![]() |
![]() |
ปักษิณ![]() |
...ฉันทวัฒน์กลับเข้ามาบ้านอัสดงคตอีกครั้ง ในตอนเอาเกือบบ่ายสองโมง เพราะในทันทีหลังจากที่เขาทราบเรื่องราวของผู้เป็นลุงในตอนเช้าแล้ว เขาก็รีบตามเ...
ตอน : สิ่งซ่อนเร้น
ฉันทวัฒน์กลับเข้ามาบ้านอัสดงคตอีกครั้งในตอนเอาเกือบบ่ายสองโมง เพราะในทันทีหลังจากที่เขาทราบเรื่องราวของผู้เป็นลุงในตอนเช้าแล้ว เขาก็รีบตามเข้าไปเยี่ยมเพื่อที่จะขอประกันตัว แต่คดีนี้เป็นคดีเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของประเทศชาติและค่อนข้างสะเทือนขวัญประชาชนโดยเฉพาะเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่เสียชีวิตล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลสำคัญในแวดวงการเมือง ซึ่งมีทั้งรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รวมไปถึงพ่อค้าระดับบิ๊กในวงการส่งสินค้าออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ
ทางการตำรวจจึงถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์ห้ามประกันในชั้นต้นทั้งนี้เพื่อที่จะรักษารูปคดี!
อีกอย่างผู้ต้องหาสำคัญทั้งสองคนและผู้ต้องหาที่ถูกจับอันเกี่ยวข้องกับคดีเดียวกันก่อนหน้านี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงทั้งสิ้น!
ทองตีบได้รายงานให้ฉันทวัฒน์ทราบทางโทรศัพท์ก่อนหน้านี้แล้วว่า ได้มีผู้ถือวิสาสะบุกรุกเข้ามาในบ้านในขณะที่เขากำลังเดินทางไปเยี่ยมผู้ต้องหาผู้เป็นลุง
หลังจากที่ตรวจดูความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว ปรากฏว่าสิ่งของส่วนมากทุกอย่างยังอยู่ครบถ้วนบริบูรณ์ไม่ได้มีสิ่งใดขาดหายไป ชายหนุ่มจึงคิดว่ายังไม่ควรแจ้งความให้ตำรวจทราบเพราะดูเรื่องราวจะยิ่งไปกันใหญ่ในเมื่อผู้เป็นลุงของเขาเองกำลังถูกดำเนินคดีอยู่ด้วยแล้ว สู้เก็บเป็นความลับและพยายามสืบเสาะหาร่องรอยเอาเองเสียยังจะดีกว่า
ฉันทวัฒน์ไม่เคยปักใจเชื่อเลยว่านายพลเอกฉัตร ชาญสงครามจะเป็นผู้บงการเองเพียงคนเดียวหรือเป็นตัวการใหญ่ โดยเขาคิดว่าคงมีเรื่องราวลึกลับซับซ้อนให้ได้ติดตามแก้ไขในอนาคตอย่างแน่นอน
เขาถามทองตีบเกี่ยวกับตัว พ.ต.อ.ไกรสรบิดาของบุปผชาติว่าเป็นคนอย่างไร พอที่จะไว้เนื้อเชื่อใจให้ช่วยสืบสาวราวเรื่องต่างๆได้บ้างหรือไม่?
ทั้งนี้เพราะเขาเคยได้ทราบเรื่องราวว่าท่านผู้นี้มีอดีตเป็นถึงผู้การกองปราบปรามสังกัดหน่วยปราบปรามพิเศษของสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาก่อน
"ลุงทองตีบคิดว่าท่านผู้การท่านจะยอมรับเพื่อที่จะช่วยสืบเรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับคดีของคุณลุงฉัตรของผมในครั้งนี้ให้กระจ่างแจ้งไหมครับ?"
"ผมคิดว่าด้วยเหตุผลของความบริสุทธิ์ใจที่คุณฉันอ้างมานี้ท่านคงจะยอมรับช่วยเหลืออย่างแน่นอน"
"แต่ท่านคือผู้ที่พา นปพ.ไปตามจับพันโทราชันย์และคุณลุงฉัตรมิใช่หรือครับลุงทองตีบ?"
