![]() |
![]() |
พลอยพนม![]() |
...การหยุดพักเหนื่อยขณะเข้าไปหมกตัวกันอยู่ในป่า บางครั้งก็ไม่ได้หยุดพักเหมือนปากว่า หากแต่กลับชวนกันดั้นด้นไปโน่นไปนี่แทบทุกคราว...
ตอน : ล่องป่ากับตาปัญญา
imetริมลำธารอันคดเคี้ยวและเต็มไปด้วยดงไม้ทั้งสองด้าน ทับของพี่สงัดกับตาปัญญาตั้งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางแสงแดดจ้ามองเห็นไปแต่ไกล หลังจากออกไปตีผึ้งกันในวันนั้นและกลับมายังทับที่พักกันแล้ว พวกผมก็โหมงานหนักสามสี่วันติดต่อกัน เพราะเม็ดแร่ดีบุกจากกระสะที่เพิ่งพบใหม่ค่อนข้างมาก ยั่วใจให้ทำงานเพลิดเพลินไม่รู้จักเหนื่อย กระทั่งถึงวันที่กระสะหมดลง... สายแร่ขาดหายไปเฉย ๆ ขุดหาไปโดยรอบในรัศมีสามสี่วาก็ไม่เจอ พี่สงัดจึงว่า "หมดแล้ว วันมะรืนค่อยเสาะหาที่ใหม่ พรุ่งนี้หยุดพักเหนื่อยกันสักวัน"
การหยุดพักเหนื่อยขณะเข้าไปหมกตัวกันอยู่ในป่า บางครั้งก็ไม่ได้หยุดพักเหมือนปากว่า แต่กลับชวนกันดั้นด้นไปโน่นไปนี่แทบทุกคราว บางครั้งก็ขึ้นเขาลงห้วยไปล่าสัตว์ หรือไม่ก็ไปหาพืชผักเอามากิน ผักกูด ผักหวาน เนียง สะตอ มะปริง มะปราง เงาะป่า ในช่วงระหว่างปลายเดือนมีนาต่อเมษาพวกส้มสูกลูกไม้ที่ว่าเริ่มจะเสาะกันได้แล้ว โดยเฉพาะลูกหยี ลูกกลม ๆ สีดำคล้ายไข่นกกระทา เป็นลูกไม้ที่ป่าผืนล่างแถว ๆ บ้านไร่ของผมไม่มี แต่ภายในป่าดงเขายาแห่งนี้ชุกชุมเหลือเกิน เมื่อเราออกไปเสาะหาได้มามาก ๆ เราก็นำมากวนจนเหนียวข้นเหมือนก้อนตังเมแล้วปั้นเป็นก้อนยาว ๆ ห่อใบชิงแขวนไว้กับขื่อหลังคาเพื่อนำกลับไปฝากคนที่บ้าน ลูกหยีกวนเป็นของฝากที่ล้ำค่าจากป่าดง แม้เดี๋ยวนี้ตามสถานีหยุดพักรถทัวร์ก็จะมีลูกหยีอบแห้งโรยน้ำตาลเป็นสินค้าโอทอปวางขายอยู่หลายที่เหมือนกัน
ถ้าไม่ออกป่าไปเสาะหาลูกไม้พวกนั้น พวกเราก็จะสัญจรพบปะชุมชนชาวเหมืองด้วยกันที่ตั้งทับอยู่กันคนละแพรกสายธาร หรือกันคนละฝั่งลำห้วย หากเมื่อใดเคราะห์ดีไปเจอพวกที่เพิ่งกลับจากขายแร่เข้ามาใหม่ ๆ ก็จะได้กินของดี เหล้าโรงบ้าง ขนมนมเนยที่เขาเอามาแกล้มควันกัญชาบ้าง เพิ่งซื้อมาใหม่ มีเยอะ ไม่หวง ตรงข้าม มีเพื่อนร่วมวงก็ครึกครื้นสบายใจอีกต่างหาก
