![]() |
![]() |
พลอยพนม![]() |
...พ.ศ. ๒๕๑๓ ผมจบชั้นประถมปีที่ ๗ จากโรงเรียนคุระบุรี จังหวัดพังงา แล้วไปเรียนต่อชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนเวียงสระศึกษา...
ตอน : นกสองฟ้า ปลาสองน้ำ
ACDSee Pro 3 JPEG Imageพ.ศ. ๒๕๑๓
ผมจบชั้นประถมปีที่ ๗ จากโรงเรียนคุระบุรี จังหวัดพังงา แล้วไปเรียนต่อชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนเวียงสระศึกษา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่นั่นเป็นพื้นเพของแม่ผม และผมเองก็ลืมตาดูโลกครั้งแรกที่นั่นเหมือนกัน ต่อจากนั้นพ่อจึงหอบหิ้วเราสองคนขึ้นรถลงเรือข้ามน้ำข้ามทะเลมาอยู่ที่อำเภอคุระบุรีในภายหลัง
เวลานั้นอำเภอเวียงสระเพิ่งแยกเขตการปกครองไปจากอำเภอบ้านนาสาร พื้นที่รอบนอกยังห่างไกลความเจริญ ถนนหนทางยังตัดไปไม่ทั่วถึง มีการเคลื่อนไหวปลุกระดมเพื่อทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศของขบวนการคอมมิวนิสต์อยู่ทั่วพื้นที่ ซึ่งทางรัฐบาลก็พยายามแก้ไขและป้องกันทุกวิถีทาง ที่จะไม่ให้ราษฎรตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายตรงข้าม
เมื่อผมมาอาศัยบ้านคุณตาเพื่ออยู่เรียนหนังสือในชั้นมัธยมในสมัยนั้น ผมยังได้เห็นเฮลิคอปเตอร์สองใบพัด หรือ "ชีนุก" หิ้วรถแทรกเตอร์ผ่านหลังคาบ้านไปยังกิ่งอำเภอพระแสงในขณะนั้นด้วยเลย
หิ้วไปสองเที่ยว เที่ยวแรกเป็นใบมีด เที่ยวหลังเป็นตัวเครื่องยนต์ ทางรัฐบาลประสงค์จะนำไปพัฒนาหมู่บ้านตำบลที่ทุรกันดารให้มีเส้นทางสัญจรไปมาหาสู่กันได้สะดวก เป็นการทำสงครามช่วงชิงมวลชนจากกองทัพปลดแอก ซึ่งกำลังปลุกระดมโจมตีรัฐบาลเรื่องความไม่เอาใจใส่ดูแลราษฎรอยู่อย่างดุเดือดนั่นเอง
เวลานั้นญาติ ๆ ของผมที่เลื่อมใสในลัทธิคอมมิวนิสต์ และคอยเป็นแนวร่วมปลุกระดมความคิดต่อต้านการปกครองของรัฐให้กับมวลชนก็พอจะมีอยู่บ้างเหมือนกัน หากแต่ในระยะเริ่มต้นนี้ ส่วนมากผู้เข้าร่วมจะเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษามาจากในเมือง หรือไม่ก็ผู้ที่เคยบวชเรียนมาก่อน เพราะพวกเขาได้มีโอกาสศึกษาตำรับตำราว่าด้วยลัทธิการปกครองระบอบสังคมนิยม และได้ศึกษาลัทธิการเมืองทางซีกนี้จากคนรู้จัก หรือจากแนวร่วมระดับสูงของพลพรรคปฏิวัติอยู่บ่อย ๆ ก็ทำให้เกิดความเลื่อมใสกันขึ้น
