![]() |
![]() |
ดอยสะเก็ด![]() |
...ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเมื่อชายหนุ่มเดินมาถึงโค้งลำธารที่เริ่มตีโค้งแล้วหายลับเข้าไปในป่าจนมองไม่เห็น เนื่องจากชายฝั่งลำธารอยู่ต่ำเคนจึงปีนขึ้นไปบนโขดหินใหญ...
ตอน : ตอนที่ 5 - คนจรหมอนหมิ่น
ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นเมื่อชายหนุ่มเดินมาถึงโค้งลำธารที่เริ่มตีโค้งแล้วหายลับเข้าไปในป่าจนมองไม่เห็น เนื่องจากชายฝั่งลำธารอยู่ต่ำเคนจึงปีนขึ้นไปบนโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่งเพื่อมองหาทางกลับไปที่พัก เมื่อโผล่ขึ้นไปได้ครึ่งตัวเขาก็เห็นตึกหลังใหญ่สีหม่นๆอยู่ไม่ไกลมากนักจากที่เขายืนอยู่ มันตั้งอยู่บนเนินสูงล้อมรอบด้วยต้นไม้ เห็นแต่เฉพาะบางส่วนของตัวตึกที่โผล่อยู่ระหว่างแนวไม้ตอนแรกเขาคิดว่าจะปีนขึ้นไปบนชายฝั่งที่สูงกว่าตรงที่ยืนอยู่ เพราะน่าจะมีถนนหรือทางเดินที่จะนำกลับไปสู่บ้านพักของตาเฒ่าเป็งได้ แต่เมื่อมองสำรวจอยู่ครู่หนึ่งชายหนุ่มก็คิดขึ้นมาได้ว่ามันคงจะไม่เหมาะนัก ถ้ามีใครมาเห็นเขาซึ่งไม่ได้เป็นคนของเวียงพุกาม เที่ยวเดินไปมาตามใจชอบ เคนกระโดดลงจากโขดหิน เดินเลียบฝั่งลำธารย้อนกลับไปตามทางที่เดินมา ครึ่งชั่วโมงต่อมาเขาก็มาถึงกระท่อมของเฒ่าเป็ง ซึ่งขณะนั้นเจ้าของ กระท่อมกำลังกวาดลานหน้าบ้านอยู่
" อ้อ..คุณ ตื่นแต่เช้า ไปไหนมาหรือครับ " แกทักเมื่อเคนเดินเข้ามาถึงตัว
" ผมไปเดินเล่นแถวลำธารใกล้ๆนี่แหละ "
" คุณหิวหรือยังล่ะ อีกสักครู่เด็กจะเอาอาหารมาส่ง ผมทานวันละสองมื้อ ถ้าคุณทานสามมื้อเดี๋ยวผมจะสั่งโรงครัวให้ "
" โอ๊ะ ไม่เป็นไรหรอกครับ ลุง " เคนรีบปฏิเสธ " ผมทานสองมื้อเหมือนลุงได้ " แล้วเขาก็ถือโอกาสซักถามแกว่า " ที่เวียงพุกามนี่เลี้ยงอาหารคนงานหมดทุกคนเลยหรือครับ ? "
" อ๋อ เปล่าหรอก พวกคนงานที่มีครอบครัวเขาก็หุงหากันเอง ท่านให้เฉพาะข้าวสาร เบิกได้ไม่จำกัด " แกเล่าอย่างโอ้อวดความเมตตาของเจ้านาย " ส่วนพวกคนแก่คนเฒ่าที่ไม่มีลูกหลานจะช่วยหุงหาให้กิน ท่านก็เมตตาให้ไปกินได้ที่โรงครัวทุกมื้อ ทั้งท่านและคุณหนูแสนจะใจดีมีเมตตา " ตาเป็งปล่อยมือจากไม้กวาดที่ยังถืออยู่ ยกสองมือขึ้นพนมเหนือศรีษะ