"ใช่นะใช่อยู่..แต่ท่านก็ทำตามความจำเป็นเพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองหรอกนะครับ ท่านผู้การไม่ได้มีอคติกับใครทั้งสิ้น เพราะตั้งแต่ผมรู้จักและคบกับท่านมานานนั้นทำให้ผมรู้จักและเข้าใจในตัวท่านได้เป็นอย่างดีทีเดียว..เชื่อผมเถอะครับ"
"ถ้าอย่างนั้นผมก็เห็นทีจะต้องไปขอร้องท่านให้ช่วยเสียแล้วล่ะครับ..อ้อ!..ลุงทองตีบครับเห็นทีว่าผมคงต้องฝากเจ้ามะลิไว้กับลุงสักวันสองวันอีกแล้วละครับ"
"คุณฉันจะไปไหนหรือครับ?"
"ผมมีเรื่องด่วนที่จำเป็นจะต้องสะสางให้เสร็จเรียบร้อยก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป"
"คุณฉันจะไปเมื่อไหร่ครับ?"
"ไปเดี๋ยวนี้เลยทีเดียว!"
"ไปเดี๋ยวนี้นะหรือครับ?"
"ใช่แล้ว ผมต้องรีบไปจัดการด่วนเสียแล้วละครับ"
ทองตีบใจหายวูบเมื่อเห็นฉันทวัฒน์หยิบเอาพ็อกเก็ตบุ๊คสองเล่มที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงใส่กระเป๋าสะพายใบเก่งไปด้วยก่อนที่ชายหนุ่มจะขับรถจากไป
เจ้ามะลิยืนตาแป๋วเอียงคอมองเจ้านายจากไปด้วยดวงตาแสดงความพิศวง...
*********
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ชายหนุ่มเลี้ยวรถเข้าไปในบ้านของนายพลเอกฉัตร ชาญสงครามผู้เป็นลุง อันเป็นที่ตั้งของสำนักงานของมูลนิธิมั่นคงดำรงไทยซึ่งบัดนี้ได้ปิดตัวลงชั่วคราวตามคำสั่งด่วนของรัฐบาล
ทุกอย่างภายในบริเวณบ้านจึงเงียบสนิท เขาเดินตรงไปยังเรือนคนใช้ซึ่งปลูกอยู่ติดกันทางด้านหลัง ชายหนุ่มมองเห็นป้าแสร์แม่ครัวและลุงเจียกคนทำสวนกำลังยืนคุยอะไรกันอยู่ข้างซุ้มกระดังงาคล้ายคนกำลังถกเถียงกันอย่างหน้าดำหน้าแดง
"แกไม่ต้องมาแก้ตัวตาเจียก ข้าเห็นนะว่าแกยืนซุบซิบอะไรกับเขาก่อนเกิดเรื่อง"
"ก็ข้าบอกแม่แสร์แล้วไม่ใช่หรือว่าท่านสั่งเอาไว้ให้บอกรายละเอียดแก่เขาไปให้หมดว่ามีอะไรเกิดขึ้น"
"แล้วเป็นไง..ผลมันก็ทำให้ห้องถูกรื้อค้นละเอียดกระจุยกระจายเสียจนไม่มีชิ้นดีเลยทีเดียว สมน้ำหน้าดีไหมล่ะ?"
"ใครรื้อค้นอะไรหรือครับ..ป้าแสร์?"
"คุณฉันลองถามตาเจียกดูเอาเองเถิด เพราะเขารู้อะไรดีกว่าป้า!" ป้าแสร์ตอบชายหนุ่มพลางค้อนลุงเจียกควับใหญ่ทำท่างอนตุ๊บป่องประดุจสาวรุ่น
"คืออย่างนี้ครับคุณฉัน..เมื่อครู่นี้เอง..." ลุงเจียกเริ่มอารัมภบท
"เมื่อครู่นี้เองหรือ?" ชายหนุ่มทวนคำพร้อมกับใจหายวูบนึกหวนกลับไปถึงห้องของตัวเองที่เพิ่งถูกรื้อค้นขึ้นมาทันที
"ครับเมื่อครู่นี้เอง ก่อนหน้าที่คุณฉันจะมาถึงสักครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ครับ ท่านอดีตรัฐมนตรีคุณพ่อของคุณราชันย์มากับคนขับรถ บอกว่าท่านสั่งให้มาเอาของที่อยู่บนโต๊ะทำงานในห้องทำงานของท่านที่สำนักงานมูลนิธิด้านหน้า ผมเห็นท่านทั้งสองเป็นเพื่อนเก่าแก่กันมานาน ก็เลยให้เข้าไป พวกเขาเอากุญแจมาเองด้วยซีครับ ไขประตูเข้าไปเฉยเลย"
เมื่อได้ยินว่าพวกเขาเอากุญแจไขเข้าไปเองด้วย ทำให้ชายหนุ่มยิ่งอดเฉลียวใจไม่ได้จึงรีบก้าวเดินนำหน้าราวกับจะวิ่งตรงไปยังห้องทำงานของมูลนิธิมั่นคงดำรงไทยอย่างรวดเร็ว
"แค่เข้าไปเอาของทำไมถึงได้รื้อค้นจนเละอย่างนี้ด้วยล่ะลุงเจียก?"
