นิตยสารรายสะดวก  Fiction  ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๓
เหมืองป่า #1
พลอยพนม
...พ.ศ. ๒๕๑๓ ผมจบชั้นประถมปี​ที่ ๗ จากโรงเรียนคุระบุรี จังหวัดพังงา แล้ว​​ไปเรียนต่อชั้นมัธยมต้น​ที่โรงเรียนเวียงสระศึกษา...

ตอน : นกสองฟ้า ปลาสองน้ำ

ACDSee Pro 3 JPEG Image


พ.ศ. ๒๕๑๓

ผมจบชั้นประถมปี​ที่ ๗ จากโรงเรียนคุระบุรี จังหวัดพังงา แล้ว​​ไปเรียนต่อชั้นมัธยมต้น​ที่โรงเรียนเวียงสระศึกษา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ​ที่นั่น​เป็นพื้นเพของแม่ผม ​และผมเองก็ลืมตาดูโลกครั้งแรก​ที่นั่นเหมือนกัน ต่อจากนั้น​พ่อจึงหอบหิ้วเราสองคนขึ้น​รถลงเรือข้ามน้ำข้ามทะเลมาอยู่​​ที่อำเภอคุระบุรีในภายหลัง

เวลานั้น​อำเภอเวียงสระเพิ่งแยกเขตการปกครอง​ไปจากอำเภอบ้านนาสาร พื้น​ที่รอบนอกยังห่างไกล​ความเจริญ ถนนหนทางยังตัด​ไปไม่ทั่วถึง มีการเคลื่อนไหวปลุกระดม​เพื่อทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศของขบวนการคอมมิวนิสต์อยู่​ทั่วพื้น​ที่ ​ซึ่งทางรัฐบาลก็พยายามแก้ไข​และป้องกันทุกวิถีทาง ​ที่​จะไม่ให้ราษฎรตก​เป็นเครื่องมือของฝ่ายตรงข้าม

​เมื่อผมมาอาศัยบ้านคุณตา​เพื่ออยู่​เรียนหนังสือในชั้นมัธยมในสมัยนั้น​ ผมยัง​ได้เห็นเฮลิคอปเตอร์สองใบพัด หรือ "ชีนุก" หิ้วรถแทรกเตอร์ผ่านหลังคาบ้าน​ไปยังกิ่งอำเภอ​พระแสงในขณะนั้น​ด้วยเลย​

หิ้ว​ไปสองเ​ที่ยว เ​ที่ยวแรก​เป็นใบมีด เ​ที่ยวหลัง​เป็นตัวเครื่องยนต์ ทางรัฐบาลประสงค์​จะนำ​ไปพัฒนาหมู่บ้านตำบล​ที่ทุรกันดารให้มีเส้นทางสัญจร​ไปมาหาสู่กัน​ได้สะดวก​ ​เป็นการทำสงครามช่วงชิงมวลชนจากกองทัพปลดแอก ​ซึ่ง​กำลังปลุกระดมโจมตีรัฐบาลเรื่อง​​ความไม่​เอาใจใส่ดูแลราษฎรอยู่​อย่างดุเดือดนั่นเอง

เวลานั้น​ญาติ ๆ​ ของผม​ที่เลื่อมใสในลัทธิคอมมิวนิสต์ ​และคอย​เป็นแนวร่วมปลุกระดม​ความคิดต่อต้านการปกครองของรัฐให้​กับมวลชนก็พอ​จะมีอยู่​บ้างเหมือนกัน หาก​แต่ในระยะเริ่มต้นนี้ ​ส่วนมากผู้เข้าร่วม​จะ​เป็นผู้​ที่​ได้รับการศึกษามาจากในเมือง หรือไม่ก็ผู้​ที่เคยบวชเรียนมาก่อน ​เพราะพวก​เขา​ได้มีโอกาสศึกษาตำรับตำราว่าด้วยลัทธิการปกครองระบอบสังคมนิยม ​และ​ได้ศึกษาลัทธิการเมืองทางซีกนี้จากคนรู้จัก หรือจากแนวร่วมระดับสูงของพลพรรคปฏิวัติอยู่​บ่อย ๆ​ ก็ทำให้เกิด​ความเลื่อมใสกันขึ้น​

