นิตยสารรายสะดวก  Fiction  ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๓
เหมืองป่า #14
พลอยพนม
...การหยุดพักเหนื่อยขณะเข้า​ไปหมกตัวกันอยู่​ในป่า บางครั้งก็ไม่​ได้หยุดพักเหมือนปากว่า หาก​แต่กลับชวนกันดั้นด้น​ไปโน่น​ไปนี่แทบทุกคราว...

ตอน : ล่องป่ากับตาปัญญา

imet

ริมลำธารอันคดเคี้ยว​และเต็ม​ไปด้วยดงไม้​ทั้งสองด้าน ทับของพี่สงัด​กับตาปัญญาตั้งโดดเด่นอยู่​ท่ามกลางแสงแดดจ้ามองเห็น​ไป​แต่ไกล หลังจากออก​ไปตีผึ้งกันในวันนั้น​​และกลับมายังทับ​ที่พักกันแล้ว​ พวกผมก็โหมงานหนักสามสี่วันติดต่อกัน ​เพราะเม็ดแร่ดีบุกจากกระสะ​ที่เพิ่งพบใหม่ค่อนข้างมาก ยั่วใจให้ทำงานเพลิดเพลินไม่รู้จักเหนื่อย กระทั่งถึงวัน​ที่กระสะหมดลง...​ สายแร่ขาดหาย​ไปเฉย ๆ​ ขุดหา​ไป​โดยรอบในรัศมีสามสี่วาก็ไม่เจอ พี่สงัดจึงว่า "หมดแล้ว​ วันมะรืนค่อยเสาะหา​ที่ใหม่ พรุ่งนี้หยุดพักเหนื่อยกันสักวัน"

การหยุดพักเหนื่อยขณะเข้า​ไปหมกตัวกันอยู่​ในป่า บางครั้งก็ไม่​ได้หยุดพักเหมือนปากว่า ​แต่กลับชวนกันดั้นด้น​ไปโน่น​ไปนี่แทบทุกคราว บางครั้งก็ขึ้น​​เขาลงห้วย​ไปล่าสัตว์ หรือไม่ก็​ไปหาพืชผัก​เอามากิน ผักกูด ผักหวาน เนียง สะตอ มะปริง มะปราง เงาะป่า ในช่วง​ระหว่างปลายเดือนมีนาต่อเมษาพวกส้มสูกลูกไม้​ที่ว่าเริ่ม​จะเสาะกัน​ได้แล้ว​ ​โดยเฉพาะลูกหยี ลูกกลม ๆ​ สีดำคล้ายไข่นกกระทา ​เป็นลูกไม้​ที่ป่าผืนล่างแถว ๆ​ บ้านไร่ของผมไม่มี ​แต่ภายในป่าดง​เขายาแห่งนี้ชุกชุมเหลือเกิน ​เมื่อเราออก​ไปเสาะหา​ได้มามาก ๆ​ เราก็นำมากวนจนเหนียวข้นเหมือนก้อนตังเมแล้ว​ปั้น​เป็นก้อนยาว ๆ​ ห่อใบชิงแขวนไว้​กับขื่อหลังคา​เพื่อนำกลับ​ไปฝากคน​ที่บ้าน ลูกหยีกวน​เป็นของฝาก​ที่ล้ำค่าจากป่าดง ​แม้เดี๋ยวนี้ตามสถานีหยุดพักรถทัวร์ก็​จะมีลูกหยีอบแห้งโรยน้ำตาล​เป็นสินค้าโอทอปวางขายอยู่​หลาย​ที่เหมือนกัน

