![]() |
![]() |
SONG-982![]() |
...ถ้อยจารึกพล่านขึ้นในห้วงคำนึงของอรรณพ ราวกับอสรพิษร้ายกำลังดิ้นทุรน พยายามหาทางออกจากที่ขัง... อักขระเทวนาครีทั้งสามแถวไม่ได้ลำดับความ หัวหางของบางตัววิ่นแหว่งจากการคัดลอก กระนั้นยังปรากฏรอยสลักเป็นแถวอักษรส...
ตอน : บ่วงอุรคา (สำนวนใหม่?)
แดดบ่ายจัดจ้า สะท้อนเงาลวงตาขึ้นมาจากพื้นถนน ทิวทัศน์สองข้างทางยิ่งแล้ว เพราะนาเกลือทั้งนั้นกำลังจับเกล็ด เป็นขุยขาวดาดไปสุดลูกหูลูกตาแต่ทั้งหมดก็ไม่น่าทำให้ชายหนุ่มมึนงงหรือรู้สึกวิงเวียนได้ขนาดนี้
"ณพ ณพ เมารถรึเปล่า"
เหมือนเขาได้ยินเสียงนี้แว่วมาจากที่ไกล พร้อมกับรู้สึกว่าแขนข้างซ้ายถูกเขย่าเบาๆ ตอนนี้อรรณพไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าอยู่ที่ไหน
ลมแห้งๆ ที่ปลิวมาปะทะใบหน้ายิ่งทำให้อึดอัดและเหนอะหนะ
ลมหายใจที่สูดเข้าไปทำให้ลำคอแห้งผาก ริ้วความร้อนพลุ่งจากส่วนกลางของลำตัว ขึ้นไปอัดอั้นอยู่ในหัว ดวงตาร้อนผ่าวแสบเคือง และแข็งค้าง
กว่าจะกะพริบตาได้แต่ละครั้งน้ำตาก็คลอหน่วย ต้องเกร็งหรี่ หลบแสงจนปวดกระบอกตาไปหมด
อรรณพฝันร้ายมาหลายคืน ก่อนที่เธอจะออกปากชวนมาร่วมทีม เขารับปากทันทีโดยเจ้าตัวยังงง ว่าอะไรทำให้ตัดสินใจได้รวดเร็วขนาดนั้น
จะว่าเพราะความสนิทสนมของตนกับวีณา ก็ไม่น่าจะใช่
มันเหมือนกับมีแรงดึงดูดอะไรสักอย่างมากกว่า ทำให้พอเขาได้ยินชื่อสถานที่ที่จะมาในครั้งนี้ แล้วก็เออออตอบรับไปโดยอัตโนมัติ
ที่จริงทั้งคณะมีร่วมสี่สิบชีวิต แต่ทุกคนบนรถมีจุดหมายต่างไปจากพวกเขา กลุ่มสมาชิกค่ายอาสาฯ ได้ทำเลสำหรับสนองอุดมการณ์ชมรม โดยไม่ต้องไปไกลจากกรุงเทพมากนัก
เพียงร้อยกว่ากิโลเมตรเท่านั้น ท้องที่ที่พวกเขากำลังจะไปช่วยพัฒนาโรงเรียน ก็กลายเป็นชุมชนหลังเขาไปเสียแล้ว
"ไม่... ไม่เป็นไร"
ทว่าเสียงตอบกลับแหบแห้ง ราวปลาขาดน้ำจนเจียนตาย
จังหวะหัวใจที่เต้นถี่ระรัว แทนที่จะทำให้เขาคึกคักตื่นตา กลับกำลังกดดันประสาทรับความรู้สึกทั้งหมดให้จมดิ่ง
จังหวะในตัวคลับคล้ายเสียงรัวมโหระทึกในยัญพิธีอะไรสักอย่าง ไม่ได้อ่อนหวานนุ่มนวลชวนเคลิ้ม เพราะมันกึกก้องกดดันจนแทบหายใจไม่ออก
เสียงหวานแว่วที่เรียกหา ก็กลายเป็นเสียงหวีดแหลมน่ารำคาญ
แรงที่ยังเขย่าอยู่ที่แขนซ้ายยิ่งเพิ่มแรง ก็กลับทำให้รู้สึกเหมือนถูกแรงนั่นโยนขึ้นสู่อากาศ
...ครู่เดียว
ทั้งร่างก็ด้านชากับสิ่งเร้ารอบกายไปทั้งสิ้น
ถ้อยจารึกพล่านขึ้นในห้วงคำนึงของอรรณพ ราวกับอสรพิษร้ายกำลังดิ้นทุรน พยายามหาทางออกจากที่ขัง
อักขระเทวนาครีทั้งสามแถวไม่ได้ลำดับความ หัวหางของบางตัววิ่นแหว่งจากการคัดลอก ด้วยวิธีการใช้กระดาษทาบลงบนแผ่นศิลา แล้วฝนด้วยดินสอถ่าน จนปรากฏรอยสลักเป็นแถวอักษรสีขาว

.........เจริญยิ่งบริวาร....สิงห์.....บัว.....อายสะยิน.....
ถึงอวหาร...........อินทูน........กรรมเมือง.................."