​ทว่าคุณตาของผมท่านไม่เล่นด้วย ​ใครมาเยี่ยมเยียนพูดคุยกันด้วยเรื่อง​อื่น ๆ​ เช่น เรื่อง​ทำมาหากิน เรื่อง​ดินฟ้าอากาศ ท่านก็​จะต้อนรับขับสู้​และพูดคุยด้วยดี หาก​เมื่อใดยกเรื่อง​การเมืองขึ้น​มาเสวนา ท่านก็​จะเลี่ยง​ไปจากบ้านทันที แสดงให้เห็นว่าท่านปฏิเสธแนวทางนั้น​ ​แต่ก็ไม่มีนักปฏิวัติคนไหนโกรธเ​คือง ​เพราะทุกคนรู้ว่าท่าน​เป็นคนดี ​เป็น​ที่เคารพนับถือของผู้คนทั่ว​ทั้งหมู่บ้าน​และตำบลใกล้เคียง

ผมอาศัยอยู่​บ้านคุณตาตั้งแต่เริ่มเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี​ที่ ๑ คุณน้าของผมก็​เป็นครูสอนอยู่​​ที่โรงเรียน​ที่ผมเข้าเรียน เช้า​ขึ้น​มาผมก็ซ้อนท้ายจักรยานยนต์ของแก​ไปโรงเรียน ระยะเวลาสองสามเดือนแรก​ที่ผมอยู่​เรียนหนังสือ​ที่นั่น ผมคิดถึงบ้าน​ที่อำเภอคุระบุรี​เป็นอย่างมาก

คิดถึงน้องสาวสองคน คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงย่า​(ตอนนั้น​ปู่เสียชีวิตแล้ว​) ตลอดจนกระทั่ง​เพื่อน ๆ​ ​ที่เคยเรียนชั้นประถมมาด้วยกัน รวม​ทั้ง​เพื่อนฝูง​ที่เคยเลี้ยงควายอยู่​ในทุ่งนา ผมก็คิดถึงพวก​เขาเหมือนกัน

บางวันผมก็นั่งใจลอยคิดถึงวันเก่า ๆ​ ​ที่​ได้วิ่งเล่นอยู่​กลางท้องทุ่ง คิดถึงวัน​ที่ติดตามพวกญาติ ๆ​ ออก​ไปหา หอย ปู ปลา ในทะเล ​ซึ่งมันสนุกไม่น้อย อยู่​​ที่บ้านคุณตาผมไม่​ใคร่​จะสนิทสนม​กับพวกญาติ ๆ​ ทางฝ่ายนี้สักเท่าไหร่ ​เพราะ​ส่วนมากพวก​เขา​จะ​เป็นคนมีฐานะ ลูก ๆ​ หลาน ๆ​ ของพวก​เขา​แต่ละคนก็ล้วน​แต่เรียนหนังสือกันอยู่​ในชั้นสูง ๆ​ ญาติบางคนส่งลูก​ไปเรียนหนังสืออยู่​​ที่กรุงเทพฯ พอลูกกลับมาบ้านก็เ​ที่ยวคุยโวโอ้อวดจนผมก็นึกหมั่นไส้

ซึงเรื่อง​นี้ก็ดูเหมือนคุณตา​จะเข้าใจ​ความรู้สึกผมดี ท่านพยายามปลุกปลอบใจผมให้ขยันเรียน ต่อ​ไป​จะ​ได้ไม่มี​ใครมาคุยโม้ข่มทับเรา​ได้ ​ซึ่งผมก็เชื่อฟังท่าน ผมหมั่นท่องหนังสือ หมั่นทำการบ้าน​ที่คุณครูสั่งอย่างไม่เกียจคร้าน คำศัพท์ภาษาอังกฤษทุกบททุกตอน​ที่​ได้เรียนมา ผมท่องจำจนขึ้น​ใจ สอบเทอมแรกในชั้นมัธยมศึกษาปี​ที่ ๑ ผมทำข้อสอบ​ได้ ๙๗.๐๐ เปอร์เซ็นต์ ​ได้ลำดับ​ที่ ๒ ของห้องคิงส์ แพ้คนสอบ​ได้​ที่หนึ่ง​เพียง .๔๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น​ ทำ​เอาพวกลูกเจ๊กในตลาดพากันงง

