![]() |
![]() |
pilgrim![]() |
ตอน : เที่ยวญี่ปุ่นแบบวุ่นเล็กๆ (8. ปราสาทโอซาก้า...แปดชั้น เดินสบายได้ด้วยลิฟต์)
เอาละค่ะ เดินมาจนขาแข็ง คราวนี้ เราก็เข้าปราสาทกันได้ซะที![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
น้องป๊อบเริ่มทำตัวบิดๆเบี้ยวๆ ไม่ค่อยอยากเดินแล้ว
พอย่างเข้ามาในบริเวณปราสาท ก็อย่าคิดว่าจะเข้าได้ง่ายๆ นะคะ เรายังต้องเดินตัดผ่านลานปราสาท หรือที่เรียกว่า courtyard กันอีกหน่อย คราวนี้ก็เริ่มตื่นตาตื่นใจกับสีสันของใบไม้ต้นไม้กันแล้ว
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ต้นแปะก้วยเหลืองสวย
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
แปะก้วยกับสีสันของดอกไม้จัดแต่ง
แถมยังมีดอกไม้สวยๆ นำมาตกแต่งประดับประดาเพิ่มสีสันให้กับฤดูกาลอย่างสดสวย ชาวญี่ปุ่นช่างคิด ช่างทำไม่รู้จบ แม้จะปลูกต้นไม้ ดอกไม้สักต้น ก็ยังนำมาดัดมาโค้ง จนต้นไม้ออกมาเป็นรูปร่าง งาม แปลกตาอย่างมีศิลปะ
ประตูทางเข้า มีพุ่มดอกไม้ธรรมชาติดัดเป็นรูปร่างตั้งอยู่สองข้าง
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
มาดูกันใกล้ๆ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
มาดูเบื้องหลัง
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ดอกไม้นำมาจัดเป็นเนินภูเขาย่อมๆ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
หลังจากเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปภายนอกแล้ว เราก็เคลื่อนตัวซื้อตั๋ว เข้าชมปราสาทกัน
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ปราสาทโอซาก้า
ฉันน่ะ แหงนคอดูความสูงใหญ่ อลังการของปราสาทแล้ว ก็ได้แต่นึกดีใจที่หลานปิ๊กบอกว่า ปราสาทแห่งนี้ มีลิฟต์พาคนขึ้น ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องตะกายปีนขึ้นไปทีละชั้น เหมือนตอนที่ไปปีนปราสาทฮิเมจิกัน
เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถง พนักงานสาวสวยก็ผายมือเชื้อเชิญให้เราเข้าไปในลิฟต์ ฉันเองประทับใจกับวัฒนธรรมการต้อนรับของญี่ปุ่นเสียจริง เพราะพวกเขาจะสุภาพ อ่อนน้อม และยิ้มกว้างขวาง จริงใจมาก
สาวน้อยญี่ปุ่นเชื้อเชิญให้เราออกจากลิฟต์ที่ชั้น 5 แต่ปราสาทมี 8 ชั้น นั่นหมายความว่า เราต้องตะกาย....เอ๊ย...ปีนบันไดขึ้นไปอีก 3 ชั้น
ไม่เป็นไร...แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว
หลักการชมก็คือ เราต้องเดินขึ้นไปถึงชั้นยอดแล้วค่อยๆ เดินลงมาชมชั้นล่างไปเรื่อยๆ จนถึงชั้นล่างสุด
เราก็ป่ายปีนกันขึ้นไปทันที ชั้นบนสุดมีพื้นที่ไม่กว้างขวางเท่าใดนัก มีระเบียงออกไปเดินรอบๆ ได้ให้เราออกไปชมวิว
เมื่อเราออกไปดู ก็ได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสี หลากสีสันเหลืองลออ แดงอร่าม เขียวสะอ้านล้อมรอบปราสาท
เป็นภาพมหัศจรรย์อีกภาพหนึ่งที่โลกได้แสดงให้ฉันได้ชม
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ทิวใบไม้หลากสีเบื้องล่าง
หลังจากนั้น เราก็เดินชมลงมาทีละชั้น