​ถ้าไม่ออกป่า​ไปเสาะหาลูกไม้พวกนั้น​ พวกเราก็​จะสัญจรพบปะชุมชนชาวเหมืองด้วยกัน​ที่ตั้งทับอยู่​กันคนละแพรกสายธาร หรือกันคนละฝั่งลำห้วย หาก​เมื่อใดเคราะห์ดี​ไปเจอพวก​ที่เพิ่งกลับจากขายแร่เข้ามาใหม่ ๆ​ ก็​จะ​ได้กินของดี เหล้าโรงบ้าง ขนมนมเนย​ที่​เขา​เอามาแกล้มควันกัญชาบ้าง เพิ่งซื้อมาใหม่ มีเยอะ ไม่หวง ตรงข้าม มี​เพื่อนร่วมวงก็ครึกครื้นสบายใจอีกต่างหาก

ขณะนั้น​ผมยังไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ยิ่งกัญชายิ่งไม่​ต้องพูดถึง แค่​ได้กลิ่นก็รู้สึกคลื่นเหียน จน​ต้องหลีกออกมานั่งห่าง ๆ​ ปล่อยให้ตาปัญญา พี่สงัด ​และไอ้ชน กระโดดเข้า​ไปคลุกวงในกันตามสบาย ผม​กับไอ้พริ้งสมัครนั่งฟัง​เขาพูดคุยออกมุขตลกโปกฮากันอย่างเดียว ​แต่ก็รู้สึกเพลิดเพลิน ฟังพวก​เขาคุยกันอย่างออกรสชาติ มันก็ทำให้ครึ้มใจ มีหลายสิ่งหลายอย่าง​ที่เราไม่เคยรู้ก็​จะ​ได้รู้ จึงทุกครั้ง​ที่​เขาชวนออก​ไปเ​ที่ยวตามทับชาวเหมืองด้วยกัน ผม​จะไม่ปฏิเสธเลย​

หาก​แต่วันหยุดพักผ่อนเ​ที่ยวนี้ ผมบอกปัด​ที่​จะ​ไปเ​ที่ยวทับชาวเหมือง​กับทีมของพี่สงัดเหมือก่อน ​เพราะตาปัญญาบอกว่าแกหมดเสบียง​กับข้าว บนหิ้งเหนือเตาไฟก้อนเส้าเหลือ​แต่ข้าวสาร เคย เกลือ จึงชวนผมออกล่าสัตว์ ​โดยขอยืมปืนแก๊ปของไอ้พริ้ง​ไปกันสองคน กินข้าวมื้อเช้า​เสร็จแล้ว​เราก็ออกเดินทาง ตาปัญญาให้ผมแบกปืน​เป็นนายพรานเดินนำหน้า แกถือมีดพร้า​และพกคอนตราควายของแกเดินตามหลัง เราตัดป่ามุ่ง​ไปทางทิศใต้ จุดหมาย​คือทุ่งส้าน​ซึ่ง​เป็นทุ่งหญ้า​ที่เพิ่ง​จะโดนไฟคลอก​ไป​เมื่ออาทิตย์​ที่แล้ว​นั่นเอง ป่านนี้คงมีหญ้าระบัดงาม เราตั้งใจ​จะออก​ไปสำรวจกัน

"วันนี้เรา​จะล้มสัตว์ใหญ่ เว้น​แต่กระทิง สมเสร็จ ​ถ้าไม่ใช่ เก้ง กวาง วัวแดง ​และสัตว์อื่น​ที่โทนโท่จริง ๆ​ เอ็งอย่ายิง" ตาปัญญาสั่งกำชับ

"ทำไมถึงยิงกระทิงไม่​ได้" ผมสงสัย

"ปืนแก๊ปของลูกไอ้​พร้อมตาไม่มั่นใจ โป้งเดียวไม่จอด เราเสร็จมันแน่"

พูดแล้ว​ตาปัญญาก็หัวเราะ แหะ ๆ​

"แล้ว​สมเสร็จละครับ​" ผมถาม

"เนื้อมันจืด กินไม่อร่อย แล้ว​อีกอย่าง มัน​เป็นสัตว์​ที่เซ่อซ่าน่ารัก ตากินมันไม่ลง"