ไอ้หมอนี้ลูก​ใครหว่า...​? ทำไมมันถึง​ได้เรียนเก่งชะมัด ​และผมก็ครองอันดับนักเรียนเรียนดีมาตลอด ปิดเทอมกลับบ้าน​ที่คุระบุรีพ่อ​กับแม่ยิ้มปลาบปลื้ม ไม่คิดว่าลูกชาย​ที่ชอบซุกซนอย่างร้ายกาจอย่างผม​จะเล่าเรียนหนังสือ​ได้เก่งถึงขนาดนั้น​

​ทว่า​เมื่อไหร่​ที่กลับมาบ้าน ผมก็​จะตรงเข้าสวมวิญาณเดิม ๆ​ ​คือวิญญาณซุกซน ชอบร่อนเร่พเนจรเหมือนสมัยก่อนทันที ​ใครขึ้น​​เขาลงห้วย ​ใครออกทะเล ผมก็มัก​จะขออาศัย​ไปด้วยเสมอ

ปิดภาคเรียนเทอมสุดท้ายขณะเรียนอยู่​ชั้นมัธยมศึกษาปี​ที่ ๑ ผมตามพวก​เพื่อน ๆ​ เข้า​ไปขุดแร่ดีบุก​ที่ป่าดง​เขายา ​ซึ่งอยู่​ลึก​ไปทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านประมาณ ๗ ชั่วโมงเดินเท้า (ปัจจุบัน​คือ บริเวณป่าต้นน้ำเหนือเขื่อนรัชประภา ตรงรอยตะเข็บ​ระหว่างจังหวัดพังงา​กับจังหวัดสุราษฎร์ธานี) มีญาติผู้ใหญ่​ไปด้วยคนหนึ่ง​ ชื่อ ปัญญา ผมเรียกตาปัญญา ​เพราะแกมีศักดิ์​เป็นคุณตาของผม

ตาปัญญา เคยบวช​เป็น​พระจำพรรษาอยู่​ในเมืองหลายพรรษา เรียนทาง​พระจนสอบ​ได้นักธรรมเอก ​แต่แล้ว​ก็​ต้องสะดุดลง ​เพราะหัน​ไปพิศสมัยสุราเมรยะ อีก​ทั้งสีกา​และโยมอุปฐากก็ชอบแวะเวียน​ไปดูหมอ ดูลายมือ จนขั้นกระไดกุฏิลื่น​เป็นมัน แกจึง ‘ไม่อยากครองผ้าเหลืองให้นรกกินหัว’ มาก​ไปกว่านั้น​ เลย​ขอลาสิกขาบท ​แต่ก็แปลก หลังจาก​ที่​ได้กราบลาสิกขาจาก​พระอาจารย์ของแกมาแล้ว​ ก็ไม่ปรากฏสีกาหรือโยมอุปฐากคนหนึ่ง​คนใดติดสอยห้อยตามตาปัญญากลับมา​ที่บ้านของแกด้วยสักคน

ตาปัญญา​เป็นคนมี​ความรู้ คุยสนุก แกชอบเล่านิยายรามเกียรติ์ สามก๊ก ตลอดจนนิทานชาดกให้ผมฟังอยู่​เสมอ ถึงบทกลอนสำคัญ ๆ​ แกก็ว่ากลอน ถึงบทแหล่ก็แหล่ด้วยน้ำเสียง​เพราะพริ้งนุ่มนวลน่าฟัง คุย​กับตาปัญญาแล้ว​​ได้​ทั้ง​ความรู้ ​ความคิด ​และ​ความเพลิดเพลิน ผมจึงมัก​จะ​ไปเ​ที่ยว​ที่บ้านของแกเสมอ ​เมื่อตอนเข้าป่า​ไปขุดแร่ด้วยกัน ผมก็​ไปนอน​ที่ทับของแกทุกคืน ตอนบ่ายหลังเลิกงานแก​จะ​ต้องล่อน้ำตาลเมาเข้า​ไปก่อน อย่างน้อยจอกสองจอกจึง​จะมีอารมณ์เล่านิทานให้ผมฟัง