ฉันชอบชั้นที่มีการจัดแสดงนิทรรศการ 3 มิติ คล้ายๆโฮโลแกรมและเลเซอร์ปนกัน ฉายลงมาที่ฉากเบื้องหลัง เป็นประวัติของ Toyotomi Hideyoshi ขุนศึกผู้สร้างปราสาทขึ้นในปี ค.ศ.1583 บนพื้นที่เดิมซึ่งเคยเป็นวัดมาก่อน แต่ Hideyoshiกวาดล้างอำนาจพระ แล้วสร้างปราสาทขึ้นเป็น 8 ชั้น เพื่อเป็นศูนย์กลางสัญลักษณ์อำนาจใหม่ในศตวรรษที่ 16 ตัวปราสาททำจากหินและมีคูน้ำล้อมรอบ นับว่าแข็งแรง ทนทานและยากที่ศัตรูจะตีให้แตกพ่าย
หลังจากสิ้นสมัยของ Hideyoshi ในปี ค.ศ. 1598 ปราสาทก็ตกเป็นมรดกตกทอดมาถึงลูกชาย คือ Toyotomi Hideyori ซึ่งครองอำนาจอยู่ได้เพียง 2 ปี ก็ถูกรุกรานโดย Tokugawa Ieyasu โชกุนอีกสำนักหนึ่ง จากนั้น Ieyasu ก็เริ่มโจมตีปราสาทโอซาก้ามาเป็นระยะ
ตามประวัติกล่าวว่า Hideyori เองก็สู้อย่างแข็งขันแม้จะมีไพร่พลน้อยกว่า แต่ก็สามารถเอาชนะ Ieyasuได้
จนกระทั่งปี ค.ศ. 1615 กำลังพลของ Hideyori ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อกองทหารของ Ieyasu ทหารของ Hideyori เพลี่ยงพล้ำขณะที่ระดมกำลังกันออกไปนอกปราสาทเพื่อไปขุดคูน้ำให้ลึกขึ้น และแล้วปราสาทโอซาก้าก็ตกเป็นของตระกูล Tokugawa นับแต่นั้นมา
ภายในปราสาท แสดงภาพประวัติการก่อสร้าง และภาพสงครามได้อย่างน่าดูชม
น่าชมขนาดไหน เรามีตัวชี้วัด คือ น้องป๊อบ เพราะน้องป๊อบเดินชมนิทรรศการได้อย่างไม่รู้เบื่อ โดยที่พวกเราคอยเล่าให้แกฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนแกจะชอบเรื่องราวของการสู้รบ แย่งชิงอำนาจกันในสมัยโบราณ เป็นที่ประทับใจเด็กๆ มาก
หลังจากกลับจากปราสาทโอซาก้าแล้ว น้องป๊อบก็ยังพูดถึงปราสาทอยู่ไม่หยุดปากเลย
ปราสาทโอซาก้าก็ผ่านร้อน ผ่านหนาวมาหลายครั้ง นับตั้งแต่ถูกฟ้าผ่าในปี ค.ศ. 1665 จนหอคอยใหญ่ไหม้เรียบ และไม่มีผู้ใดเหลียวแลอีกต่อไป
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1843 จึงได้มีการซ่อมแซมปราสาทขึ้นมาใหม่ แต่หลังจากนั้นไม่นาน ในปี ค.ศ. 1868 ปราสาทก็ถูกเผาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้โดยฝีมือมนุษย์ เนื่องในเหตุการณ์สงครามกลางเมืองระหว่างการฟื้นฟูราชวงศ์เมจิ
จากนั้น ปราสาทโอซาก้าก็ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นกองทหารที่ญี่ปุ่นเลียนแบบการจัดตั้งกองทหารแบบตะวันตก และได้มีการซ่อมแซมหอคอยใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง ในปี ค.ศ.1928
แต่แล้ว ในสงครามโลกครั้งที่สอง หอคอยใหญ่ที่ซ่อมแซมไว้ ก็กูกระเบิดจนเสียหายอีกครั้งในปี ค.ศ. 1945
จนมาถึงปี ค.ศ. 1995 รัฐบาลก็ตัดสินใจบูรณะปราสาทอีกครั้ง กล่าวกันว่า ดูภายนอกปราสาทก็ดูเหมือนปราสาทที่มีศิลปะแบบเอโดะ แต่ภายในปราสาทนั้น แทบจะไม่รู้เลยว่านี่คือปราสาทโบราณ เนื่องจากการถูกแปลงรูปแปลงร่างไปมาก ที่เห็นกันจะๆ ก็คือ ปราสาทนี้ มีลิฟต์ให้เราขึ้นจ้ะ กันเมื่อยขา แต่เวลาลง เขาจะให้เดินชมนิทรรศการลงมาเองนะจ๊ะ ทีละชั้น
ก็ยังดีนะ...ขาขึ้นเร็วหน่อย ขาลงก็ตามอัธยาศัยค่ะ.....