ทว่าคุณตาของผมท่านไม่เล่นด้วย ใครมาเยี่ยมเยียนพูดคุยกันด้วยเรื่องอื่น ๆ เช่น เรื่องทำมาหากิน เรื่องดินฟ้าอากาศ ท่านก็จะต้อนรับขับสู้และพูดคุยด้วยดี หากเมื่อใดยกเรื่องการเมืองขึ้นมาเสวนา ท่านก็จะเลี่ยงไปจากบ้านทันที แสดงให้เห็นว่าท่านปฏิเสธแนวทางนั้น แต่ก็ไม่มีนักปฏิวัติคนไหนโกรธเคือง เพราะทุกคนรู้ว่าท่านเป็นคนดี เป็นที่เคารพนับถือของผู้คนทั่วทั้งหมู่บ้านและตำบลใกล้เคียง
ผมอาศัยอยู่บ้านคุณตาตั้งแต่เริ่มเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ คุณน้าของผมก็เป็นครูสอนอยู่ที่โรงเรียนที่ผมเข้าเรียน เช้าขึ้นมาผมก็ซ้อนท้ายจักรยานยนต์ของแกไปโรงเรียน ระยะเวลาสองสามเดือนแรกที่ผมอยู่เรียนหนังสือที่นั่น ผมคิดถึงบ้านที่อำเภอคุระบุรีเป็นอย่างมาก
คิดถึงน้องสาวสองคน คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงย่า(ตอนนั้นปู่เสียชีวิตแล้ว) ตลอดจนกระทั่งเพื่อน ๆ ที่เคยเรียนชั้นประถมมาด้วยกัน รวมทั้งเพื่อนฝูงที่เคยเลี้ยงควายอยู่ในทุ่งนา ผมก็คิดถึงพวกเขาเหมือนกัน
บางวันผมก็นั่งใจลอยคิดถึงวันเก่า ๆ ที่ได้วิ่งเล่นอยู่กลางท้องทุ่ง คิดถึงวันที่ติดตามพวกญาติ ๆ ออกไปหา หอย ปู ปลา ในทะเล ซึ่งมันสนุกไม่น้อย อยู่ที่บ้านคุณตาผมไม่ใคร่จะสนิทสนมกับพวกญาติ ๆ ทางฝ่ายนี้สักเท่าไหร่ เพราะส่วนมากพวกเขาจะเป็นคนมีฐานะ ลูก ๆ หลาน ๆ ของพวกเขาแต่ละคนก็ล้วนแต่เรียนหนังสือกันอยู่ในชั้นสูง ๆ ญาติบางคนส่งลูกไปเรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพฯ พอลูกกลับมาบ้านก็เที่ยวคุยโวโอ้อวดจนผมก็นึกหมั่นไส้
ซึงเรื่องนี้ก็ดูเหมือนคุณตาจะเข้าใจความรู้สึกผมดี ท่านพยายามปลุกปลอบใจผมให้ขยันเรียน ต่อไปจะได้ไม่มีใครมาคุยโม้ข่มทับเราได้ ซึ่งผมก็เชื่อฟังท่าน ผมหมั่นท่องหนังสือ หมั่นทำการบ้านที่คุณครูสั่งอย่างไม่เกียจคร้าน คำศัพท์ภาษาอังกฤษทุกบททุกตอนที่ได้เรียนมา ผมท่องจำจนขึ้นใจ สอบเทอมแรกในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ผมทำข้อสอบได้ ๙๗.๐๐ เปอร์เซ็นต์ ได้ลำดับที่ ๒ ของห้องคิงส์ แพ้คนสอบได้ที่หนึ่งเพียง .๔๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทำเอาพวกลูกเจ๊กในตลาดพากันงง