​เมื่อพูดถึง​ความเซ่อซ่าน่ารักของสมเสร็จ ผมก็เห็นด้วย​กับตาปัญญา สมัยเด็ก ๆ​ ผม​กับแม่เดินออกจากบ้าน​เอาข้าวห่อ​ไปให้พ่อในไร่ ​ซึ่งอยู่​คนละฝั่งลำธาร ไม่ไกล ขนาดกู่ร้องกัน​ได้ยิน วันหนึ่ง​เราสองคนแม่ลูกเดิน​ไปจ๊ะ​เอ๋เข้า​กับเสือโคร่ง​ที่กลาง​พอดี อยู่​ ๆ​ มันก็โผล่พรวดออกมาประจันหน้าในระยะห่างกันไม่เกินสิบวา แรก ๆ​ มันก็ผงะ ​แต่หลังจากนั้น​ก็ยืนมองเราเฉยอย่างไม่เกรงกลัว สมดังเจ้าป่า ผมเดินอยู่​ข้างหน้าถือหนังสติ๊ก แม่หิ้วมัดข้าวห่อใบตอง​และแบกมีดพร้าเดินตามหลัง

ภาพเสือโคร่ง​ที่ยืนประจันหน้าเราอย่างทรนงองอาจตัวนั้น​ยังติดตาผมอยู่​จนบัดนี้...​

"แม่เสือ...​เสือ "

ผมร้องขึ้น​เสียงดังทำให้แม่พลอยตกใจ​ไปด้วย ​แต่พอตั้งสติ​ได้ แม่ก็กระทืบเท้าร้อง "เว้ย!" ขึ้น​สุดเสียง พ่อ​ซึ่งอยู่​ในไร่​ได้ยินเข้าก็ตะโกนมาว่า "อะไร​ ! อะไร​ !" เจ้าเสือตัวนั้น​หัน​ไปทางเสียงพ่อแวบหนึ่ง​ราว​กับสงสัย ก่อน​จะกระโจนลับหายเข้า​ไปในป่าเหยียบกิ่งไม้แห้ง​ที่หล่นอยู่​บนพื้นหักโผงผาง ตามด้วยเสียงกระรอกกระแตร้องทักกันเจี๊ยวจ๊าว ไก่ป่าร้องกะต๊าก ๆ​ แล้ว​บินพรู ระงม​ไปทุกทิศทาง

หลังจากนั้น​ เราสองคนแม่ลูกก็ออกเดินกันต่อเหมือนไม่มีอะไร​เกิดขึ้น​

วัน​ต่อมาผม​กับแม่ก็​ไปปะทะเข้า​กับสมเสร็จอ้วนพีเท่าจอมปลวกเข้าอีก ​และผมก็ตกใจอีก ​ทว่าคราวนี้แม่กลับหัวเราะบอกว่า "สมเสร็จน่ะลูก ไม่​ต้องกลัว เพียง​แต่อย่าเข้าใกล้ ประเดี๋ยวมัน​จะตกใจวิ่งมาเหยียบ​เอา มันไม่ดุหรอก มัน​เป็นสัตว์ขี้ตกใจ​และเซ่อซ่า " ​ซึ่งก็จริงเหมือนดั่งแม่ว่า พอมันหันมาเห็นเราสองแม่ลูกเดินขวางหน้าเข้าเท่านั้น​ มันก็ตกใจ ​แต่​ที่มัน​จะกระโจนหายเข้า​ไปในราวป่าข้างทางเดินเหมือนเสือโคร่งตัวนั้น​ ด้วย​ความเซ่อซ่าของมัน กลับทำให้มันวิ่งตื้อมาทางผม​กับแม่ สมลักษณะหันหัว​ไปทางไหนก็พุ่งตัว​ไปทางนั้น​ ​โดย​ที่ไม่สนใจว่าสิ่ง​ที่ปรากฏอยู่​ข้างหน้า​จะสัตว์​เป็นอะไร​ จนแม่​ต้องรีบคว้าแขนผมดึงหลบเข้ามายืนอยู่​ข้างทาง ปล่อยให้มันควบปุเลง ๆ​ ผ่าน​ไปอย่างเฉียดฉิว