ขณะนั้นผมยังไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ยิ่งกัญชายิ่งไม่ต้องพูดถึง แค่ได้กลิ่นก็รู้สึกคลื่นเหียน จนต้องหลีกออกมานั่งห่าง ๆ ปล่อยให้ตาปัญญา พี่สงัด และไอ้ชน กระโดดเข้าไปคลุกวงในกันตามสบาย ผมกับไอ้พริ้งสมัครนั่งฟังเขาพูดคุยออกมุขตลกโปกฮากันอย่างเดียว แต่ก็รู้สึกเพลิดเพลิน ฟังพวกเขาคุยกันอย่างออกรสชาติ มันก็ทำให้ครึ้มใจ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่เคยรู้ก็จะได้รู้ จึงทุกครั้งที่เขาชวนออกไปเที่ยวตามทับชาวเหมืองด้วยกัน ผมจะไม่ปฏิเสธเลย
หากแต่วันหยุดพักผ่อนเที่ยวนี้ ผมบอกปัดที่จะไปเที่ยวทับชาวเหมืองกับทีมของพี่สงัดเหมือก่อน เพราะตาปัญญาบอกว่าแกหมดเสบียงกับข้าว บนหิ้งเหนือเตาไฟก้อนเส้าเหลือแต่ข้าวสาร เคย เกลือ จึงชวนผมออกล่าสัตว์ โดยขอยืมปืนแก๊ปของไอ้พริ้งไปกันสองคน กินข้าวมื้อเช้าเสร็จแล้วเราก็ออกเดินทาง ตาปัญญาให้ผมแบกปืนเป็นนายพรานเดินนำหน้า แกถือมีดพร้าและพกคอนตราควายของแกเดินตามหลัง เราตัดป่ามุ่งไปทางทิศใต้ จุดหมายคือทุ่งส้านซึ่งเป็นทุ่งหญ้าที่เพิ่งจะโดนไฟคลอกไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนั่นเอง ป่านนี้คงมีหญ้าระบัดงาม เราตั้งใจจะออกไปสำรวจกัน
"วันนี้เราจะล้มสัตว์ใหญ่ เว้นแต่กระทิง สมเสร็จ ถ้าไม่ใช่ เก้ง กวาง วัวแดง และสัตว์อื่นที่โทนโท่จริง ๆ เอ็งอย่ายิง" ตาปัญญาสั่งกำชับ
"ทำไมถึงยิงกระทิงไม่ได้" ผมสงสัย
"ปืนแก๊ปของลูกไอ้พร้อมตาไม่มั่นใจ โป้งเดียวไม่จอด เราเสร็จมันแน่"
พูดแล้วตาปัญญาก็หัวเราะ แหะ ๆ
"แล้วสมเสร็จละครับ" ผมถาม
"เนื้อมันจืด กินไม่อร่อย แล้วอีกอย่าง มันเป็นสัตว์ที่เซ่อซ่าน่ารัก ตากินมันไม่ลง"
เมื่อพูดถึงความเซ่อซ่าน่ารักของสมเสร็จ ผมก็เห็นด้วยกับตาปัญญา สมัยเด็ก ๆ ผมกับแม่เดินออกจากบ้านเอาข้าวห่อไปให้พ่อในไร่ ซึ่งอยู่คนละฝั่งลำธาร ไม่ไกล ขนาดกู่ร้องกันได้ยิน วันหนึ่งเราสองคนแม่ลูกเดินไปจ๊ะเอ๋เข้ากับเสือโคร่งที่กลางพอดี อยู่ ๆ มันก็โผล่พรวดออกมาประจันหน้าในระยะห่างกันไม่เกินสิบวา แรก ๆ มันก็ผงะ แต่หลังจากนั้นก็ยืนมองเราเฉยอย่างไม่เกรงกลัว สมดังเจ้าป่า ผมเดินอยู่ข้างหน้าถือหนังสติ๊ก แม่หิ้วมัดข้าวห่อใบตองและแบกมีดพร้าเดินตามหลัง
ภาพเสือโคร่งที่ยืนประจันหน้าเราอย่างทรนงองอาจตัวนั้นยังติดตาผมอยู่จนบัดนี้...