คำ "อุรคนคร" เหมือนผูกพันฝังแน่นอยู่กลางใจ แต่คำ "อินทูน" กลับทำให้ขุ่นเคืองคุแค้น
อรรณพยิ่งรู้สึกปวดตุบขึ้นมาที่สองข้างขมับ ปวดเหมือนหัวจะระเบิด
"ดวงใจแห่งข้า พญามารจุติมาแล้ว ชาตินี้ไร้บุญญา ชาติหน้าข้าจะตามไปพบเจ้า!!!"
แล้วอีกเสียงก็ดังขึ้นจากเบื้องบนกระหม่อม มันเสียดแทรกเข้ามาในหัว พร้อมกับความทรมานสุดแสน เหมือนกะโหลกจะปริแยก
ชายหนุ่มยังสัมผัสได้ถึงเยื่อใยอันเป็นอนันตกาล เยื่อใยของความพะวักพะวงห่วงหา จำใจตัดใจลาด้วยความรักและ ...ความแค้น
น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม
แล้วละไออุ่นที่นองหน้าช่วยซับความรู้สึก ให้กลับมาสู่ปัจจุบัน
ความเลือนรางค่อยแจ่มชัด จนภาพทิวเขาข้างหน้ากระจ่างแก่ตา
"เขางู...!!"
"จะเขาอะไรก็ช่างมันก่อนเหอะนะณพ แต่ว่าเธอเป็นอะไร เป็นอะไรไป"
เสียงหวีดแหลมน่ารำคาญค่อยกลับมาแว่วหวานอีกคราว จนคนที่รู้สึกแปลกๆ ต้องหันกลับมายิ้มรับเนือยๆ พร้อมค่อยปลดสองมือที่เกาะกุมต้นแขนซ้ายของตนออก
"ใครเป็นอะไรไปเหรอวีณา"
อีกเสียงดังแทรกเข้ามา เสียงนี้ทำให้เขาถึงกับสะดุ้ง มันช่างคลับคล้ายเสียงนั้น เสียงแห่งความอาฆาตจองเวร ที่เสียดแทรกอยู่ในหัวเมื่อชั่วอึดใจ
"ณพน่ะ กฤษ ไม่รู้เป็นอะไร"
หญิงสาวตอบคำกลับไป ใจยังไม่คลายกังวล
"เราไม่เป็นไร ไม่เป็นไรแล้วละวี"
ต้นเหตุพยายามเค้นเสียงให้กระปรี้กระเปร่า โดยไม่ได้หันมาหาเธออีกด้วยเพราะที่ปลายหางตา บอกว่ามีอีกคนหนึ่งเข้าสมทบถึงตัว
แล้วฝ่ามือหนักแน่นก็ทาบลงบนหน้าผากของอรรณพอย่างอ่อนโยน เหมือนถูกประคบด้วยมวลน้ำเย็นสดชื่น ความกดดันอัดอั้นจางหายเป็นปลิดทิ้งทันที
ถึงอยากจะปัดมือนั้นออก แต่จิตใต้สำนึกก็ขืนแขนขาไว้จนไม่อาจขยับหลบเลี่ยง
"ลมแดดละมั้งวี เป็นผู้ชายแท้ๆ ทำไมอ่อนแอจัง"
เจ้าของมือละมือออกไปแล้ว เสียงตะโกนหายาดมยาลมดังขึ้นทั้งรถ
จนมีกลิ่นพิมเสนน้ำมาจ่อรอที่จมูก อรรณพก็ยังนั่งนิ่ง
"ก็เขาไม่ได้เป็นพวกถางป่าขุดดินงัดหินอย่างเธอนี่นา อย่างเราๆ น่ะออกภาคสนามกันมานักต่อนัก แต่ณพเขาไม่เคยต้องมาอย่างนี้ อีกอย่างเขาก็มีโรคประจำตัว"
วีณาหันไปต่อว่าและแก้ต่างแทบเพื่อนสนิท
"ถ้ารู้ว่าไม่สบายแล้วจะดันทุรังมาทำไมล่ะวี กะแค่เทวนาครีไม่กี่ขยัก ทำไมเราจะแกะกันเองไม่ออก"
ทว่าคนสบประมาทยังซ้ำไม่ลดละ
"ไอ้สามบรรทัดนั่นน่ะใครๆ มันก็เดาได้ แต่ถ้าไปเจอศิลาทั้งหลักจะทำยังไง"
และหญิงสาวไม่ก็ไม่ยอมจำนน
"ก็ขนมันกลับไปที่มหาลัย"
คราวนี้เสียงผู้ชายชักอ้อมแอ้มไม่เต็มปาก
"อย่ามาถลากไถลไปเรื่อยเลยน่า เธอก็รู้ว่าเรามากันยังไง ถ้าอาจารย์รู้ว่าแอบมากันเอง มีหวังต้องลงทะเบียนกันใหม่อีกรอบ"
"......"
"เถอะน่า แค่นี้มันเรื่องปกติ ไม่ได้ชักตาตั้งเป็นลมบ้าหมูอะไรนี่นา"
เมื่อเห็นท่าว่าอังกฤษยอมจำนน วีณาจึงลดเสียงลงเป็นทำนองไกล่เกลี่ย
"บ้าเรอะวี! แล้วถ้าเป็นอย่างที่เธอพูดขึ้นมาที่กลางป่า เราไม่ต้องปล่อยให้เพื่อนเธอตายเรอะ!"