วัน​ที่ผม​กับตาปัญญาเดินป่ามุ่งหน้า​ไปยังทุ่งหญ้าไฟคลอก ไม่เจอตัวสมเสร็จ ​แต่เจอรอย​และมูลของมัน​ซึ่ง​เป็นมูล​ที่เพิ่งถ่ายใหม่ ๆ​ สามสี่กอง ​ถ้า​เป็นสัตว์อื่น​ที่เรา​ต้องการล่า ตาปัญญาบอกว่าไม่ทันถึงเ​ที่ยงเราก็​จะ​ต้องตามทัน​และ​ได้ยิงมันแน่นอน หาก​แต่วันนี้เราประสงค์​จะล่าสัตว์อื่น จึงเร่งเดินกัน​ไป​ที่ทุ่งหญ้าดังกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ​กับรอยของมัน สักพักเราก็เจอรอยวัว​ซึ่งมีลักษณะกลมแป้นต่างจากรอยกวาง​ที่มีลักษณะ​เป็นวงรีมากกว่าเข้ารอยหนึ่ง​ ​เป็นรอยวัวถึก​ที่ไม่อยู่​รวมฝูง ​แต่ก็​เป็นรอยเก่าสังเกต​ได้จากรอยไส้เดือนใหญ่คืบผ่านทิ้งเมือกแวววาวคาดทับอยู่​ นอกจากรอยวัวก็​เป็นร่องรอยหมูป่า ​ซึ่งบอกให้รู้ว่าภายในฝูงมีตัวโต ๆ​ ร่วมอยู่​ด้วยหลายตัว รอยดินโคลน​ที่มันเสียดสีฝากไว้​กับโคนไม้​และต้นไผ่แถวนั้น​บอให้รู้ว่า พวกมันบางตัวสูงกว่าบั้นเอวของผมเสียอีก แน่นอนมัน​จะ​ต้อง​เป็นหมูถึก​ที่มีเขี้ยวโง้งขาวโผล่ออกมาจากปากอย่างไม่​ต้องสงสัย

"​ถ้าเห็นมันก็ยิงเลย​" ตาปัญญาพูดมาจากด้านหลังเสียงแผ่วเบาราว​กับเสียงกระซิบ "​แต่อย่าผลีผลาม ​ต้องทีเดียวจอด ม่ายงั้นพวกเราก็​ต้องพึ่งหลวงพ่อโกย วิ่งกันป่าราบ ฮา ฮา "

ผมหัน​ไปพยักหน้า ​แต่ในใจคิดว่า​ถ้าไม่มั่นใจจริง ๆ​ ผม​จะไม่ยิง ​เพราะไม่อยากทำให้ป่าแตก สัตว์ใหญ่อย่างพวกกวางหรือพวกวัวแดงพวกนั้น​​จะพากันกระสาแล้ว​หนีเตลิด​ไปเสียก่อน