"แม่เสือ...เสือ "
ผมร้องขึ้นเสียงดังทำให้แม่พลอยตกใจไปด้วย แต่พอตั้งสติได้ แม่ก็กระทืบเท้าร้อง "เว้ย!" ขึ้นสุดเสียง พ่อซึ่งอยู่ในไร่ได้ยินเข้าก็ตะโกนมาว่า "อะไร ! อะไร !" เจ้าเสือตัวนั้นหันไปทางเสียงพ่อแวบหนึ่งราวกับสงสัย ก่อนจะกระโจนลับหายเข้าไปในป่าเหยียบกิ่งไม้แห้งที่หล่นอยู่บนพื้นหักโผงผาง ตามด้วยเสียงกระรอกกระแตร้องทักกันเจี๊ยวจ๊าว ไก่ป่าร้องกะต๊าก ๆ แล้วบินพรู ระงมไปทุกทิศทาง
หลังจากนั้น เราสองคนแม่ลูกก็ออกเดินกันต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
วันต่อมาผมกับแม่ก็ไปปะทะเข้ากับสมเสร็จอ้วนพีเท่าจอมปลวกเข้าอีก และผมก็ตกใจอีก ทว่าคราวนี้แม่กลับหัวเราะบอกว่า "สมเสร็จน่ะลูก ไม่ต้องกลัว เพียงแต่อย่าเข้าใกล้ ประเดี๋ยวมันจะตกใจวิ่งมาเหยียบเอา มันไม่ดุหรอก มันเป็นสัตว์ขี้ตกใจและเซ่อซ่า " ซึ่งก็จริงเหมือนดั่งแม่ว่า พอมันหันมาเห็นเราสองแม่ลูกเดินขวางหน้าเข้าเท่านั้น มันก็ตกใจ แต่ที่มันจะกระโจนหายเข้าไปในราวป่าข้างทางเดินเหมือนเสือโคร่งตัวนั้น ด้วยความเซ่อซ่าของมัน กลับทำให้มันวิ่งตื้อมาทางผมกับแม่ สมลักษณะหันหัวไปทางไหนก็พุ่งตัวไปทางนั้น โดยที่ไม่สนใจว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ข้างหน้าจะสัตว์เป็นอะไร จนแม่ต้องรีบคว้าแขนผมดึงหลบเข้ามายืนอยู่ข้างทาง ปล่อยให้มันควบปุเลง ๆ ผ่านไปอย่างเฉียดฉิว
วันที่ผมกับตาปัญญาเดินป่ามุ่งหน้าไปยังทุ่งหญ้าไฟคลอก ไม่เจอตัวสมเสร็จ แต่เจอรอยและมูลของมันซึ่งเป็นมูลที่เพิ่งถ่ายใหม่ ๆ สามสี่กอง ถ้าเป็นสัตว์อื่นที่เราต้องการล่า ตาปัญญาบอกว่าไม่ทันถึงเที่ยงเราก็จะต้องตามทันและได้ยิงมันแน่นอน หากแต่วันนี้เราประสงค์จะล่าสัตว์อื่น จึงเร่งเดินกันไปที่ทุ่งหญ้าดังกล่าวอย่างไม่ใส่ใจกับรอยของมัน สักพักเราก็เจอรอยวัวซึ่งมีลักษณะกลมแป้นต่างจากรอยกวางที่มีลักษณะเป็นวงรีมากกว่าเข้ารอยหนึ่ง เป็นรอยวัวถึกที่ไม่อยู่รวมฝูง แต่ก็เป็นรอยเก่าสังเกตได้จากรอยไส้เดือนใหญ่คืบผ่านทิ้งเมือกแวววาวคาดทับอยู่ นอกจากรอยวัวก็เป็นร่องรอยหมูป่า ซึ่งบอกให้รู้ว่าภายในฝูงมีตัวโต ๆ ร่วมอยู่ด้วยหลายตัว รอยดินโคลนที่มันเสียดสีฝากไว้กับโคนไม้และต้นไผ่แถวนั้นบอให้รู้ว่า พวกมันบางตัวสูงกว่าบั้นเอวของผมเสียอีก แน่นอนมันจะต้องเป็นหมูถึกที่มีเขี้ยวโง้งขาวโผล่ออกมาจากปากอย่างไม่ต้องสงสัย