ท่าทางที่เหมือนจะมีคำถามของเคนทำให้ชายชรารีบอธิบายต่อ " สำหรับผมนี่ท่านยกเว้นให้ คุณหนูกรุณาสั่งให้เด็กที่โรงครัวจัดอาหารมาให้ผมที่นี่ทุกมื้อ ตั้งแต่ที่เธอกลับมาอยู่บ้าน เธอเห็นว่าผมอายุมากแล้ว แข้งขาไม่ค่อยดี แล้วโรงครัวก็อยู่ไกลจากที่นี่มาก "
ชายชราเดินตามเคนเข้ามาในบ้าน ไปหยุดอยู่ที่ฝาบ้านด้านหนึ่งซึ่งมีชั้นไม้ยึดติดกับผนังด้วยโซ่เล็กๆสองด้าน บนชั้นมีขวดพลาสติกใสและกระป๋องนมเล็กๆหลายใบวางเรียงกันอยู่ แกเอื้อมมือไปหยิบอะไรบางอย่างนำมาวางเรียงลงบนโต๊ะตัวที่ใช้เป็นที่รับประทานอาหารเมื่อคืนที่ผ่านมา
"คุณทานกาแฟหรือเปล่า ผมพอมีติดบ้านอยู่บ้าง แต่เป็นกาแฟทางเมืองเหนือของเรา ไม่ทราบคุณจะทานได้ไหม ? "
เคนมองตามมือของตาเป็งแล้วก็เห็นกระป๋องนมข้น ขวดพลาสติกใสที่มีน้ำตาลทรายแดงอยู่ประมาณครึ่งขวดและขวดกาแฟที่แกนำมาวางลงบนโต๊ะ แล้วโดยไม่รอคำตอบจากเขา ชายชราเอื้อมมือหยิบถ้วยดินเผาทรงสูงมีหูจับจากชั้นวางของสองใบมาวางลงบนโต๊ะ ใช้ช้อนกินข้าวซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ ตักกาแฟจากขวดใส่ลงไปในถ้วย ถ้วยหนึ่งใส่กาแฟเต็มช้อนส่วนอีกถ้วยหนึ่งเพียงครึ่งช้อน แล้วรินน้ำจากกระติกน้ำร้อนใบเล็กซึ่งเคนเพิ่งเห็นว่าวางอยู่บนมุมหนึ่งของโต๊ะลงไป ชายหนุ่มสังเกตว่าแกไม่ได้เติมน้ำตาลหรือนมข้นลงในถ้วยกาแฟเลย
เฒ่าเป็งส่งกาแฟถ้วยที่มีกาแฟผสมอยู่เพียงครึ่งช้อนโต๊ะให้เขา ถือกาแฟถ้วยที่เหลือเดินไปนั่งที่ม้ายาวหน้าห้องซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโต๊ะที่อยู่กลางห้อง
" ผมชอบกาแฟขมๆ ไม่ใส่น้ำตาล " แกอธิบาย " ของคุณผมก็ชงแบบเดียวกัน ถ้าต้องการน้ำตาลหรือนม ก็เติมเอาเองเลยนะ "
เคนถือถ้วยกาแฟเดินตามไป " ไม่เป็นไรครับ "
เมื่อดื่มกาแฟหมดแล้วชายหนุ่มก็ฉวยถ้วยกาแฟของตาเป็ง ซึ่งตอนนี้ไม่มีกาแฟเหลืออยู่แล้วที่แกวางไว้ข้างตัวบนม้านั่งขึ้นมา เดินออกไปตรงก๊อกน้ำที่เขาเห็นมีอยู่ใกล้ตัวบ้าน ลงมือล้างถ้วยทั้งสองใบจนสะอาดหมดจด นำไปวางคว่ำลงบนตะแกรงเล็กๆที่วางอยู่แถวนั้น ตาเฒ่าเป็งซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม เฝ้ามองตามทุกอิริยาบถของเขาอย่างเงียบๆโดยที่ชายหนุ่มไม่รู้ตัว
" ตอนอยู่บ้าน เช้าๆอย่างนี้คุณทานอะไร ? " แกเริ่มเลียบเคียง