​เมื่อผม​กับตาปัญญข้ามหุบเหว​ที่มีขอนไม้ทอดยื่น​เป็นสะพานข้าม​ไปทางฝั่งโน้น​ที่เคยเดินข้าม​กับไอ้ชนมาครั้งหนึ่ง​แล้ว​ ตอนคิด​จะนำลูกลิงออก​ไปคืนฝูงของมันในคราวนั้น​ ดวงตะวันเบื้องทิศตะวันออก​ที่อยู่​ทางด้านซ้ายมือก็โผล่ขึ้น​เหนือยอดไม้ทำมุมเฉียง​กับเรา​พอดี ทั่ว​ทั้งแนวป่าโปร่งโล่งสว่างไสวด้วยแสงแดด​ที่ห่มคลุมผืนป่า ​ทั้งชะนี​และนกหว้าบนเนิน​เขารอบด้านส่งเสียงกู่ร้องแข่งกันดังขรม ​และในขณะเดียวกันก็มีนกชนิดหนึ่ง​​ที่สร้าง​ความประหลาดใจให้ผม​เป็นอย่างมาก เวลามันส่งเสียงร้อง มัน​จะเริ่มส่งเสียงดัง "ตู๊ก" ขึ้น​เบา ๆ​ ​เป็นครั้งแรก แล้ว​เว้นระยะหน​ที่สองสักประมาณ สามถึงสี่วินาที ก็​จะดังขึ้น​อีก "ตู๊ก" ​ถ้าสังเกตก็​จะ​ได้ยินว่าเสียงนั้น​ดังกว่าครั้งแรก จากนั้น​ก็ "ตู๊ก- - -ตู๊ก-ตู๊ก ตู๊ก ๆ​ ๆ​ๆ​ๆ​ๆ​ " ดังรัวเหมือนเด็กวัดตีกลองเพล​ที่โรงฉัน ​และ​เมื่อเสียงตู๊กครั้งสุดท้ายสิ้นสุดลง มันก็​จะโผบินจากต้นไม้​ที่จับเกาะ​ไปยังต้นไม้ต้นอื่น แล้ว​เริ่มส่งเสียงร้องขึ้น​ใหม่ทันที

"นกอะไร​เล่าตา เสียงร้องแปลก ๆ​ "

ผมหัน​ไปถามตาปัญญา ​เพราะไม่เคย​ได้ยินมาก่อน ​ที่ป่ารอบ ๆ​ บ้านไร่ของผมไม่มีนกชนิดนี้ ​แม้​แต่สมัยติดตามพวกผู้ใหญ่เข้าลึก​เพื่อ​ไปหาปลาติดบึงกันในฤดูแล้ง​เมื่อตอนเด็ก ๆ​ ผมก็ไม่เคย​ได้ยิน

ตาปัญญาตอบว่า "นกกา​เขา มัน​จะอาศัยอยู่​เฉพาะป่าลึก หรือป่าดงดิบ ตัวของมันสีดำเหมือนนกกา ​แต่ตัวเล็กกว่า หูตาไว ​ส่วนมากเรา​จะไม่ค่อย​ได้เห็นตัว ​จะ​ได้ยิน​แต่เสียงร้องของมัน ​ซึ่ง​จะเริ่มขึ้น​ตั้งแต่เช้า​ถึงเ​ที่ยง บ่ายถึงค่ำมัน​จะไม่ส่งเสียงร้องอีกเลย​

"ตู๊ก- -ตู๊ก-ตู๊ก ตู๊ก ๆ​ ๆ​ ๆ​ ๆ​ๆ​ๆ​ๆ​ๆ​ "

ผม​ได้ฟังเสียงร้องอันพิสดารของมันแล้ว​นึกขำ คิดว่า​พระอาจารย์​ที่วัดน่า​จะหา​ไปเลี้ยงไว้สักตัวสองตัว ​เอาไว้ส่งเสียงเตือนให้​พระลูกวัดออกจากกุฏิ​ไปฉันเพล​ที่โรงฉัน ​โดย​ที่พวกเด็กวัด​จะ​ได้ไม่​ต้องย่ำกลองให้​เมื่อยมือ

ป่าดง​เขายาสมัยนั้น​มีสิ่งแปลกหูแปลกตา​ที่ผมไม่เคยพบเห็นหลายสิ่งหลายอย่าง นอกจากเสียงร้องอันแปลกประหลาดของตัวบ่าง​ที่ผม​เอาไฟฉาย​ไปส่องดูในคืนนั้น​จนเห็น​กับตา วันนี้ก็​ได้มาพบ​กับนกประหลาดเข้าอีกชนิดหนึ่ง​ จากนั้น​​เมื่อเดินเท้าฟังเสียงนกกา​เขา​ไปตามทางด่านด้วย​กับตาปัญญาอีกสักพัก ตาปัญญาก็บอกให้ผมหยุด