"ถ้าเห็นมันก็ยิงเลย" ตาปัญญาพูดมาจากด้านหลังเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ "แต่อย่าผลีผลาม ต้องทีเดียวจอด ม่ายงั้นพวกเราก็ต้องพึ่งหลวงพ่อโกย วิ่งกันป่าราบ ฮา ฮา "
ผมหันไปพยักหน้า แต่ในใจคิดว่าถ้าไม่มั่นใจจริง ๆ ผมจะไม่ยิง เพราะไม่อยากทำให้ป่าแตก สัตว์ใหญ่อย่างพวกกวางหรือพวกวัวแดงพวกนั้นจะพากันกระสาแล้วหนีเตลิดไปเสียก่อน
เมื่อผมกับตาปัญญข้ามหุบเหวที่มีขอนไม้ทอดยื่นเป็นสะพานข้ามไปทางฝั่งโน้นที่เคยเดินข้ามกับไอ้ชนมาครั้งหนึ่งแล้ว ตอนคิดจะนำลูกลิงออกไปคืนฝูงของมันในคราวนั้น ดวงตะวันเบื้องทิศตะวันออกที่อยู่ทางด้านซ้ายมือก็โผล่ขึ้นเหนือยอดไม้ทำมุมเฉียงกับเราพอดี ทั่วทั้งแนวป่าโปร่งโล่งสว่างไสวด้วยแสงแดดที่ห่มคลุมผืนป่า ทั้งชะนีและนกหว้าบนเนินเขารอบด้านส่งเสียงกู่ร้องแข่งกันดังขรม และในขณะเดียวกันก็มีนกชนิดหนึ่งที่สร้างความประหลาดใจให้ผมเป็นอย่างมาก เวลามันส่งเสียงร้อง มันจะเริ่มส่งเสียงดัง "ตู๊ก" ขึ้นเบา ๆ เป็นครั้งแรก แล้วเว้นระยะหนที่สองสักประมาณ สามถึงสี่วินาที ก็จะดังขึ้นอีก "ตู๊ก" ถ้าสังเกตก็จะได้ยินว่าเสียงนั้นดังกว่าครั้งแรก จากนั้นก็ "ตู๊ก- - -ตู๊ก-ตู๊ก ตู๊ก ๆ ๆๆๆๆ " ดังรัวเหมือนเด็กวัดตีกลองเพลที่โรงฉัน และเมื่อเสียงตู๊กครั้งสุดท้ายสิ้นสุดลง มันก็จะโผบินจากต้นไม้ที่จับเกาะไปยังต้นไม้ต้นอื่น แล้วเริ่มส่งเสียงร้องขึ้นใหม่ทันที
"นกอะไรเล่าตา เสียงร้องแปลก ๆ "
ผมหันไปถามตาปัญญา เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อน ที่ป่ารอบ ๆ บ้านไร่ของผมไม่มีนกชนิดนี้ แม้แต่สมัยติดตามพวกผู้ใหญ่เข้าลึกเพื่อไปหาปลาติดบึงกันในฤดูแล้งเมื่อตอนเด็ก ๆ ผมก็ไม่เคยได้ยิน
ตาปัญญาตอบว่า "นกกาเขา มันจะอาศัยอยู่เฉพาะป่าลึก หรือป่าดงดิบ ตัวของมันสีดำเหมือนนกกา แต่ตัวเล็กกว่า หูตาไว ส่วนมากเราจะไม่ค่อยได้เห็นตัว จะได้ยินแต่เสียงร้องของมัน ซึ่งจะเริ่มขึ้นตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง บ่ายถึงค่ำมันจะไม่ส่งเสียงร้องอีกเลย
"ตู๊ก- -ตู๊ก-ตู๊ก ตู๊ก ๆ ๆ ๆ ๆๆๆๆๆ "
ผมได้ฟังเสียงร้องอันพิสดารของมันแล้วนึกขำ คิดว่าพระอาจารย์ที่วัดน่าจะหาไปเลี้ยงไว้สักตัวสองตัว เอาไว้ส่งเสียงเตือนให้พระลูกวัดออกจากกุฏิไปฉันเพลที่โรงฉัน โดยที่พวกเด็กวัดจะได้ไม่ต้องย่ำกลองให้เมื่อยมือ