ปราสาทโอซาก้าในปัจจุบัน จัดเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นค่ะ
ที่ปราสาทแห่งนี้ มีร้านขายของที่ระลึก ดักไว้ทั้งชั้นบนสุดและชั้นล่างสุด ฉันลองเข้าไปดูราคาแล้ว ราคาขายเท่ากัน ก็เลยได้อุดหนุนซื้อของที่ระลึกทั้งสองแห่ง
นี่คือ ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของญี่ปุ่นที่ฉันชอบ คือ ราคาของที่ระลึกที่ขายตามสถานที่ ท่องเที่ยวต่างๆ จะไม่แตกต่างกันมากเลย ของประเภทเดียวกัน ซื้อที่ไหนก็จะได้ราคาประมาณพอๆ กัน
เรียกว่า ไม่เสียอารมณ์
ฉันเคยไปเที่ยวเมืองจีน กับอินโดนีเซีย (แถมไทยด้วยก็ได้ เอ้า) ของที่ระลึก ตอนลงจากรถ สมมุติว่าขายสี่อันร้อย แต่พอรถใกล้จะออก จะลดกระหน่ำเหลือแปดอันร้อยก็ยังมี
เรียกว่าจะซื้อของเอง ต้องต่อราคากันทุกขณะจิต เพราะไม่งั้น อาจจะเสียเงินมากกว่าเพื่อน
ฉันเคยไปเที่ยวที่ตลาดชายแดนเชียงราย-แม่สาย-ท่าขี้เหล็กเมื่อสักสิบกว่าปีที่แล้ว ยังจำคำของคุณไกด์ได้มาจนบัดนี้ คุณไกด์บอกว่า
"กระผมจะขอร้องทุกท่านครับ ว่า ไม่ว่าจะซื้อของร้านไหน ให้ต่อราคาเยอะๆ ครับ ครึ่งๆ บางทียังไม่พอ ให้ต่อกระหน่ำเข้าไว้ นึกว่าสงสารคนที่มาเที่ยวทีหลังจากท่านเถิดครับ เพราะถ้าท่านไม่ต่อ พ่อค้า แม่ค้าที่ขายของอาจจะขายท่านเจ้าเดียวแล้วรวย เลยปิดร้าน เลิกขายแล้ววันนี้ แล้วนักท่องเที่ยวที่มาทีหลังท่าน จะไม่มีอะไรซื้อครับ"
เป็นไงล่ะคะ สำนวนของคุณไกด์ แสบๆ คันๆ ดีจริง
ดังนั้น มาช้อปปิงที่ญี่ปุ่นจึงค่อนข้างสบายใจค่ะ
แต่ก็ไม่ต้องกังวลนะคะ คนที่แกล้งทำตัวเป็นเศรษฐีอย่างฉัน ก็ไม่สามารถจะซื้ออะไรได้มากหรอกค่ะ....อิๆๆๆๆๆๆ
เดินชมก็แล้ว ซื้อของก็แล้ว ก็บ่ายหน้ากลับสถานีรถไฟกัน เพื่อไปยังจุดหมายต่อไป
ว่าแล้วก็เดินกลับค่ะ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ใบไม้เปลี่ยนสีตามทางเดินกลับ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ไกด์หิวอีกแล้วค่ะ ไปหาอาหารกลางวันกินก่อนนะคะ.....

เมื่อวันที่ : ๒๘ ส.ค. ๒๕๕๑, ๑๒.๒๑ น.
คิดถึงญี่ปุ่นเหมือนกันนิ...ไม่เคยเข้าไปปราสาทที่เมืองโอซาก้า น่าเสียดายจริงๆ..
นา.....น มากเลยที่ไม่ได้เข้ามาอ่าน.. พี่พิล ยังเป็นนักเดินทางเหมือนเดิมเลยนะคะ...แล้วอย่าลืมหม่ำทาโกะยากิ เผื่อแสนรักด้วยนะคะ...ฮ่าๆๆ อยากินๆ