เคนขยับจะตอบว่า "ผมไม่รู้ ผมจำไม่ได้" อย่างที่เคยตอบใครต่อใครเป็นประจำตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เขาเริ่มคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะตอบเช่นนั้นอีกต่อไปโดยไม่จำเป็น เมื่อตัดสินใจที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้วเขาก็ต้องเดินหน้าต่อไป ดีกว่าทำตัวเป็นภาระซึ่งอาจดูน่าเวทนาในสายตาของคนอื่น
ชายหนุ่มจึงตอบแกแบบที่ควรจะตอบ " ผมทานง่าย กาแฟหรือข้าวผมก็ทานได้ทั้งนั้น ลุงไม่ต้องห่วง "
" ดี ดี เลี้ยงง่ายดี แบบนี้อยู่ด้วยกันได้ " แล้วตาเป็งก็ชวนคุยต่อไปว่า " วันนี้เดินไปถึงไหนล่ะ ? "
" ผมเดินเลียบลำธารข้างล่างนี่ไปจนถึงตึกใหญ่ที่อยู่บนเนินสูง ไม่ทราบว่าเป็นตึกอะไร "
"อ๋อ ตึกใหญ่ที่ท่านอยู่กับคุณหนู " ชายชราตอบแล้วพยายามเลียบเคียงต่อไปว่า " คุณคงรู้จักท่านกับคุณหนูมานานแล้วสินะ "
สีหน้าของเคนดูว่างเปล่าเมื่อตอบว่า " ยังไม่รู้จักเลยครับ ลุงก็รู้ว่าผมเพิ่งมาเมื่อคืนนี้เอง "
" เออ จริงสิ ว่าแต่ว่าคุณชื่ออะไรล่ะ ? คุยกันตั้งนานยังไม่รู้เลย "
" เรียกผมว่าเคนก็แล้วกัน "
ชายหนุ่มกำลังคิดว่าเขาอาจจะต้องอยู่ที่เวียงพุกามนี้ต่อไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะอีกนานแค่ไหน ดังนั้นเขาก็ควรรู้ข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับเวียงพุกามและบุคคลที่เกี่ยวข้องบ้างพอสมควร เพื่อการปรับตัวเองของเขา ถ้าถามหนานคำอาจจะไม่ได้คำตอบ หรือไม่ก็อาจจะทำให้หนานคำระแวงสงสัยเขามากขึ้น ส่วนตาเฒ่าเป็งคนนี้ท่าทางแกง่ายๆและดูจริงใจพอที่เขาจะซักถามได้ โดยไม่รู้สึกอึดอัดหรือต้องหวาดระแวงซึ่งกันและกัน
"คุณมาเที่ยวหรือมาทำงานล่ะ ? " ตาเป็งหาทางซักไซ้ต่อ ถึงจะเห็นว่าหน้าตาท่าทางของเขาสุภาพ ไม่น่าจะเป็นคนร้ายอย่างที่หนานคำกลัว แต่แกก็ไม่ไว้ใจ ทุกวันนี้มีคนหน้าตาท่าทางดีหลายคนที่ปรากฏในภายหลังว่าเป็นคนร้าย
" หนานคำบอกว่าอาจจะมีงานให้ผมทำ " เคนตอบแบบเลี่ยงๆ เพราะไม่รู้ว่าชายวัยกลางคนผู้นั้นเล่าเรื่องของเขาให้แกฟังมากน้อยแค่ไหน แล้วก็ชวนแกคุยต่อไปว่า " ดูเหมือนเวียงพุกามนี่จะกว้างขวางใหญ่โตมาก ตอนนั่งรถเข้ามาจากปากทาง กว่าจะเข้ามาถึงที่นี่ก็นานพอดู "