ป่าดงเขายาสมัยนั้นมีสิ่งแปลกหูแปลกตาที่ผมไม่เคยพบเห็นหลายสิ่งหลายอย่าง นอกจากเสียงร้องอันแปลกประหลาดของตัวบ่างที่ผมเอาไฟฉายไปส่องดูในคืนนั้นจนเห็นกับตา วันนี้ก็ได้มาพบกับนกประหลาดเข้าอีกชนิดหนึ่ง จากนั้นเมื่อเดินเท้าฟังเสียงนกกาเขาไปตามทางด่านด้วยกับตาปัญญาอีกสักพัก ตาปัญญาก็บอกให้ผมหยุด
"มีอะไรหรือตา" ผมหันไปถาม
"เคยเห็นตัวต่อที่ทำรังอยู่ใต้ดินไหม ที่เขาเรียกต่อหลุมน่ะ" แกถาม
"ไม่เคยครับ"
ผมตอบ พร้อมกับส่งสายตาออกค้นหา เหลียวซ้ายแลขวาไปตามพื้นดินรอบด้าน ก็ไม่พบสิ่งใดเป็นที่สังเกต แต่ตาปัญญากล่าวแนะนำวิธีสังเกตว่า ต้องปรับสายตาให้ชินกับภาพเคลื่อนไหวรอบด้านเสียก่อน... หลับตาสักอึดใจแล้วค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นมาช้า ๆ จากนั้นก็จ้องมองสิ่งใดสักอย่างให้หยุดนิ่งอยู่สักพัก แล้วจึงค่อย ๆ เคลื่อนสายตาไปทีละนิดให้รอบด้าน ความกลมกลืนในธรรมชาติบางครั้งมันก็หลอนสายตาเรา สีและลายตามตัวของตัวต่อกลมกลืนกับธรรมชาติรอบข้าง ถ้าเราไม่หัดสังเกตไว้เสียแต่แรก ครั้งต่อไปเมื่อเข้าป่าก็อาจพลั้งเผลอเดินเข้าไปเหยียบปากหลุมของมัน ก็จะเสียท่าให้มันต่อยเอา ซึ่งอาจถึงกับเสียชีวิตได้ เพราะพิษของตัวต่อนั้นอันตรายมาก คนที่แพ้เมื่อโดนมันต่อยเข้าหลายครั้งก็จะหายใจติดขัดจนถึงกับช็อกหมดสติ หรือหยุดหายใจไปเลยก็ได้
"พอจะเห็นตัวมันบ้างหรือยัง" ตาปัญญาถาม
"เห็นแล้วครับ แต่มันบินไปทางโน้น" ผมว่า
"นั่นแหละ เวลาเข้าป่าเข้าดง เมื่อเห็นตัวต่อบินไปบินมาก็ต้องพึงระวังโดยทันที ถ้าจะให้ดีก็ต้องหยุดสังเกตว่ามันบินไปมาคราวละกี่ตัว ตัวสองตัวไม่เป็นไร แต่ถ้าสามสี่ห้า แสดงว่ารังของมันอยู่ไม่ไกล อย่าผลีผลามเข้าไปเป็นอันขาด ต่อดุร้ายไม่เหมือนตัวผึ้ง และที่สำคัญเพียงแค่ตัวเดียวมันก็ต่อยเราได้นับครั้งไม่ถ้วน เพราะเหล็กในของมันไม่หลุดเหมือนผึ้ง... เอ็งเห็นกี่ตัว"
"สามสี่ตัวครับ"
"บินไปทางไหน"
"จับทิศทางไม่ได้ครับ มันบินวนไปมาสวนทางกันจนตาลาย"
ตาปัญญาหัวเราะ พูดว่า "จับตาดูแค่ตัวเดียว ดูไปจนมันลับหาย หรือลับตาไปแล้วก็ยังจะต้องจับจ้องอยู่ในทิศทางเดิม เพื่อรอดูว่ามันจะบินกลับมาไหม หรือว่ามีแต่บินไปแล้วลับหาย ไม่บินกลับทางเดิม ถ้าเป็นอย่างนั้นทิศทางของรังจะอยู่ตรงข้ามกับทิศทางที่มันไป เพราะแสดงว่ามันทยอยกันออกไปล่าเหยื่อตามที่ตัวอื่นบินกลับมารายงาน"