ไอ้หมอนี้ลูกใครหว่า...? ทำไมมันถึงได้เรียนเก่งชะมัด และผมก็ครองอันดับนักเรียนเรียนดีมาตลอด ปิดเทอมกลับบ้านที่คุระบุรีพ่อกับแม่ยิ้มปลาบปลื้ม ไม่คิดว่าลูกชายที่ชอบซุกซนอย่างร้ายกาจอย่างผมจะเล่าเรียนหนังสือได้เก่งถึงขนาดนั้น
ทว่าเมื่อไหร่ที่กลับมาบ้าน ผมก็จะตรงเข้าสวมวิญาณเดิม ๆ คือวิญญาณซุกซน ชอบร่อนเร่พเนจรเหมือนสมัยก่อนทันที ใครขึ้นเขาลงห้วย ใครออกทะเล ผมก็มักจะขออาศัยไปด้วยเสมอ
ปิดภาคเรียนเทอมสุดท้ายขณะเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ ผมตามพวกเพื่อน ๆ เข้าไปขุดแร่ดีบุกที่ป่าดงเขายา ซึ่งอยู่ลึกไปทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านประมาณ ๗ ชั่วโมงเดินเท้า (ปัจจุบันคือ บริเวณป่าต้นน้ำเหนือเขื่อนรัชประภา ตรงรอยตะเข็บระหว่างจังหวัดพังงากับจังหวัดสุราษฎร์ธานี) มีญาติผู้ใหญ่ไปด้วยคนหนึ่ง ชื่อ ปัญญา ผมเรียกตาปัญญา เพราะแกมีศักดิ์เป็นคุณตาของผม
ตาปัญญา เคยบวชเป็นพระจำพรรษาอยู่ในเมืองหลายพรรษา เรียนทางพระจนสอบได้นักธรรมเอก แต่แล้วก็ต้องสะดุดลง เพราะหันไปพิศสมัยสุราเมรยะ อีกทั้งสีกาและโยมอุปฐากก็ชอบแวะเวียนไปดูหมอ ดูลายมือ จนขั้นกระไดกุฏิลื่นเป็นมัน แกจึง ไม่อยากครองผ้าเหลืองให้นรกกินหัว มากไปกว่านั้น เลยขอลาสิกขาบท แต่ก็แปลก หลังจากที่ได้กราบลาสิกขาจากพระอาจารย์ของแกมาแล้ว ก็ไม่ปรากฏสีกาหรือโยมอุปฐากคนหนึ่งคนใดติดสอยห้อยตามตาปัญญากลับมาที่บ้านของแกด้วยสักคน
ตาปัญญาเป็นคนมีความรู้ คุยสนุก แกชอบเล่านิยายรามเกียรติ์ สามก๊ก ตลอดจนนิทานชาดกให้ผมฟังอยู่เสมอ ถึงบทกลอนสำคัญ ๆ แกก็ว่ากลอน ถึงบทแหล่ก็แหล่ด้วยน้ำเสียงเพราะพริ้งนุ่มนวลน่าฟัง คุยกับตาปัญญาแล้วได้ทั้งความรู้ ความคิด และความเพลิดเพลิน ผมจึงมักจะไปเที่ยวที่บ้านของแกเสมอ เมื่อตอนเข้าป่าไปขุดแร่ด้วยกัน ผมก็ไปนอนที่ทับของแกทุกคืน ตอนบ่ายหลังเลิกงานแกจะต้องล่อน้ำตาลเมาเข้าไปก่อน อย่างน้อยจอกสองจอกจึงจะมีอารมณ์เล่านิทานให้ผมฟัง
น้ำตาลเมาหรือน้ำกะแช่ของตาปัญญาทำด้วยน้ำตาลชก ใช้กรรมวิธีเดียวกับตาลตะโหนดเมืองเพชร แถบเชิงเขาป่าดงเขายามีต้นชกขึ้นอยู่เต็มไปหมด ตาปัญญาแกจะไปตัดงวงของมันแล้วเอากระบอกไม้ไผ่ไปรองรับนำหวานทุกเช้า เมื่อได้มาแล้วก็นำมาหมักไว้กับแป้งยีสต์และเปลือกไม้เคี่ยม พอครบขวบก็จะมีฟองขาว ๆ คล้ายฟองผงซักฟอกฟูขึ้นมาจนล้นปากกระบอก ก็เป็นอันว่ากินได้แล้ว คนที่ไม่เคย เมื่อซดเข้าไปสักจอกสองจอกก็เมาหัวทิ่ม