คราวนี้คนเถียงเหมือนจะกลับมาเป็นห่วงตัวต้นเหตุ
"เราไม่เป็นไรแล้ววี ขอโทษที่ทำให้ตกอกตกใจ ขอโทษคุณ... เอ่อ..."
"อังกฤษ ผมชื่ออังกฤษ เรียกกฤษเฉยๆ ก็ได้"
"ครับ คุณอังกฤษ ผมขอโทษด้วย"
"คุณณพไม่ได้เป็นคนผิด มันผิดมาตั้งแต่คนชวนคุณณพแล้ว"
ถึงตอนนี้น้ำเสียงของอังกฤษผู้เป็นหัวหน้าทีม ไม่ได้จริงจังอีกต่อไป
"ย่ะคุณท่าน ถ้าอิชั้นไม่ห่วงว่างานมันจะไม่เดิน ก็คงไม่ลากเขามาหรอกค่ะ ณพก็อย่าทำให้วีเสียชื่อล่ะ คุยกะกฤษมันไว้ฟุ้งเชียวว่า ณพอ่านได้หมดตั้งแต่ฝั่งไทกรีซจนถึงฮวงโห"
"ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกวี เธอก็พูดเกินไป ก็... แค่พออ่านได้บ้าง"
เวลานี้คนที่แนะนำตัวว่าอังกฤษเปลี่ยนที่นั่ง มานั่งเบียดกับวีณาและอรรณพแล้ว เขาถือโอกาสชำเลืองสำรวจ เพื่อนใหม่ที่วีณาคุยนักคุยหนาว่า หลงใหลอักษรโบราณจนเหมือนคลั่ง
อังกฤษเคยคะเนไว้ในใจว่า คงจะเป็นผู้ชายผอมบาง ท่าทางเจ้าตำราและอมโรค อาจจะแต่งตัวอย่างไม่ไยดีสังคม หรือน่าจะติดสกปรกหน่อยๆ ด้วยซ้ำ
แต่คนที่นั่งนิ่งหันไปนอกหน้าต่างนี่กลับไม่ใช่อย่างที่วาดเอาไว้ ถึงจะตัวเล็กกว่า แต่ก็มีรูปร่างสมส่วนสมชาย สวมเสื้อและกางเกงทรงเข้าสมัย ผิวสวยกว่าผู้หญิงที่นั่งคั่นกลาง แม้จะดูคล้ำกว่า ก็ไม่ได้ทำให้ผู้ชายคนนี้แลดูหม่นหมอง
มีเพียงนัยน์ตาอย่างเดียวกระมัง ที่แฝงแววโศกสลดไว้ใต้ประกายตาสดใส
แล้วคนแอบมองก็รีบปรับน้ำเสียง ให้เป็นการเป็นงานอีกครั้ง ก่อนที่วีณาจะจับสังเกตได้
"ผมหวังว่าคุณณพคงจะอ่านได้ดี ที่จริงอักษรพวกนั้นก็คงจะร่วมๆ สมัยกันกับหลักศิลาที่ขุดค้นพบกับเมืองใกล้ๆ ทั้งทางคูบัว หรือทางเมืองสิงห์ ถึงจะเก่าก็ไม่น่าจะเกินรุ่นๆ กับทวารวดี พุทธศตวรรษที่สิบกว่าๆ"
เสียงนี้ได้ยินกันเฉพาะเพียงสามคน
"แต่... กฤษ เธอจะมาบ้างานอย่างเดียวไม่ได้นะ"
หญิงสาวผู้กำลังโดนสองหนุ่มนั่งขนาบข้าง หันมาเตือนเบาๆ
"เธอต้องหาเวลาไปแสดงน้ำใจกับรตีเค้าด้วย ไอ้ที่เราอาศัยเนียนมากับค่ายอาสานี่ ก็เพราะวีบอกไปว่า กฤษเป็นคนขอร้องหรอกนะ"
"ได้ยังไงล่ะวี แฟนเค้าก็มาด้วยนี่"
ใจจริงอังกฤษไม่อยากให้ใครไปพูดลับหลังเลยว่า ใช้เสน่ห์หนุ่มหาประโยชน์ใส่ตัว ทำให้พอเห็นอีกคนที่ท่าทางท่านประธานชมรมค่ายอาสาสนิทสนมด้วยเป็นพิเศษก็เบาใจ พอชื้นใจได้ว่า คงไม่ต้องไปแสดงท่าทางเอาใจใส่อะไรกับเธอมากจนเกินไป
"สกรรจ์ นั่นเค้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันย่ะ เพิ่งกลับจากเมืองนอก รตีว่าเขาอยากมาสัมผัสชีวิตติดดินดูบ้างก็แค่นั้น... เถอะน่ะกฤษ เขาก็ทำงานของเขา เราก็ทำงานของเรา เช้าเราก็ออกสนาม เผลอๆ จะได้ไปตั้งแค้มป์กันต่างหากเสียอีก"
คนต้นคิดเริ่มตั้งท่าจะหว่านล้อมเป็นครั้งที่ร้อย ทั้งที่ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่า กระดาษสำเนาดินสอถ่านนั้น จะถ่ายลายลักษณ์มาจากศิลาสลักของจริง
"อย่างน้อย เราได้ไปเห็นหลักเสาอะไรที่เจ้าศรีตามันว่าก็พอ จะจริงจะปลอมยังไง จะได้ไปไล่เบี้ยกะมันอีกที แต่ไอ้ศรีตามันไม่เคยกระตือรือร้นอะไรขนาดนี้มาก่อน จริงไหมกฤษ?"