ผมยืนจ้องดูตามที่ตาปัญญาแนะนำก็ปรากฏว่า มีแต่ตัวต่อบินออกไปในทิศทางนั้น บินตามกันไปราวสักสิบตัว นาน ๆ จึงเห็นมันบินกลับมาสักตัว แต่บินมาในระยะที่พอมองเห็น แล้วก็เห็นมันหันกลับไปตามทางเดิมอีก คราวนี้ผมลองจับตามองไปยังทิศทางอื่นบ้าง โอ... ผมขนลุกซู่ขึ้นมาทันที เมื่อเห็นตัวต่อตัวหนึ่งคาบอะไรสักอย่างที่พอมองเห็นในระยะเจ็ดแปดวาอยู่ที่ปากของมัน แล้วก็จับตามองจนกระทั่งเห็นมันบินผลุบหายลงไปบนพื้นดินที่เป็นช่องทางลงไปสู่รังลึกของมัน แม้ก่อนที่มันจะบินผลุบหายลงรูนั้น มันจะบินเลี้ยวลดฉวัดเฉวียนไปมาคล้ายอำพรางศัตรูซึ่งผมคิดว่ามันไม่น่าจะมีก็ตาม ผมก็กลับสังเกตเห็นอย่างถนัดชัดเจน
รูของรังตัวต่ออยู่ลึกไปทางขวามือของทางด่านที่เราอาศัยเป็นเส้นทางเดิน ห่างออกไปราว ๆ ห้าหรือหกวา บริเวณนั้นมีขยะใบไม้กองทับถมกันอยู่พอประมาณ ต่อให้ใครสายตาดีอย่างไร ถ้าไม่เดินเฉียดเข้าไปใกล้ก็จะไม่มีวันสังเกตเห็นเป็นอันขาด มิน่าคนโบราณถึงได้เล่านิทานป้องกันภัยตัวต่อหลุมไว้เป็นอุทาหรณ์ เตือนให้ระมัดระวังถึงอันตรายของมันอย่างน่าขนพองสยองเกล้า... เขาเล่ากันว่า แม้แต่กวางถึกเมื่อย่างเท้าหล่มลงไปในรูต่อหลุม แค่ชั่วกระพริบตา ขาข้างที่หล่มลงไปนั้นก็จะโดนพวกมันรุมกัดกินจนเหลือแต่กระดูก ซึ่งผมฟังอย่างคลางแคลงมาแต่ไหนแต่ไร แต่บัดนี้เมื่อมาเห็นกับตา ผมก็ประจักษ์แล้วว่านิทานเรื่องนี้ ผู้เล่ามีความประสงค์ที่จะเล่าเพราะอะไร
ตายแน่ครับ!!!
ถ้าหากเดินผลีผลามกระทั่งขาข้างหนึ่งข้างใดหล่มลงไปหลุมของมัน ไม่เฉพาะแต่ขาข้างนั้นหรอกครับที่จะเหลือแต่กระดูำก ตลอดทั้งกายก็คงจะไม่มีอะไรเหลือหลอ นอกจากกระดูกขาวโพลน เพราะเมื่อเรากระเซอะกระเซิงจากพิษที่โดนพวกมันรุมต่อย ไปอ่อนพับสิ้นใจตายลงตรงไหน อันดับแรกก็พวกตัวต่อนั่นแหละครับ ที่จะบินตามไปแทะเนื้อหนังของเรากัดกินเป็นอาหารแล้วคาบกลับรัง เพราะตัวต่อพวกนี้นอกจากจะอาศัยน้ำหวานจากเกสรดอกไม้เป็นอาหารแล้ว พวกมันก็ยังกัดกินสัตว์อื่นเป็นอาหารอีกด้วย
***********************************************
เมื่อวันที่ : ๒๖ ก.ค. ๒๕๕๓, ๐๗.๐๘ น.