ชายหนุ่มหันมาถามลุงเจียกและป้าแสร์ที่วิ่งไล่ตามมาติดๆ
"ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรในเมื่อนายวิชัยคนขับรถมันตามคุมตัวผมแจจนกระดิกกระเดี้ยไปไหนไม่ได้เลย"
"สมน้ำหน้า..ที่แกเสือกปากดีนักตาเจียก" ป้าแสร์ยังไม่วายพูดกระทบกระแทกอย่างแค้นเคืองปนงอนอยู่กลายๆ
"โธ่แม่แสร์ก็..ตอนนั้นมันกำลังหน้าสิ่วหน้าขวานใครจะไปรู้ว่ากระสุนปืนมันจะลั่นเปรี้ยงปร้างออกมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้?"
"เอาล่ะๆ..ถึงอย่างไรเรื่องมันก็เลยมาถึงป่านนี้แล้ว เราอย่ามัวถกเถียงกันอยู่เลย สู้เรามาช่วยกันหาทางแก้ไขเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตวันข้างหน้าจะดีกว่า.."
"ถ้ามีใครมาหาอีกป้าจะไม่ยอมให้เข้ามาเหยียบภายในบริเวณบ้านได้เลย..คุณฉันคอยดูสิ!"
"เอายังงั้นเลยเชียวรึแม่แสร์?"
"ใช่..ตาเจียก ข้าจะไม่ยอมให้ใครเข้ามาในบ้านอีกเป็นอันขาด"
"ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้หรอกครับป้า เอาเป็นว่าขอเพียงแค่ให้โทรถามเช็คกันให้แน่นอนก่อนที่จะอนุญาตให้ใครเข้ามาในบริเวณบ้านเท่านั้นก็พอแล้วล่ะครับ"
"เดี๋ยวผมจะเอาป้ายห้ามเข้าไปปิดที่หน้าทางเข้าสำนักงานเอง" ลุงเจียกกล่าวรับรองอย่างแข็งขัน
"ขอบคุณครับลุงเจียก แล้วช่วงที่ผมกำลังเก็บของอยู่นี่อย่าให้ใครเข้ามารบกวนได้เป็นอันขาด"
"ครับ"
"คุณฉันขา..ให้ป้าเข้าไปช่วยเก็บกวาดให้ด้วยดีไหมคะ?" เสียงป้าแสร์เอ่ยปากรับอาสาอย่างกระตือรือร้น
"ไม่ต้องหรอกครับคุณป้า ผมขอเวลาจัดเรียบเรียงข้าวของเอกสารต่างๆเองเพียงคนเดียว ขออย่าให้มีใครเข้ามารบกวนก็พอแล้วล่ะครับ"
"ค่ะ..แล้วเวลาอาหารและของว่างจะให้ป้ายกมาให้ที่อ๊อฟฟิสนี้ดีไหมคะ..คุณฉัน?"