"อือ!..." เสียงรับรู้หลุดมาจากลำคอคนฟังเพียงแค่นั้น เพราะเทือกเขาที่ตระหง่านอยู่เบื้องหน้าดึงความสนใจไปเกือบหมด
"...เขา เขางู..."
อังกฤษครางกับตัว
"ไม่ใช่..." อรรณพแย้งโดยไม่ได้หันหน้ามามอง "...ทิวนี้คือเขาขานาคา"
"อ้าว! เมื่อกี้ณพยังว่าเป็น เขางู อะไรไม่ใช่เรอะ"
วีณาหันมาถาม
แล้วป้ายบอกทางผ่านสายตาของทั้งหมดเข้ามา มันเป็นผู้เฉลยคำตอบเรียบง่าย
"ดราก้อนฮิลล์"
"โห! เดาะตั้งชื่อเป็นภาษาปะกิดซะด้วย แถวนี้เค้าเป็นฝรั่งกันหรือไงนะ"
หญิงสาวทำสีหน้ากระอักกระอ่วน ในการห่างไกลความเจริญ ภูเขาเก่าแก่กลับมีชื่อเป็นภาษาต่างประเทศ
"ดราก้อนฮิลล์... เทือกเขามังกร..."
อังกฤษพยายามพินิจสัณฐานของสิ่งตรงหน้าให้แน่ใจ ก่อนจะรับคำอรรณพเบาๆ
"อือ! แค่ขามังกรจริงๆ นั่นแหละ"
แต่คนขานชื่อ "เขาขานาคา" ไม่ได้สนใจใครอื่นอีกแล้ว เขารู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าว ร่ำๆ เหมือนจะหลั่งน้ำตา
พยายามฝืนมองออกไปข้างนอก ให้สายลมช่วยปัดเป่าหยาดน้ำที่เอ่อขึ้นมานั้นให้เหือดหาย
เสียงชี้ชวนกันชมทิวทัศน์รอบรถ ของพวกเจ้าของโครงงานที่แท้จริง ทำให้ทั้งอังกฤษและวีณานึกขัน
คนในรถส่วนใหญ่เป็นคนกรุง ที่คงไม่ค่อยสูดหายใจได้เต็มปอด กำลังทำท่าชี้นกชมไม้
แค่ไม้ป่าดอกสีแปลก ที่มีนกตัวดำปีกสีน้ำตาลแดงเกาะอยู่ ยังได้ยินเสียงเถียงกันว่า เป็นอีกาสีประหลาดหรืออย่างไร แล้วต้นไม้นั่นมันคูนพันธุ์ไหนถึงได้ออกดอกเป็นสีชมพูอมแดง
ความฉาบฉวยของคนกรุง ทำให้ไม่รู้จัก "นกกะปูด" หรือ "ต้นกาฬพฤกษ์" ไปแล้วน่ะหรือ
"น่าจะไล่ให้ไปดูภาพที่ภาคผนวกในพจนานุกรมราชบันฑิตซะก่อนจะมา"
อรรณพอดพึมพำออกมาไม่ได้ ซึ่งวีณาก็ตามอารมณ์เพื่อนได้ทัน จึงพูดขึ้นบ้างว่า
"เดี๋ยวนี้เค้าไม่เปิดหนังสือกันแล้วค่ะคุณ เวลาจะค้นหาอะไร ก็พึ่งลุงกูเกิ้ล หรือไม่ก็วิกิพีเดีย รวดเร็วทันใจกว่ากันเยอะ"
"นั่นแหละ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าค้นจากที่ไหนหรอก เราว่านะวี เฉพาะคนรุ่นเราๆ หรือเปล่านะ ที่ไม่ได้สอนให้ถูกจักสืบค้นอย่างจริงจังด้วยตัวเอง สิ่งละอันพันละน้อยต่างๆ ที่ถึงจะไม่จำเป็นต้องรู้ แต่ถ้ารู้ไว้ก็ไม่เสียหายนี่ เราไม่เห็นว่าจะมีใครคอยปลูกฝังชี้แนะ ว่าความรู้เหล่านั้นมันอาจจะมีประโยชน์ในสักวันหนึ่งข้างหน้า การสืบหาหรือสืบค้นจึงต้องทำอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำเป็นตื่นหูตื่นตา ถามกันไปถามกันมา แล้วก็เล่าสู่ข้อมูลแก่กันแบบผิดๆ ถูกๆ ครึ่งๆ กลางๆ"
การพูดได้ยืดยาวอย่างนี้ ทำให้วีณารู้สึกว่าสถานการณ์ของคนพูด จะกลับมาเป็นปกติ ทั้งเธอและอังกฤษ จึงไม่ได้สนใจอาการเหม่อลอยหลังจากนั้นของอรรณพอีกต่อไป เริ่มทบทวนแผนการ ที่จะต้องสำรวจเมืองโบราณ ที่สาบสูญครั้งนี้ให้ได้ภายในสิบวัน
กว่ารถบัสของมหาวิทยาลัยจะแล่นเข้ามาถึงเขตหมู่บ้าน ดวงอาทิตย์ก็แตะเหลี่ยมเขาพอดี คนขับรถกับคนถือแผนที่ยังเถียงกันไม่เสร็จ ขณะที่นักศึกษาเริ่มทยอยกันลงจากรถ