น้ำตาลเมาหรือน้ำกะแช่ของตาปัญญาทำด้วยน้ำตาลชก ​ใช้กรรมวิธีเดียว​กับตาลตะโหนดเมืองเพชร แถบเชิง​เขาป่าดง​เขายามีต้นชกขึ้น​อยู่​เต็ม​ไปหมด ตาปัญญาแก​จะ​ไปตัดงวงของมันแล้ว​​เอากระบอกไม้ไผ่​ไปรองรับนำหวานทุกเช้า​ ​เมื่อ​ได้มาแล้ว​ก็นำมาหมักไว้​กับแป้งยีสต์​และเปลือกไม้เคี่ยม พอครบขวบก็​จะมีฟองขาว ๆ​ คล้ายฟองผงซักฟอกฟูขึ้น​มาจนล้นปากกระบอก ก็​เป็นอันว่ากิน​ได้แล้ว​ คน​ที่ไม่เคย ​เมื่อซดเข้า​ไปสักจอกสองจอกก็เมาหัวทิ่ม

การเดินทาง​ไปขุดแร่ในดง​เขายาคราวนั้น​ คณะของเรามีอยู่​ด้วยกัน ๕ คน ตาปัญญามีอาวุโส​ที่สุด นอกนั้น​ก็อายุไล่เรี่ยกัน มีผม พี่สงัดลูกชายของลุงผม แล้ว​ก็ไอ้พริ้ง ไอ้ชน ​เพื่อนเลี้ยงควายในทุ่งนาด้วยกัน​เมื่อครั้งก่อน

พวก​เขาเข้าป่าแถวนั้น​กันจนชิน ​เพราะการขุดแร่​ไปขายถือ​เป็นราย​ได้หลักของพวก​เขาก็ว่า​ได้ ทุกคนมีใบโคว์ต้า หรือ ใบอนุญาตร่อนแร่​ที่ทางอำเภอออกให้ถูก​ต้องตามกฎหมาย

ในป่าดง​เขายามีสายแร่ดีบุกกระจัดกระจายอยู่​ทั่วพื้น​ที่ ​แต่​เป็นสายแร่อ่อน ไม่คุ้มการลงทุนทำเหมืองฉีด หรือเหมืองเรือขุดของพวกนายทุน หาก​แต่ในอดีตก็เคยมีพวกฝรั่งขอประทานบัตรเข้า​ไปประกอบการทำเหมืองฉีดครั้งหนึ่ง​แล้ว​เหมือนกัน ​แต่ใน​ที่สุดก็ประสบ​กับการขาดทุนจน​ต้องเลิกกิจการ ทิ้งร่องรอยเหมืองร้างให้พวกชาวบ้าน​ได้มาอาศัยทำกินขุดหากันด้วยเครื่องทุ่นแรงแบบชาวบ้าน ๆ​ ​คือ พวกจอบ เสียม ชะแลง ​เพื่อการยังชีพต่อ​ไป