"ได้ครับ..ขอบคุณครับคุณป้า"
*********
หลังจากที่เก็บข้าวเก็บของให้เข้าที่เข้าทางอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง บังเอิญมือของชายหนุ่มก็ไปสะดุดเข้ากับพรมเช็ดเท้าเปอร์เซียผืนเล็กซึ่งปูอยู่ตรงที่วางเท้าใต้โต๊ะทำงานของท่านนายพลเอกฉัตร เมื่อเขาเลื่อนพรมออกก็เผยให้เห็นร่องรอยคล้ายกับเป็นช่องเก็บของเล็กๆ โดยมีหูหิ้วบานพับเล็กจิ๋วไว้สำหรับดึงขึ้นเพื่อให้ฝากระดานที่เรียบเป็นเนื้อเดียวกันกับพื้นไม้ปาร์เก้นั้นเปิดออก
ฉันทวัฒน์ค่อยๆบรรจงดึงหูหิ้วทั้งสองด้านให้ฝาเปิดขึ้นพร้อมกัน...
ชายหนุ่มก็ต้องตะลึงงันกับสิ่งของที่มองเห็นอยู่ภายในช่องสี่เหลี่ยมนั้น...
มันคือทองคำแท่งที่เรียงอัดแน่นอยู่จนเกือบเต็มถึงฝากระดานด้านบน เว้นช่องไว้ข้างบนทองแท่งนั้นเพียงเล็กน้อยคือกล่องใส่แผ่นดิสก์หรือแผ่นซีดีขนาดจิ๋ว...
อันเป็นขนาดเดียวกันกับที่ฉันทวัฒน์ใช้นำไปเปลี่ยนกับกล้องวิดีโอที่เขาได้ไปติดตั้งไว้ตามสถานที่ต่างๆที่ได้รับคำสั่งมอบหมายเป็นการลับเฉพาะจากท่านนายพลเอกฉัตร ชาญสงคราม
ด้วยความนับถือและไว้วางใจในผู้เป็นลุง ทำให้ฉันทวัฒน์ไม่เคยคิดที่จะโหลดแผ่นเพื่อดูภาพเคลื่อนไหวซึ่งปรากฏอยู่บนแผ่นดิสก์เหล่านั้นเลยแม้แต่สักครั้งเดียว
ฉันทวัฒน์นำกล้องวิดีโอไปติดตั้งตามสถานที่ต่างๆตามคำแนะนำที่ปรากฏระบุอยู่บนแผนผังในจดหมายหนังสือคำสั่งลับก่อนที่เขาจะทำลายหนังสือลับเหล่านั้นทิ้งหลังจากที่ได้อ่านเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว...
นั่นคือข้อกำหนดในการปฏิบัติตามหน้าที่ลับเฉพาะกิจที่ได้รับในแต่ละครั้ง...
มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่เขาไม่สามารถที่จะทำได้นั่นก็คือในตอนที่ได้รับคำสั่งให้ไปติดตั้งกล้องวิดีโอที่หน้าบ้านของ สส.อิสเรศและที่ทะเลสาบในหมู่บ้านเมืองอินทร์ธานี อันเป็นสถานที่ซึ่งท่าน สส.ได้นัดพบกับผู้คนอย่างลับๆเป็นประจำ
ทั้งนี้เพราะเขาได้พบกับดวงตาอันละห้อยบ้องแบ๊วของเจ้าข้าวเหนียวเสียก่อนจึงไม่อยากที่จะทำอะไรให้กระทบกระเทือนจิตใจเจ้าหมาน้อยตัวเล็กๆ
เพราะถ้าเขาคือต้นเหตุที่ทำให้เจ้าหมาน้อยต้องพลัดพรากจากเจ้าของแล้วไซร้...
คิดดูเถิดว่ามันจะทรมานหรือโหยหาเจ้าของสักเพียงไหน?
เพียงแค่คิดก็สงสารเจ้าตัวน้อยตาดำๆจนทำอะไรไม่ถูก...
เขาจึงได้ขอสละสิทธิ์ในการปฏิบัติงานในครั้งนั้นอย่างช่วยไม่ได้!
ฉะนั้นด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถที่จะอธิบายถึงความรู้สึกลึกๆเหล่านั้นให้ผู้ใดฟังได้เลยแม้แต่คนเดียว...
นี่คือความผูกพันอันละเอียดอ่อนที่ฉันทวัฒน์มีต่อเจ้าหมาตัวน้อยๆนั่นเอง...
คนกับหมา...หรือ...
คนจูงหมา...!?
*********
เมื่อวันที่ : ๑๑ ก.ค. ๒๕๕๑, ๐๖.๓๔ น.
"สิ่งซ่อนเร้น"