"มีอะไร​หรือตา" ผมหัน​ไปถาม

"เคยเห็นตัวต่อ​ที่ทำรังอยู่​ใต้ดินไหม ​ที่​เขาเรียกต่อหลุมน่ะ" แกถาม

"ไม่เคยครับ​"

ผมตอบ ​พร้อม​กับส่งสายตาออกค้นหา เหลียวซ้ายแลขวา​ไปตามพื้นดินรอบด้าน ก็ไม่พบสิ่งใด​เป็น​ที่สังเกต ​แต่ตาปัญญากล่าวแนะนำวิธีสังเกตว่า ​ต้องปรับสายตาให้ชิน​กับภาพเคลื่อนไหวรอบด้านเสียก่อน...​ หลับตาสักอึดใจแล้ว​ค่อย ๆ​ เปิดเปลือกตาขึ้น​มาช้า ๆ​ จากนั้น​ก็จ้องมองสิ่งใดสักอย่างให้หยุดนิ่งอยู่​สักพัก แล้ว​จึงค่อย ๆ​ เคลื่อนสายตา​ไปทีละนิดให้รอบด้าน ​ความกลมกลืนในธรรมชาติบางครั้งมันก็หลอนสายตาเรา สี​และลายตามตัวของตัวต่อกลมกลืน​กับธรรมชาติรอบข้าง ​ถ้าเราไม่หัดสังเกตไว้เสีย​แต่แรก ครั้งต่อ​ไป​เมื่อเข้าป่าก็อาจพลั้งเผลอเดินเข้า​ไปเหยียบปากหลุมของมัน ก็​จะเสียท่าให้มันต่อย​เอา ​ซึ่งอาจถึง​กับเสียชีวิต​ได้ ​เพราะพิษของตัวต่อนั้น​อันตรายมาก คน​ที่แพ้​เมื่อโดนมันต่อยเข้าหลายครั้งก็​จะหายใจติดขัดจนถึง​กับช็อกหมดสติ หรือหยุดหายใจ​ไปเลย​ก็​ได้

"พอ​จะเห็นตัวมันบ้างหรือยัง" ตาปัญญาถาม

"เห็นแล้ว​ครับ​ ​แต่มันบิน​ไปทางโน้น" ผมว่า

"นั่นแหละ​ เวลาเข้าป่าเข้าดง ​เมื่อเห็นตัวต่อบิน​ไปบินมาก็​ต้องพึงระวัง​โดยทันที ​ถ้า​จะให้ดีก็​ต้องหยุดสังเกตว่ามันบิน​ไปมาคราวละกี่ตัว ตัวสองตัวไม่​เป็นไร ​แต่​ถ้าสามสี่ห้า แสดงว่ารังของมันอยู่​ไม่ไกล อย่าผลีผลามเข้า​ไป​เป็นอันขาด ต่อดุร้ายไม่เหมือนตัวผึ้ง ​และ​ที่สำคัญเพียงแค่ตัวเดียวมันก็ต่อยเรา​ได้นับครั้งไม่ถ้วน ​เพราะเหล็กในของมันไม่หลุดเหมือนผึ้ง...​ เอ็งเห็นกี่ตัว"

"สามสี่ตัวครับ​"

"บิน​ไปทางไหน"

"จับทิศทางไม่​ได้ครับ​ มันบินวน​ไปมาสวนทางกันจนตาลาย"

ตาปัญญาหัวเราะ พูดว่า "จับตาดูแค่ตัวเดียว ดู​ไปจนมันลับหาย หรือลับตา​ไปแล้ว​ก็ยัง​จะ​ต้องจับจ้องอยู่​ในทิศทางเดิม ​เพื่อรอดูว่ามัน​จะบินกลับมาไหม หรือว่ามี​แต่บิน​ไปแล้ว​ลับหาย ไม่บินกลับทางเดิม ​ถ้า​เป็นอย่างนั้น​ทิศทางของรัง​จะอยู่​ตรงข้าม​กับทิศทาง​ที่มัน​ไป ​เพราะแสดงว่ามันทยอยกันออก​ไปล่าเหยื่อตาม​ที่ตัวอื่นบินกลับมารายงาน"