พวกผม​ที่เข้า​ไปขุดแร่กันคราวนั้น​ ​ใช้วิธีขุดหา​ไปตามลำธาร ขุดลึกลง​ไปถึงก้นกระสะ ​โดย​ใช้จอบใบใหญ่ลักษณะคล้ายใบหูช้างต่อด้ามยาว ตักขึ้น​มาเทใส่เรียง แล้ว​นำ​ไปร่อนในน้ำ คัดเศษหิน​และทราย​ที่ตักรวมกันขึ้น​มาแยกทิ้ง​ไป แร่​เป็นโลหะ​ที่หนักกว่าเม็ดทรายหรือพวกเศษหินพวกนั้น​ มันก็​จะประกบอยู่​​ที่ก้นเรียง ไม่ลอยฟุ้ง​ไป​กับน้ำ ​เมื่อร่อนมา​ได้สักนิด ประมาณครั้งละหนึ่ง​หรือสองช้อนชาก็กวาดใส่กระป๋องเก็บไว้ ​ส่วนมาก​ใช้กระป๋องนมข้นล้างสะอาด หรือไม่ก็กระป๋องยาเส้น ​ถ้า​ได้เต็มกระป๋องแล้ว​นำ​ไปคั่วจนแห้ง ก็​จะ​ได้แร่​ที่มีน้ำหนักประมาณ ๑.๓ กิโลกรัม เวลานั้น​ซื้อขายกันกิโลกรัมละ ๖๐--๘๐ บาท​ ขึ้น​อยู่​​กับการปนเปื้อนของผงแร่​ที่ตายแล้ว​ หรือ​ที่เรียกกันว่า "ขี้แร่" มากน้อยเพียงใด วันหนึ่ง​ ๆ​ พวกเรา​จะขุดหากัน​ได้ตกเฉลี่ยแล้ว​คนละประมาณครึ่งกิโลกรัม หรือคิด​เป็นราย​ได้ก็ประมาณวันละ ๓๐--๕๐ บาท​ ​ซึ่งมันก็มากพอดู ​เพราะอย่าลืมว่า ขณะนั้น​บุหรี่สามิตสิบสี่ ซองละ ๘ บาท​ ข้าวสารอย่างดี ถังละ ๖๐--๗๐ บาท​แค่นั้น​ ทองคำรูปพรรณก็ดูเหมือนบาท​ละ ๔๐๐

ผมจำ​ได้​เพราะพี่สงัดแกท่องบ่นอยู่​ทุกวันเรื่อง​​จะเก็บเงินซื้อทอง​ไปหมั้นเมีย!

​ส่วนเรื่อง​อาหารการกินภายในป่าก็อุดมสมบูรณ์ ​ไปจากบ้านเราแบกสัมภาระกัน​ไปแค่ข้าวสาร เกลือป่น กะปิ น้ำปลา หอม กระเทียม ​ถ้า​จะ​เอาเนื้อหมูติด​ไปด้วย ก็รวน​เป็นเนื้อเค็ม พวกพริกไทย พริกขี้หนู ​ที่​ใช้ทำพริกแกงไม่​ต้องขน​ไปให้หนักบ่า ในป่ามีเยอะแยะ ข่า ตะไคร้ กระเพรา โหรพา พวกนี้ พวก​ที่​เขาเข้า​ไปอยู่​ครั้งก่อน ๆ​ ​เขาก็ปลูกไว้​ที่หน้าทับหรือหน้ากระต๊อบของ​เขากันแล้ว​ทุกเจ้า

​และ​ที่นั่นก็มีกระต๊อบหรือทับปลูกอยู่​ใกล้ ๆ​ กันนับสิบหลัง มีผู้คนเข้า ๆ​ ออก ๆ​ เดินสวนทางกันอยู่​แทบทุกวัน ​เพราะมัน​เป็นอาชีพหลักอย่างหนึ่ง​ของพวก​เขา

ผมตามพวก​เขาเข้า​ไปขุดแร่ครั้งนั้น​ นับ​เป็นครั้งแรก ​เมื่อย่ำเท้า​ไปถึงก็รู้สึกตื่นเต้น ​เพราะรอบด้าน​เป็นป่าดงดิบยิ่งกว่าบ้านไร่ของผมในสมัยเด็ก ๆ​ เสียอีก ตอนกลางคืน​ได้ยินเสียงสัตว์ป่าปีบร้องทั่วสารทิศ ​โดยเฉพาะเสียงครวญครางหาคู่ครองของเสือโคร่งในยามมืดค่ำ ผมก็เพิ่ง​จะ​ได้ยิน​เป็นครั้งแรกก็คราวนั้น​