การเดินทางไปขุดแร่ในดงเขายาคราวนั้น คณะของเรามีอยู่ด้วยกัน ๕ คน ตาปัญญามีอาวุโสที่สุด นอกนั้นก็อายุไล่เรี่ยกัน มีผม พี่สงัดลูกชายของลุงผม แล้วก็ไอ้พริ้ง ไอ้ชน เพื่อนเลี้ยงควายในทุ่งนาด้วยกันเมื่อครั้งก่อน
พวกเขาเข้าป่าแถวนั้นกันจนชิน เพราะการขุดแร่ไปขายถือเป็นรายได้หลักของพวกเขาก็ว่าได้ ทุกคนมีใบโคว์ต้า หรือ ใบอนุญาตร่อนแร่ที่ทางอำเภอออกให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ในป่าดงเขายามีสายแร่ดีบุกกระจัดกระจายอยู่ทั่วพื้นที่ แต่เป็นสายแร่อ่อน ไม่คุ้มการลงทุนทำเหมืองฉีด หรือเหมืองเรือขุดของพวกนายทุน หากแต่ในอดีตก็เคยมีพวกฝรั่งขอประทานบัตรเข้าไปประกอบการทำเหมืองฉีดครั้งหนึ่งแล้วเหมือนกัน แต่ในที่สุดก็ประสบกับการขาดทุนจนต้องเลิกกิจการ ทิ้งร่องรอยเหมืองร้างให้พวกชาวบ้านได้มาอาศัยทำกินขุดหากันด้วยเครื่องทุ่นแรงแบบชาวบ้าน ๆ คือ พวกจอบ เสียม ชะแลง เพื่อการยังชีพต่อไป
พวกผมที่เข้าไปขุดแร่กันคราวนั้น ใช้วิธีขุดหาไปตามลำธาร ขุดลึกลงไปถึงก้นกระสะ โดยใช้จอบใบใหญ่ลักษณะคล้ายใบหูช้างต่อด้ามยาว ตักขึ้นมาเทใส่เรียง แล้วนำไปร่อนในน้ำ คัดเศษหินและทรายที่ตักรวมกันขึ้นมาแยกทิ้งไป แร่เป็นโลหะที่หนักกว่าเม็ดทรายหรือพวกเศษหินพวกนั้น มันก็จะประกบอยู่ที่ก้นเรียง ไม่ลอยฟุ้งไปกับน้ำ เมื่อร่อนมาได้สักนิด ประมาณครั้งละหนึ่งหรือสองช้อนชาก็กวาดใส่กระป๋องเก็บไว้ ส่วนมากใช้กระป๋องนมข้นล้างสะอาด หรือไม่ก็กระป๋องยาเส้น ถ้าได้เต็มกระป๋องแล้วนำไปคั่วจนแห้ง ก็จะได้แร่ที่มีน้ำหนักประมาณ ๑.๓ กิโลกรัม เวลานั้นซื้อขายกันกิโลกรัมละ ๖๐--๘๐ บาท ขึ้นอยู่กับการปนเปื้อนของผงแร่ที่ตายแล้ว หรือที่เรียกกันว่า "ขี้แร่" มากน้อยเพียงใด วันหนึ่ง ๆ พวกเราจะขุดหากันได้ตกเฉลี่ยแล้วคนละประมาณครึ่งกิโลกรัม หรือคิดเป็นรายได้ก็ประมาณวันละ ๓๐--๕๐ บาท ซึ่งมันก็มากพอดู เพราะอย่าลืมว่า ขณะนั้นบุหรี่สามิตสิบสี่ ซองละ ๘ บาท ข้าวสารอย่างดี ถังละ ๖๐--๗๐ บาทแค่นั้น ทองคำรูปพรรณก็ดูเหมือนบาทละ ๔๐๐
ผมจำได้เพราะพี่สงัดแกท่องบ่นอยู่ทุกวันเรื่องจะเก็บเงินซื้อทองไปหมั้นเมีย!