ผมยืนจ้องดูตาม​ที่ตาปัญญาแนะนำก็ปรากฏว่า มี​แต่ตัวต่อบินออก​ไปในทิศทางนั้น​ บินตามกัน​ไปราวสักสิบตัว นาน ๆ​ จึงเห็นมันบินกลับมาสักตัว ​แต่บินมาในระยะ​ที่พอมองเห็น แล้ว​ก็เห็นมันหันกลับ​ไปตามทางเดิมอีก คราวนี้ผมลองจับตามอง​ไปยังทิศทางอื่นบ้าง โอ...​ ผมขนลุกซู่ขึ้น​มาทันที ​เมื่อเห็นตัวต่อตัวหนึ่ง​คาบอะไร​สักอย่าง​ที่พอมองเห็นในระยะเจ็ดแปดวาอยู่​​ที่ปากของมัน แล้ว​ก็จับตามองจนกระทั่งเห็นมันบินผลุบหายลง​ไปบนพื้นดิน​ที่​เป็นช่องทางลง​ไปสู่รังลึกของมัน ​แม้ก่อน​ที่มัน​จะบินผลุบหายลงรูนั้น​ มัน​จะบินเลี้ยวลดฉวัดเฉวียน​ไปมาคล้ายอำพรางศัตรู​ซึ่งผมคิดว่ามันไม่น่า​จะมีก็ตาม ผมก็กลับสังเกตเห็นอย่างถนัดชัดเจน

รูของรังตัวต่ออยู่​ลึก​ไปทางขวามือของทางด่าน​ที่เราอาศัย​เป็นเส้นทางเดิน ห่างออก​ไปราว ๆ​ ห้าหรือหกวา บริเวณนั้น​มีขยะใบไม้กองทับถมกันอยู่​พอประมาณ ต่อให้​ใครสายตาดีอย่างไร ​ถ้าไม่เดินเฉียดเข้า​ไปใกล้ก็​จะไม่มีวันสังเกตเห็น​เป็นอันขาด มิน่าคนโบราณถึง​ได้เล่านิทานป้องกันภัยตัวต่อหลุมไว้​เป็นอุทาหรณ์ เตือนให้ระมัดระวังถึงอันตรายของมันอย่างน่าขนพองสยองเกล้า...​ ​เขาเล่ากันว่า ​แม้​แต่กวางถึก​เมื่อย่างเท้าหล่มลง​ไปในรูต่อหลุม แค่ชั่วกระพริบตา ขาข้าง​ที่หล่มลง​ไปนั้น​ก็​จะโดนพวกมันรุมกัดกินจนเหลือ​แต่กระดูก ​ซึ่งผมฟังอย่างคลางแคลงมา​แต่ไหน​แต่ไร ​แต่บัดนี้​เมื่อมาเห็น​กับตา ผมก็ประจักษ์แล้ว​ว่านิทานเรื่อง​นี้ ผู้เล่ามี​ความประสงค์​ที่​จะเล่า​เพราะอะไร​

ตายแน่ครับ​!!!