" โฮ๊ย กว้างขวางใหญ่โตเชียวละ ที่ดินของเวียงพุกามนี่หลายพันไร่ละมัง กินอาณาเขตไปถึงเขาสูงข้างหลังโน่น อีกด้านหนึ่งก็ติดลำธารที่ไหลมาจากเทือกเขาสูงที่อยู่ไกลออกไปพู้น ส่วนด้านโน้นก็ไปเกือบถึงชายแดน" แกคุยโอ่อย่างภาคภูมิใจราวกับเป็นเจ้าของเสียเอง " หมู่บ้านเล็กๆสองสามแห่งที่อยู่นอกกำแพงโน่นก็อยู่ในเขตที่ดินของเรา ตอนท่านมาบุกเบิกที่ดินแถวนี้ก็มีหมู่บ้านพวกนี้อยู่แล้ว รู้สึกว่าท่านไปตกลงกับหลวงยอมให้หมู่บ้านอยู่ต่อไป ท่านใจดี อนุญาตให้ชาวบ้านทำกินในที่ดินแถวนั้นได้ ไม่ต้องโยกย้ายออกไป แต่ก็มีข้อแลกเปลี่ยนให้ช่วยกันดูแลแถวนั้นไม่ให้ใครมาตัดไม้ทำลายป่า "
เคนนิ่งฟังเงียบๆอย่างตั้งอกตั้งใจ แต่ตาเป็งสังเกตเห็นได้ว่าถึงเขาจะพยายามชวนแกพูดคุย แต่บางครั้งดูเหมือนใจเขาไม่ได้อยู่กับตัว บางครั้งแววตาของเขาเศร้าหมองและครุ่นคิด
" ลุงอยู่ที่นี่นานแล้วหรือครับ ? "
" กว่าสามสิบปีแล้ว ก่อนโน้นผมเป็นพรานป่า วันๆก็อยู่แต่ในป่า ป่าแถบนี้เลยไปจนถึงชายแดนโน่นผมก็ท่องมาเสียนักต่อนักแล้ว "
เมื่อเล่ามาถึงตอนนี้ สีหน้าของเฒ่าเป็งอิ่มเอิบอย่างมีความสุข เหมือนคนชราทั่วไปที่มีความสุข เมื่อได้พูดถึงอดีตที่เคยโด่งดัง " ไม่มีใครไม่รู้จักผม "
" ผมรู้สึกว่าที่นี่จะมีคนงานมาก พวกเขาทำอะไรกันหรือครับ ? "
" ปลูกต้นยาสูบ คุณยังไม่เห็นหรอกหรือ? บนเนินทางด้านโน้นแน่ะ " แกชี้มือออกไปทางหนึ่งซึ่งเขาก็ไม่รู้หรอกว่าแกหมายถึงที่ไหน " ปลูกเยอะแยะเลย หลายเนินติดต่อกันสุดลูกหูลูกตา "
" ยาสูบอย่างเดียวหรือครับ ? " เคนชวนแกคุยไปเรื่อยๆ
" ท่านกำลังจะปลูกใบชาอีกอย่างหนึ่ง แต่คงจะเป็นอีกด้านหนึ่งทางโน้น " ตาเป็งชี้มืออีก แต่คราวนี้ไปในทิศทางตรงกันข้ามกับครั้งแรก " ตอนนี้กำลังจ้างคนมาทำวิจัยอยู่ เรื่องการตลาดหรืออะไรนี่แหละ ผมก็ไม่ค่อยรู้เท่าไรนักหรอก คุณถามทำไมหรือ ? "
" ไม่มีอะไรหรอกครับลุง ผมเห็นที่นี่มีอาณาเขตกว้างขวาง มีคนงานมาก ก็เลยอยากรู้ว่าทำอะไรกันบ้างเท่านั้น " ชายหนุ่มรีบอธิบายเพราะกลัวว่าแกจะระแวงเขาขึ้นมาอีกคน
" ที่นี่มีคนงานแยะก็จริง " ชายชรากล่าว "แต่ส่วนมากก็เป็นพวกที่ติดสอยห้อยตามท่านมาบุกเบิกที่แถวนี้แล้วก็พวกลูกๆหลานๆของคนพวกนั้น ที่เราอยู่นี่มันห่างไกลชุมชน ถ้ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นก็พึ่งพาเจ้าหน้าที่บ้านเมืองลำบาก ท่านจึงต้องระวังการรับคนเข้ามาอยู่ด้วย ดีไม่ดีเกิดเป็นสายโจรหรือมีคดีติดตัวมา จะเป็นอันตรายต่อเราได้" เฒ่าเป็งได้โอกาสพูดอ้อมๆเป็นเชิงเตือนเขากลายๆ ถ้าคิดจะทำอะไรที่ไม่ดี