ส่วนเรื่องอาหารการกินภายในป่าก็อุดมสมบูรณ์ ไปจากบ้านเราแบกสัมภาระกันไปแค่ข้าวสาร เกลือป่น กะปิ น้ำปลา หอม กระเทียม ถ้าจะเอาเนื้อหมูติดไปด้วย ก็รวนเป็นเนื้อเค็ม พวกพริกไทย พริกขี้หนู ที่ใช้ทำพริกแกงไม่ต้องขนไปให้หนักบ่า ในป่ามีเยอะแยะ ข่า ตะไคร้ กระเพรา โหรพา พวกนี้ พวกที่เขาเข้าไปอยู่ครั้งก่อน ๆ เขาก็ปลูกไว้ที่หน้าทับหรือหน้ากระต๊อบของเขากันแล้วทุกเจ้า
และที่นั่นก็มีกระต๊อบหรือทับปลูกอยู่ใกล้ ๆ กันนับสิบหลัง มีผู้คนเข้า ๆ ออก ๆ เดินสวนทางกันอยู่แทบทุกวัน เพราะมันเป็นอาชีพหลักอย่างหนึ่งของพวกเขา
ผมตามพวกเขาเข้าไปขุดแร่ครั้งนั้น นับเป็นครั้งแรก เมื่อย่ำเท้าไปถึงก็รู้สึกตื่นเต้น เพราะรอบด้านเป็นป่าดงดิบยิ่งกว่าบ้านไร่ของผมในสมัยเด็ก ๆ เสียอีก ตอนกลางคืนได้ยินเสียงสัตว์ป่าปีบร้องทั่วสารทิศ โดยเฉพาะเสียงครวญครางหาคู่ครองของเสือโคร่งในยามมืดค่ำ ผมก็เพิ่งจะได้ยินเป็นครั้งแรกก็คราวนั้น
แม้จะรู้สึกเหนื่อยล้ากับการออกแรงทำงาน แต่ทว่าบางคืนก่อนจะปิดตาหลับจิตใจของผมก็ล่องลอยไปโน่นไปนี่ราวกับมันมีปีกโบยบิน ผิดกับตาปัญญา พอแกปิดปากจากการเล่านิทานหรือพูดคุยเรื่องราวต่าง ๆ ให้ผมฟัง แกก็จะปล่อยเสียงกรนครอก ๆ ออกมาแทนทันที
คืนหนึ่งขณะตาปัญญานอนกรนอย่างมีความสุข ผมก็ได้ยินเสียงคลายสัตว์อะไรบางอย่างเดินวนไปมารอบ ๆ ทับของเรา ในระยะใกล้ ๆ แล้วผมก็คลำหาไฟฉายที่วางไว้ข้างหมอนตรงหัวนอนมาถือไว้ กะว่าถ้าวนกลับมาอีกก็จะลุกขึ้นผลักบานประตูออกไปดู
เดชะบุญ หลังจากนั้นเสียงของมันก็เงียบไป เช้าขึ้นมาผมเล่าให้ตาปัญญาฟัง แกดุผมใหญ่เลย
"ทำไมไม่ปลุกตา รู้ไหมว่านั่นเสียงอะไร"
"ผมไม่รู้ แต่เห็นตากำลังหลับ ก็เลยไม่อยากขัดความสุข... แล้วมันเสียงอะไรรึตา"
"เสือโว้ย เอ็งไปดูรอยมันซิ โตเท่าฝ่ามือของตาเลยว่ะ"
ตาปัญญาลุกขึ้นไปปาดตาลชกเอามาทำน้ำเมาของแกตั้งแต่เช้า แล้วแกก็เห็นรอยมันเข้า หากแต่แกก็ปิดผมไว้ เพราะเกรงผมจะปอดแหกไม่กล้าออกไปไหน
"อย่าลืมบอกพวกไอ้พริ้งพวกนั้นด้วย ต่อไปนี้เราต้องก่อกองไฟไว้หน้าทับกันทุกคืนแล้วล่ะ"
********************************************************
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไปอีกนะครับ
เมื่อวันที่ : ๑๘ มิ.ย. ๒๕๕๓, ๐๗.๐๒ น.
เหมือนเดิมนะครับ
พบเจอข้อบกพร่องตรงจุดไหนก็ขอความกรุณาท้วงติงได้ทันที
เป็นเรื่องใหม่ล่าสุด ใหม่ถอดด้าม ไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนมาก่อน และที่สำคัญ ก็ยังไม่ได้ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นตามสูตรที่เคยใช้ จึงเกรงจะยังมีข้อบกพร่อง ก็ขอย้ำว่า ขอฝากฝังผลงานชิ้นใหม่นี้ด้วยนะครับ
กะว่าจะพยายามเขียนให้ได้สัก ๓๐ ตอนแล้วค่อยหาช่องทางเผยแพร่ทางสื่อสิ่งพิมพ์ต่อไป
ขอบคุณมาก ๆ นะครับ