​ถ้าหากเดินผลีผลามกระทั่งขาข้างหนึ่ง​ข้างใดหล่มลง​ไปหลุมของมัน ไม่เฉพาะ​แต่ขาข้างนั้น​หรอกครับ​​ที่​จะเหลือ​แต่กระดูำก ตลอด​ทั้งกายก็คง​จะไม่มีอะไร​เหลือหลอ นอกจากกระดูกขาวโพลน ​เพราะ​เมื่อเรากระเซอะกระเซิงจากพิษ​ที่โดนพวกมันรุมต่อย ​ไปอ่อนพับสิ้นใจตายลงตรงไหน อันดับแรกก็พวกตัวต่อนั่นแหละ​ครับ​ ​ที่​จะบินตาม​ไปแทะเนื้อหนังของเรากัดกิน​เป็นอาหารแล้ว​คาบกลับรัง ​เพราะตัวต่อพวกนี้นอกจาก​จะอาศัยน้ำหวานจากเกสรดอกไม้​เป็นอาหารแล้ว​ พวกมันก็ยังกัดกินสัตว์อื่น​เป็นอาหารอีกด้วย

***********************************************

 

F a c t   C a r d
Article ID S-3212 Article's Rate 68 votes
ชื่อเรื่อง เหมืองป่า --Series
ชื่อตอน ล่องป่ากับตาปัญญา --อ่านตอนอื่นที่ตีพิมพ์แล้ว คลิก!
ผู้แต่ง พลอยพนม
ตีพิมพ์เมื่อ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๓
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ เรื่องยาว ซีรีส์
จำนวนผู้เปิดอ่าน ๕๕๕ ครั้ง
จำนวนความเห็น ๒ ความเห็น
จำนวนดอกไม้รวม ๒๘๘
| | | |
เชิญโหวตให้เรตติ้งดอกไม้แก่ข้อเขียนนี้  
R e a d e r ' s   C o m m e n t
ความเห็นที่ ๑ : unclepiak [C-17255 ], [1.46.240.105]
เมื่อวันที่ : ๒๖ ก.ค. ๒๕๕๓, ๐๗.๐๘ น.

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๒ : อิติฯ [C-17257 ], [125.24.81.73]
เมื่อวันที่ : ๒๖ ก.ค. ๒๕๕๓, ๑๕.๒๔ น.

ทุกครั้ง​​ที่ผมอ่านหนังสือ
หรือดูสารคดี
คราใด​​ที่มีเนื้อหา​​และภาพ​​ที่เกี่ยว​​กับพี่ต่อ
ขนผม​​จะลุก​​ไป​​ทั้งตัว
​​เพราะพี่ท่าน​​ได้ฝาก​​ความสะดุ้งไว้ครั้ง​​เมื่อยังเยาว์
ออก​​จะเคียดแค้นเสียด้วยซ้ำ

หากเห็นตัวต่อคราใด
แ่ต่ก็อย่างว่าแหละ​​ครับ​​..มันบิน​​ได้
เร็วกว่ามนุษย์เรา​​เป็นไหนๆ​​
แค้นก็แค้นครับ​​...​​่ผมขอหลีกให้ห่างเลย​​​​เป็นคนแรก
เจ็บแล้ว​​จำดีกว่าครับ​​

​​แต่​​ถ้า​​ใครอยากพิสูจน์ดูว่า...​​สรรพคุณมัน​​จะขนาดไหน?
บอก​​ไปไม่มี​​ใครเชื่อแน่...​​
ดังนั้น​​...​​เชิญพิสูจน์เองนะครับ​​ ​​ได้ผลยังไงบอกกันด้วย

แจ้งลบข้อความ


สั่งให้ระบบส่งเมลแจ้งการเพิ่มเติมความเห็น
 ศาลานกน้อย พร้อมบริการเสมอ และยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกท่าน  ติดต่อเว็บมาสเตอร์ได้ทางคอลัมน์ คุยกับลุงเปี๊ยก หรือทางอีเมลได้ที่ uncle-piak@noknoi.com  พัฒนาระบบ : ธีรพงษ์ สุทธิวราภิรักษ์  โลโกนกน้อย : สุชา สนิทวงศ์  ภาพดอกไม้ในนกแชท : ณัฐพร บุญประภา  ลิขสิทธิ์งานเขียนในนิตยสารรายสะดวก เป็นของผู้เขียนเรื่องนั้น  ข้อความที่โพสบนเว็บไซต์แห่งนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสทั้งสิ้น