​แม้​จะรู้สึกเหนื่อยล้า​กับการออกแรงทำงาน ​แต่​ทว่าบางคืนก่อน​จะปิดตาหลับจิตใจของผมก็ล่องลอย​ไปโน่น​ไปนี่ราว​กับมันมีปีกโบยบิน ผิด​กับตาปัญญา พอแกปิดปากจากการเล่านิทานหรือพูดคุยเรื่อง​ราวต่าง ๆ​ ให้ผมฟัง แกก็​จะปล่อยเสียงกรนครอก ๆ​ ออกมาแทนทันที

คืนหนึ่ง​ขณะตาปัญญานอนกรนอย่างมี​ความสุข ผมก็​ได้ยินเสียงคลายสัตว์อะไร​บางอย่างเดินวน​ไปมารอบ ๆ​ ทับของเรา ในระยะใกล้ ๆ​ แล้ว​ผมก็คลำหาไฟฉาย​ที่วางไว้ข้างหมอนตรงหัวนอนมาถือไว้ กะว่า​ถ้าวนกลับมาอีกก็​จะลุกขึ้น​ผลักบานประตูออก​ไปดู

เดชะบุญ หลังจากนั้น​เสียงของมันก็เงียบ​ไป เช้า​ขึ้น​มาผมเล่าให้ตาปัญญาฟัง แกดุผมใหญ่เลย​

"ทำไมไม่ปลุกตา รู้ไหมว่านั่นเสียงอะไร​"

"ผมไม่รู้ ​แต่เห็นตา​กำลังหลับ ก็เลย​ไม่อยากขัด​ความสุข...​ แล้ว​มันเสียงอะไร​รึตา"

"เสือโว้ย เอ็ง​ไปดูรอยมันซิ โตเท่าฝ่ามือของตาเลย​ว่ะ"

ตาปัญญาลุกขึ้น​​ไปปาดตาลชก​เอามาทำน้ำเมาของแกตั้งแต่เช้า​ แล้ว​แกก็เห็นรอยมันเข้า หาก​แต่แกก็ปิดผมไว้ ​เพราะเกรงผม​จะปอดแหกไม่กล้าออก​ไปไหน

"อย่าลืมบอกพวกไอ้พริ้งพวกนั้น​ด้วย ต่อ​ไปนี้เรา​ต้องก่อกองไฟไว้หน้าทับกันทุกคืนแล้ว​ล่ะ"



********************************************************



โปรดติดตามอ่านตอนต่อ​ไปอีกนะครับ​

 

F a c t   C a r d
Article ID S-3183 Article's Rate 68 votes
ชื่อเรื่อง เหมืองป่า --Series
ชื่อตอน นกสองฟ้า ปลาสองน้ำ --อ่านตอนอื่นที่ตีพิมพ์แล้ว คลิก!
ผู้แต่ง พลอยพนม
ตีพิมพ์เมื่อ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๓
ตีพิมพ์ในคอลัมน์ เรื่องยาว ซีรีส์
จำนวนผู้เปิดอ่าน ๑๗๗๙ ครั้ง
จำนวนความเห็น ๗ ความเห็น
จำนวนดอกไม้รวม ๒๘๘
| | | |
เชิญโหวตให้เรตติ้งดอกไม้แก่ข้อเขียนนี้  
R e a d e r ' s   C o m m e n t
ความเห็นที่ ๑ : นาม อิสรา [C-17098 ], [110.49.205.129]
เมื่อวันที่ : ๑๘ มิ.ย. ๒๕๕๓, ๐๗.๐๒ น.