" ลุงครับ ผมยังไม่รู้เลยว่าใครเป็นเจ้าของเวียงพุกามนี่ "
" ท่านชื่อคุณดนัย ท่านใจดีมีเมตตามาก คุณใหญ่กับคุณหนูก็เหมือนกัน "
เมื่อเห็นชายหนุ่มทำหน้าเหมือนสงสัยแกก็ขยายความต่อ " คุณใหญ่กับคุณหนูเป็นลูกของท่าน คุณใหญ่ชื่อจริงว่าคุณวุฒิเลิศ ดูแลกิจการของท่านอยู่ที่กรุงเทพฯ ส่วนคุณหนูเป็นน้องสาวคุณใหญ่ ผมเห็นคุณหนูมาตั้งแต่เกิด เธอน่าสงสารมาก ตอนที่คุณแม่เธอเสียเธอยังเล็กอยู่เลย สักสองสามขวบได้กระมัง" แล้วแกก็ย้อนถามเขาว่า " คุณเคยเห็นเธอหรือยังล่ะ ? "
" ยังเลยครับ "
"คุณหนูเธอน่ารัก ขี้สงสารและมีเมตตาสูง ลูกจ้างคนไหนเจ็บไข้ได้ป่วยเธอก็จะไปดู ถ้าอาการหนักหนาสาหัสเธอก็สั่งให้ส่งโรงพยาบาล ออกค่าใช้จ่ายให้หมด ไม่ต้องจ่ายเองสักแดง แล้วตั้งแต่เรียนจบกลับมาเธอก็ไม่ยักไปอยู่กรุงเทพฯกับพี่ชายเธอ กลับมาอยู่ที่เวียงพุกามนี่ คุณลองคิดดูซิว่าสาวๆสวยๆความรู้ดีมีชาติตระกูลคนไหน จะยอมมาจมปลักอยู่ในที่ห่างไกลความเจริญแบบนี้ แต่เธอยอมอยู่ที่นี่เพื่อดูแลคุณพ่อของเธอแทนคุณใหญ่ "
เคนฟังเงียบๆคิดไม่ออกเลยว่าคุณหนูผู้แสนจะสูงส่งเลิศเลอในสายตาของตาเป็งจะมาเกี่ยวข้องอะไรกับเขา ตอนนี้เขาคิดแต่เพียงจะทำตัวให้กลมกลืนไปกับคนที่นี่ เพื่อรอคนที่อาจจะเคยรู้จักเขามาตามหา และแม้แต่รอเวลาที่ความทรงจำของเขาจะกลับคืนมาเหมือนที่หมอประสพชัยให้ความหวังไว้ เขาจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน ถ้าไม่ตามหนานคำมาที่นี่เขาจะไปอยู่ที่ไหนได้ ในเมื่อแม้แต่ชื่อตัวเองก็ยังไม่รู้จัก
" อยู่ที่นี่ลุงต้องทำอะไรบ้างครับ ? " เคนเปลี่ยนเรื่อง
ตาเป็งจุดบุหรี่สูบพ่นควันโขมงก่อนจะตอบว่า " แต่ก่อนผมทำสารพัด แต่ตอนนี้ท่านให้ช่วยดูแลสวนกุหลาบของคุณผู้หญิงให้งามเหมือนสมัยที่ท่านยังอยู่ แล้วก็ช่วยอะไรเล็กๆน้อยๆตามแต่ท่านหรือคุณหนูจะสั่ง " แล้วจู่ๆแกก็ย้อนถามเขาว่า " แล้วคุณล่ะทำงานอะไร ? หนุ่มๆท่าทางดีอย่างคุณคงจะทำงานที่มีเกียรติ ได้เงินเดือนสูงนะ "
เคนอึ้งไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร ชายชราชำเลืองมองหน้าคมคายที่ตอนนี้แดงระเรื่อ แล้วลุกขึ้นยืน ยกชายผ้าขาวม้าที่คล้องคออยู่ขึ้นเช็ดปาก พูดลอยๆว่า
" เชิญคุณตามสบายนะ ผมจะไปดูไก่ที่เลี้ยงไว้สักหน่อย " แล้วแกก็เดินออกจากบ้านไป
เมื่อวันที่ : ๐๕ ส.ค. ๒๕๕๓, ๑๕.๐๕ น.
อ่ะให้
คนเขียน