เสียงหรีดหริ่งเรไรที่สงบลงเพราะตกใจเสียงคณะผู้มาเยือน เริ่มประสานเสียงหวิวๆ เครือๆ อีกครั้ง
หญิงสาวผู้เป็นประธานชมรมขยับขึ้นมาหน้าแถว เพื่อส่งยิ้มรับหัวหน้าคณะที่รอต้อนรับอยู่ตั้งแต่บ่ายอ่อนๆ
"เราหลงทางกันนิดหน่อยค่ะ พอเลย เอ่อ!,,, ดราก้อนฮิลล์นั่นเข้ามา ก็เหมือนจะเข้ามาอยู่ในเขาวงกต ไม้ต้นใหญ่กับภูเขารูปทรงเหมือนๆ กันไปหมดอย่างนี้ ทำเอาพวกหนูเลี้ยวผิดกันหลายรอบ"
เสียงอธิบายของรตี หวานเรียบเป็นการเป็นงาน ขัดกับบุคลิกยามปกติจนฟังดูแปลกหูสำหรับเพื่อนที่ยังไม่เคยร่วมทางกันมาก่อน
ชายชราหัวหน้าคณะฝ่ายต้อนรับ ยังยิ้มแย้ม ไม่มีท่าทางขุ่นใจกับการที่ต้องเตรียมการต้อนรับนักศึกษากลุ่มนี้มาเกือบทั้งวัน และตอบกลับอย่างมีเมตตา โดยละความแปลกใจเรื่องการหลงทางไว้ ด้วยการยอมรับในเหตุผลเธอกล่าวออกมา
"ข้าวกลางวันคงต้องกลายเป็นมือเย็นเสียแล้ว พวกหนูรอกันสักครู่ หรือใครจะเก็บข้าวของอาบน้ำอาบท่าเสียก่อนก็ได้ ลุงให้แม่ครัวเขาอุ่นกับข้าวให้อีกรอบหนึ่งแล้ว"
ทั้งคณะได้กลิ่นอาหารโชยมาทันที ผู้เหย้าคงสั่งให้อุ่นหาไว้ตั้งแต่เห็นรถเคลื่อนเข้าเขตโรงเรียนมานั่นเอง
หลังจากทักทายปราศรัยกันอีกครู่ ชาวค่ายอาสาฯ แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปทำกิจธุระส่วนตัว รตีจึงได้โอกาสเอ่ยถึงอีกจุดหมายหนึ่งของการมาครั้งนี้
"พวกเพื่อนหนูเขาเรียนโบราณคดีค่ะ พอดีได้ลายจารึกมาแผ่นหนึ่ง เขาว่าได้จากเสาศิลาที่อยู่ในตำบลนี้ ก็เลยอยากจะรบกวนถามคุณลุงว่า ต้นเสาจริงๆ นั่นอยู่ที่ไหน พวกเพื่อนๆ เขาจะได้ไปลอกลายสลักมาให้ครบ จะเอาไปทำรายงานส่งอาจารย์น่ะค่ะ"
แม้รตีจะเป็นผู้หญิงที่มีความเป็นผู้หญิงครบส่วนก็ตาม แต่เธอก็มีความสามารถพอและแสดงให้เพื่อนร่วมชมรมได้เห็นมาแล้ว ว่า "สู้" ได้ไม่แพ้ใครในทุกเรื่อง เธอจึงรับธุระลับของวีณาเพื่อนสนิท มาสะสางให้อย่างใส่ใจ
"พวกหนู คงหมายถึง ต้นเสาโบราณที่ริมห้วยเชิงสะพาน ตรงก่อนจะเข้าเขตตำบลกระมัง เสานั่นล้มไปแล้วละหนู หักออกเป็นหลายเสี่ยง เพราะน้ำป่าเมื่อวานซืน ตรงฐานคงหนักหน่อย เลยแค่พลิก แต่ไม่ถึงกับไปตามน้ำ"
ข้อมูลนี้ ทำให้หนุ่มสาวสี่ห้าคนที่ยืนรวมกลุ่มกันอยู่หน้าลุงกำนัน สบตากันด้วยความผิดหวัง
จะใช่ศิลาหลักเดียวกันหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ยังมาล้มเสียก่อนที่จะมาสำรวจกันแค่สองวัน
"ลุงเลยให้ชาวบ้านเขาขนมาไว้ที่ใต้ถุนวัดโน่น"
ชายชราชี้มือไปที่อีกฟากสนาม ซึ่งนั่นคงเป็นวัดประจำตำบล อันสิ่งปลูกสร้างแต่ละอย่างโย้กันไปเย้กันมา จนน่ากลัวว่าจะพังครืนลงได้ทุกเวลา
แลดูสยองขวัญ สั่นประสาทได้ไม่น้อย เมื่อเงามืดๆ ทึมๆ นั้นเหมือนสั่นไหวขึ้นพร้อมกัน ยามเสียงระฆังเย็น ย่ำดัง ถี่แหลมสลับ... ช้า... ช้า... ช้า... และระรัวเร่งเร้า
หมาวัดหอนส่งตามเสียงระฆัง ราวกับประสานเสียงร้องเพลงปลุกใจกันกระนั้น