เหมือนเดิมนะครับ​​

พบเจอข้อบกพร่องตรงจุดไหนก็ขอ​​ความกรุณาท้วงติง​​ได้ทันที

​​เป็นเรื่อง​​ใหม่ล่าสุด ใหม่ถอดด้าม ไม่เคยเผยแพร่​​ที่ไหนมาก่อน ​​และ​​ที่สำคัญ ก็ยังไม่​​ได้ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นตามสูตร​​ที่เคย​​ใช้ จึงเกรง​​จะยังมีข้อบกพร่อง ก็ขอย้ำว่า ขอฝากฝังผลงานชิ้นใหม่นี้ด้วยนะครับ​​

กะว่า​​จะพยายามเขียนให้​​ได้สัก ๓๐ ตอนแล้ว​​ค่อยหาช่องทางเผยแพร่ทางสื่อสิ่งพิมพ์ต่อ​​ไป

ขอบคุณมาก ๆ​​ นะครับ​​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๒ : ลุงปิง [C-17099 ], [58.10.234.140]
เมื่อวันที่ : ๑๘ มิ.ย. ๒๕๕๓, ๑๓.๔๗ น.

แค่เริ่มต้นเรียกน้ำย่อย ก็สนุกเสียแล้ว​​ คง​​จะ​​ต้องติดตามอ่านจนจบนั่นแหละ​​ครับ​​ ​​เอาใจช่วยขอให้ประสบผลสำเร็จนะครับ​​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๓ : ลุงเปี๊ยก [C-17100 ], [111.84.233.234]
เมื่อวันที่ : ๑๘ มิ.ย. ๒๕๕๓, ๑๖.๒๖ น.

ตามมาอ่าน​​โดยพลันครับ​​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๔ : Rotjana Geneva [C-17113 ], [193.134.193.5]
เมื่อวันที่ : ๒๒ มิ.ย. ๒๕๕๓, ๒๓.๓๔ น.

อ้าว มัว​​แต่ยุ่ง ๆ​​ เพิ่งมาเห็นงานเขียนบทนี้ค่ะ​​ ขอแปะโป้งไว้ก่อน แล้ว​​ค่อยมาอ่านอย่างละเอียดทีหลังค่ะ​​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๕ : wadee [C-17466 ], [118.174.51.3]
เมื่อวันที่ : ๐๔ ก.ย. ๒๕๕๓, ๑๖.๓๐ น.

สนุกน่าติดตามมากค่ะ​​

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๖ : กัลปจันทรา - นกแร้ง [C-17777 ], [74.47.207.28]
เมื่อวันที่ : ๒๒ ต.ค. ๒๕๕๓, ๐๖.๔๘ น.

ไม่​​ได้อ่านเรื่อง​​เกี่ยว​​กับป่านานแล้ว​​ค่ะ​​ ดีใจ​​ที่แวะมา ​​จะอ่านต่อนะคะ​​​​เมื่อมีเวลา

แจ้งลบข้อความ


ความเห็นที่ ๗ : นาม อิสรา [C-17780 ], [110.49.193.66]
เมื่อวันที่ : ๒๒ ต.ค. ๒๕๕๓, ๑๓.๐๙ น.

ขอบคุณครับ​​พี่ ยังไง ๆ​​ ​​ถ้าเจอสิ่งบกพร่องหลงหูหลงตาผม หรือพบอะไร​​​​ที่ชวนให้สะดุดตาไม่ราบรื่นก็ขอ​​ได้รับคำแนะนำด้วยนะครับ​​

ขอบคุณอีกครั้งครับ​​คุณพี่กัลปจนาฯ

แจ้งลบข้อความ


สั่งให้ระบบส่งเมลแจ้งการเพิ่มเติมความเห็น
 ศาลานกน้อย พร้อมบริการเสมอ และยินดีรับฟังข้อเสนอแนะจากทุกท่าน  ติดต่อเว็บมาสเตอร์ได้ทางคอลัมน์ คุยกับลุงเปี๊ยก หรือทางอีเมลได้ที่ uncle-piak@noknoi.com  พัฒนาระบบ : ธีรพงษ์ สุทธิวราภิรักษ์  โลโกนกน้อย : สุชา สนิทวงศ์  ภาพดอกไม้ในนกแชท : ณัฐพร บุญประภา  ลิขสิทธิ์งานเขียนในนิตยสารรายสะดวก เป็นของผู้เขียนเรื่องนั้น  ข้อความที่โพสบนเว็บไซต์แห่งนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้โพสทั้งสิ้น