากตึกอย่างรวดเร็วแล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่ทางเดินเล็กๆ ที่เป็นทางลัดไปถึงกระท่อมของเฒ่าเป็งได้
เมื่อวันที่ : ๐๔ ส.ค. ๒๕๕๓, ๒๒.๓๔ น.
ชอบชื่อตอนจังค่ะ "แรกพบสบตา" พระเอกกับนางเอกเจอกันแล้ว ท่าจะเจ้าแ่ง่แม่งอนตัวจริงเลยนะเนี่ย