แล้วหมาบ้านก็หอนรับกันมาเป็นทอด จนถึงหมาโรงเรียนที่กำลังนั่งเกาขี้เรื้อนอยู่ใกล้ๆ ก็เริ่มโก่งคอร้างขน หอนโหยหวน จนผู้มาใหม่ทั้งกลุ่มถึงกับขนลุก
"อย่ากลัวไปเลย พระท่านส่งสัญญาณกับสรรพสัตว์ว่าจะเริ่มทำวัตรเย็น สวดมนต์แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลกันแล้ว ถ้าพวกหมามันเปล่งสาธุได้ ก็คงเปล่งเป็นเสียงสาธุแทนนั่นแหละ"
ชายชราช่วยอธิบาย เมื่อเห็นอาการของกลุ่มผู้มาเยือน
ถึงจะเป็นเหตุผลที่น่าเชื่อถือเท่าใด ทั้งรตี วีณา อรรณพ อังกฤษ และศรีตา ก็ยังอดรู้สึกเสียวสันหลังไม่ได้ แล้วอรรณพก็ถามขึ้นบ้าง
"หลักศิลา ผมหมายถึงเสาที่ล้มนั่นคงอยู่ใต้หอระฆังนั่นละมั้งครับคุณลุง"
"เอ... ลุงก็ไม่รู้สินะ ก็สั่งเค้าให้เอาไปหลบไว้ร่มๆ ก็ยุ่งๆ เรื่องเตรียมจัดที่พัก เครื่องไม้เครื่องมือให้คณะของหนูอยู่ เลยยังไม่ได้เข้าไปดูความเรียบร้อย แหมไอ้หลานชายคนนี้มันตาดีจริง อยู่ลิบๆ โน่นยังมองเห็น"
ชายชรายกมือป้องหน้า ทอนแสงสุดท้ายของวัน เพื่อมองให้แน่
เมื่อเขม้นมองอยู่อึดใจใหญ่ แล้วยังไม่เห็นอะไรนอกจากเงามืด ก็ได้แต่บุ้ยใบ้ให้เข้าไปหาข้าวหาปลากินกันเสียก่อน แล้วค่อยมาคุยกันอีกครั้งหลังมื้ออาหาร
ทุกคนก็ลองพยายามเพ่ง เล็งไปที่โครงเสาทรงสูง ที่โย้พิงอยู่กับศาลาหลังใหญ่ สิ่งที่เห็นได้ก็เป็นเพียงเงาตะคุ่มๆ ในระดับสายตาซึ่งไม่อาจแยกแยะว่าอะไรเป็นอะไร
ที่จริงอรรณพยังไม่ได้หันไปมองที่หอระฆังเลยด้วยซ้ำ เขาแค่ถามออกไปตามเสียงที่เหมือนกระซิบอยู่ข้างหู
ชายหนุ่มอยากจะถลาตัดสนามไปที่ศิลาสลักในทันที ไปดูให้รู้ว่าถ้อยคำที่เหลือคืออะไร
ส่วนที่ว่าเป็นหลักเดียวกันหรือไม่นั้น อรรณพมั่นใจมาตั้งแต่ตอนหลงทางนั่นแล้ว
"เรากางเต็นท์นอนกันก็ได้นะ จะได้ไม่ไปรบกวนพวกอาสาเค้า แค่มาอาศัยแย่งข้าวเขากิน แล้วก็เปิดตูดไปทำงานของเรานี่ ก็เกรงใจเขาจะแย่อยู่แล้ว"
ศรีตา คนที่พูดน้อยที่สุดในทีมให้ความเห็นทำลายความเงียบ ขณะที่ทั้งกลุ่มเดินหลบมุมมาเพื่อนั่งรอให้กลุ่มหลัก จัดการเข้าที่พักให้เรียบร้อยกันเสียก่อน
"ก็ดีนะศรีตา เราก็เกรงใจพวกนั้นเค้าเหมือนกัน"
รตีรับคำอย่างตรงไปตรงมา
"ยังไงมีอะไรขาดเหลือ วีกับศรีตา ก็บอกแล้วกัน นี่เรายังหนักใจกับกรรจ์อยู่เลย มันว่าจะกลับแล้ว... กลัวบ้ากลัวบออะไรก็ไม่รู้"
"คงแค่แปลกที่ แปลกถิ่นไปเท่านั้นมั้งครับรตี ถ้าเขาแค่มาเที่ยวก็ให้มารวมกลุ่มกับพวกผมก็ได้ เดินป่าน่าจะง่ายกว่าเทปูน"
อังกฤษให้ความเห็นบ้าง และแสดงน้ำใจโดยการหาทางช่วยผ่อนภาระของคนที่เมตตา ช่วยอำพรางพวกเขาจาก คำสั่งห้ามของอาจารย์
"ขอบคุณค่ะกฤษ ยังไงก็คงต้องถามเขาดูก่อน"
"เราขอไปดูหลักศิลานั่นตอนนี้เลยนะวี"
อรรณพแทรกขึ้นมาลอยๆ พร้อมกับทำท่าจะลุกเดินจากกลุ่ม แต่อังกฤษคว้าข้อมือเขาไว้ได้ทัน
"พรุ่งนี้ก็ได้มั้งณพ จะมืดอยู่แล้ว น่ากลัวออก ...นะ"
ถึงจะอยากไปดูให้รู้แน่เหมือนกัน วีณาก็ยังต้องเก็บอาการไว้ เพราะดูทิศทางลมแล้ว กลางค่ำกลางคืนแถวนี้เปลี่ยวจนไม่น่าไว้ใจ
"ก็ดีเหมือนกัน เรามีเวลาน้อย ถ้าได้ไปลอกมาซะตอนนี้ คืนนี้จะได้มาช่วยกันแกะ"
แต่คนที่ยังกำข้อมืออรรณพไว้แน่น และถือสนิทเรียกชื่อเล่น กลับสนับสนุน อังกฤษพูดอย่างนั้นขณะอาศัยแรงขืนของเพื่อนใหม่ ช่วยพยุงตัวขึ้นยืน
"เธอกับศรีตา ช่วยกันกางเต็นท์ก็แล้วกัน เดี๋ยวเราไปกับณพเอง"
อังกฤษพูดเองเออเองเสร็จสรรพ คว้ากระเป๋าสะพายและม้วนกระดาษสำหรับลอกลาย เดินลิ่วกันไปสองคน ทำเหมือนลืมไปแล้วว่ามีรตีอยู่ตรงนั้นอีกคน
ทั้งคู่เดินมาได้สิบกว่าก้าว อรรณพจึงเขย่ามือข้างที่ถูกกุมข้อมืออยู่ ให้รู้ว่า
"ปล่อยได้แล้ว"
แล้วค่อยเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว ตอนคนตัวสูงกว่ารีบคลายมือ อังกฤษกล่าวขอโทษเบาๆ แล้วรีบสาวเท้านำหน้าขึ้นไป
อาศัยแสงสั่งฟ้า ที่บัดนี้เริ่มสลับสีชมพูระเรื่อเหลืองตรงขอบฟ้า รูปร่างที่อรรณพมองเห็นจากด้านหลังนี้ ช่างคุ้นตานัก
ร่างสูงผึ่งผาย ไหล่ตึงขนานพื้น แล้วยังท่าเดินข่มธรณีนั่นอีก
เคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่ถือกันนักว่าพวกนี้อายุไม่ยืน แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้เดินตามคนที่เดินตามกันมาก่อน
ในอึดใจนั้น
เหมือนความหลังครั้งเก่าประดังพรั่งพรูขึ้นอีกครา
ชายตรงหน้ายามเดินไม่เคยจูงมือเธอเคียงข้าง เหตุผลคือเมื่อภัยอันใดมาเยือนเขาจะได้ปะทะกับมันก่อน
คนเดินตามยังเคยล้อ
"...แล้วถ้า... มันมาลอบกัดข้างหลังเราจะได้ตายก่อน งั้นละหรือ?"
แต่... ก่อนที่เขาและเธอจะได้เดินไปพร้อมกัน ความพลัดพรากก็บังเกิด ความจริงยังย้ำเตือน เขาล่วงหน้าไปก่อน ...เหมือนเคย
พวกผู้หญิงมองตามสองหนุ่มนั่นโดยไม่พูดอะไร แล้วรตีก็ขอตัวไปดูแลเพื่อนๆ ศรีตาคลี่ผ้าเต็นท์ ขณะที่วีณาเริ่มรวบรวมสัมภาระของกลุ่ม
"เลือกสักคนไม่ได้เหรอวี ฉันจะได้ขอคนที่เหลือ"
ทั้งที่ยังก้มหน้าก้มตาสอดแกนโลหะเข้าเป็นโครงโค้ง ศรีตาก็เปิดประเด็นขันๆ อันเป็นประเด็นที่ใช้หยอกเย้ากันอยู่เป็นประจำ
"เธอก็เลือกเอาสิ เขาไม่ใช่ของชั้นทั้งสองคนนั่นแหละ คนนึงก็หนอนตำรา วันๆ จมอยู่กับอดีต กับบันทึกโบราณเป็นบ้าเป็นหลัง อีกคนนึงก็บ้าขุด ค้นจนพรุนหมดแล้วมั้ง แถวราชรีกาญจน์บุรีนี่ ไม่รู้จะหาอะไรกันนักหนา ไอ้เราก็ตะลอนๆ ตามมันไป ก็อีหรอบเดียวกันกะเธอละน่ะ"
"เหอะน่า ก็ทริปนี้ตานั่นไม่ได้เป็นพ่อพระลอดิลกราช ให้พระเพื่อนพระแพงอย่างเราขนาบข้างแล้วนี่นา อีตาณพของเธอก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ นี่ถ้าสูงอีกนิดนะ อังกฤษก็อังกฤษเถอะว้า กินคุณอรรณพของชั้นไม่ลงเด็ดขาด"
ศรีตาตอบคำอย่างอารมณ์ดี เธอเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างห้าว และไร้เสน่ห์หญิงในสายตาของเพื่อนคนอื่นๆ จะมีก็แต่วีณานี่เท่านั้น ที่มั่นใจว่ารูปลักษณ์ของเพื่อนคนนี้เท่านั้นหรอกที่ไม่สวยงาม แต่น้ำใจและความเป็นกุลสตรีของเพื่อนนั้นเพียบพร้อมไม่อายใคร
สองสาวช่วยกันยึดสมอบกที่มุมเต็นท์เสร็จ ก็ยืดหลังขึ้นตรงๆ ศรีตาทำท่าจะบิดขี้เกียจ แต่ก็เหยียดแขนค้างอยู่เหนือหัว จนวีณาต้องหันมองตามสายตาของเพื่อนไป
ที่ลานโล่งเหลือเพียงแสงสลัวราง จุดที่ตามไฟคงเป็นบ้านเรือนของชาวหมู่ แต่สนามหญ้ากว้างโล่งก็ยังคงมืดมิด
เลยเงาร่างที่เดินอยู่เกือบสุดสนามนั่น แสงจากในอุโบสถเต้นระริก ก่อเป็นเงาใหญ่โต ทอดทาบออกมาตรงพื้นนอกหน้าต่างบานสูง
เสียงสวดมนต์กระชั้นชัดเจน
"ทำไมพวกนั้นไม่เข้าไปในโบสถ์"
คนที่ยังยกแขนค้าง พึมพำถาม
"ก็ทำวัตร เขาไม่ให้ใครเข้าไปไม่ใช่เหรอ"
คนตอบให้ความเห็นอย่างเลือนรางเต็มที
"แล้ว ทำไมเขาไปยืนล้อมกันอยู่อย่างนั้นล่ะ ยืนนิ่งพนมมือเหมือนจะฟังพระท่านด้วยนะนั่น"
คราวนี้ศรีตาต้องเดินมายืนชิดกับเพื่อน แล้วมองตามสายตากันไป
"นั่นสิ... แล้วนั่น... นั่นไง สงสัยจะพวกชาวบ้าน ที่เดินไปกับคุณอังกฤษคุณอรรณพของเธอน่ะ"
เงาร่างของคนที่เดินไป จนถึงเกือบสุดสนามฟากโน้น บอกได้เพียงแค่นั้น
"ไอ้คนเดินโยกๆ นั่นคืออังกฤษแน่ละ ส่วนตัวเล็กผมไหวๆ นั่นก็อรรณพ แล้ว? โห!... ผู้หญิงอะไรตัวสูงกว่ากฤษ หรือว่าเป็นผู้ชายแต่ไว้ผมยาว ไม่ได้สวมเสื้อด้วยใช่ไหมน่ะ"
ก่อนที่ศรีตาจะสังเกตรายละเอียดอะไรได้มากกว่านั้น ร่างทั้งสามก็จมหายเข้าไปใต้เงาของหอระฆังเสียแล้ว
อยู่ๆ ทั้งฟ้าก็ลั่นครืน!
แสงฟ้าแลบ แปลบปลาบอยู่ตามปลายเมฆ
สองสาวละสายตาจากหมู่เงาดำมืดสุดสายตา แหงนหน้าขึ้นมองฟ้าพร้อมกัน
เมฆทะมึนม้วนตัวข่มทับ ถมกันเข้ามาจากทุกทิศ ทุกครั้งที่สายฟ้าฟาดไปในฟ้า ก็เหมือนหมู่เมฆจะยิ่งกรู กลุ้มรุมกันเข้ามาเหนือบริเวณ
เสียงคำรามสะท้อนสะท้านราวสมใจ ฝนยังไม่ลงเม็ดแต่อากาศกลับเย็นเยียบ ลมบนนั้นคงปั่นป่วน แต่ยอดหญ้าไม่ได้กระดิกไหว ยอดไม้เพียงโอนเอนน้อยๆ เหมือนต้องลมรำเพย
ดูเหมือนว่า วงเมฆจะเว้นช่องให้เดือนใกล้เต็มดวง ได้ส่งแสงทรงกลด ลงมาเฉพาะตรงอุโบสถนั่น
"เราตามพวกเขาไปดีไหมวี"
ศรีตากระสับกระส่ายกับสภาพบรรยากาศแปลกๆ ขนลุกเกรียว และรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เสียงที่ถามออกไปนั้น เหมือนอยากวิ่งตามไปหาผู้คุ้มครองมากกว่าจะเป็นห่วงเพื่อน
"เป้ที่กฤษสะพายไปนั่นมีเสื้อกันฝนอยู่สองชุด ไม่เป็นไรหรอก เราช่วยกันขยับเต็นท์หลบฝนกันก่อนเถอะ"
"แล้วไอ้เมฆที่มันรวมตัวกันแปลกๆ นั่นล่ะ"
คนอยากจะวิ่งหนี ระงับความกลัวไว้ไม่ได้อีกต่อไป เสียงจึงสั่นรัวแหบพร่าโดยไม่อาจบังคับได้
"เขตหลังภูเขา... เงาฝนแบบนี้ ทางลมก็คงจะผันผวนแปลกๆ ตา ไปเท่านั้นเอง"
วีณาปลอบเพื่อนพร้อมกับปลอบใจตัวเอง
****************
เมื่อวันที่ : ๑๗ มี.ค. ๒๕๕๒, ๑๔.๐๘ น.
เคยลงไว้เมื่อนานมาแล้ว
ในนาม ไวท์ไวน์ นะครับ
ถึงเวลาที่ต้องเขียนให้จบเสียที
ขออภัยที่ทิ้งไว้นาน และขอบคุณสำหรับการติดตาม
บ่วงอุรคา เรื่องนี้นะครับ