![]() |
![]() |
ปักษิณ![]() |
...นางบุหงา บุษบาและบุปผชาติ รวมถึงคนทั้งหมดในบ้านต่างก็มีความรู้สึกดีใจที่เด็กชายบี๊บถูกช่วยชีวิตออกมาได้อย่างปลอดภัย ทุกคนพากันทยอยไปเพื่อแสดงค...
ตอน : ปาฏิหาริย์...พรชมพู
นางบุหงา บุษบาและบุปผชาติ รวมถึงคนทั้งหมดในบ้านต่างก็มีความรู้สึกดีใจที่เด็กชายบี๊บถูกช่วยชีวิตออกมาได้อย่างปลอดภัย ทุกคนพากันทยอยไปเพื่อแสดงความขอบคุณแก่คณะบุคคลที่เข้าไปช่วยคลี่คลายคดีที่สำคัญนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายคนจูงหมาพร้อมทั้งหมาของเขาที่ได้ช่วยเด็กน้อยเอาไว้ในเวลาที่ฉุกละหุกและเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตอย่างนั้น
หากต่อเมื่อสตรีทั้งสามพร้อมด้วยเด็กชายบี๊บและพิษณุผู้บิดาซึ่งเป็นคนขับรถได้พารถเลี้ยวเข้าไปยังบ้าน 'อัสดงคต' ของฉันทวัฒน์ ก็พลันปรากฏว่าชายหนุ่มไม่อยู่บ้านเสียแล้ว!
โดยชายหนุ่มได้บอกกับทองตีบก่อนออกเดินทางอย่างรีบเร่งว่าจะไปธุระเหมือนเคยด้วยรถมอเตอร์ไซค์ยามาฮ่าฟีโน่ตามปกติที่เคยปฏิบัติมาตลอด เขาไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้ จนกระทั่งป่านนี้ยังไม่กลับถึงบ้านเลย!
สร้างความผิดหวังให้กับทุกคน แต่สำหรับบุปผชาติแล้วเธอให้รู้สึกคลางแคลงใจเป็นอย่างมาก ว่าทำไมชายหนุ่มจึงต้องใช้รถมอเตอร์ไซค์ในการทำงาน ทั้งๆที่มีรถยนต์ให้เลือกใช้อีกตั้งสองคัน?
ฉะนั้นหลังจากที่ทุกคนพากันกลับมาบ้านกันหมด บุปผชาติจึงแยกตัวออกมานั่งเงียบๆเพียงผู้เดียวอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน...
ภายใต้ห้วงคิดคำนึงแห่งจินตนาการ...
ถึงเรื่องเกี่ยวกับ 'คนจูงหมา' แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น!
หรือว่าธุระที่เขาออกไปทำนี้มันช่างลึกลับซ่อนเร้นเสียหนักหนา?
ขนาดเธอและบิดาพร้อมทั้งนายทองตีบได้สะกดรอยตามไปถึงสองวันติดๆกัน ก็ยังไม่สามารถที่จะพิสูจน์ได้เลยว่า งานที่เขาไปปฏิบัตินั้น ว่ามันคืออะไรกันแน่?
มันช่างลึกลับเสียจนไม่มีใครที่จะรับรู้หรือสัมผัสได้เลยกระนั้นหรือ?
ถ้าหากเปรียบชายหนุ่มคนจูงหมานี้เป็นเช่นฆาตกร เขาก็เป็นฆาตกรที่มีฝีมือร้ายกาจปานพญายมนั่นเทียว!
บุปผชาติเสียววูบเข้าไปถึงขั้วหัวใจ เมื่อนึกมาถึงตอนนี้!
คนอะไร..ช่างใจคอโหดเหี้ยมฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็นถึงปานนั้น!
ทำตัวประหนึ่งว่าตัวเองเป็นเพชฌฆาตฆ่าแกงเอาชีวิตผู้คนได้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวเลยสักนิด...
คนที่ออกคำสั่งกำหนดชะตาชีวิตคนอื่นนั้นก็ช่างโหดร้ายเหลือ ไม่ได้คิดถึงว่าถ้าเป็นตัวเองโดนเข้าอย่างนั้นบ้าง จะมีความรู้สึกเช่นไร?
"ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวงจงโปรดปราณี ขอให้เพชฌฆาตโฉดจงอย่าได้เป็น..นาย 'คนจูงหมา' ผู้นี้เลย..ขอได้โปรดช่วยลูกด้วยเถิด"
บุปผชาตินึกภาวนาเงียบๆอยู่ในใจเพียงคนเดียว
*********
๑๑.๐๐ นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น
ยุวดีเลขานุการิณีของฉันทวัฒน์ได้โทรศัพท์มาบอกบุปผชาติเรื่องกำหนดนัดหมายให้เธอเข้าบริษัทไปพบเพื่อรับมอบหมายงาน ที่เธอจะต้องเริ่มทำงานต้นเดือนหน้านี้กับ 'บริษัท อัสดงคต โซลาร์ซีสเต็ม จำกัด' ในตอนบ่ายสองโมงตรงของวันนี้
แปลก!..ที่เธอยังคงรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นทุกครั้งที่เธอจะต้องพบหน้ากับนาย คนจูงหมา ผู้ที่มีอำนาจลึกลับบางอย่างนอกเหนือจากความรู้สึกนึกคิดของเธอเองตลอดเวลาอยู่เสมอ
บุปผชาติเองนั้นมีปัญหาคาใจที่อยากจะถามเขาตรงๆหลายเรื่องหลายประการ แต่เธอก็มิกล้าที่จะปริปากเอ่ยถามเขาได้แม้สักครั้งเดียวเลยจนแล้วจนรอด
ครั้งนี้เธอจะต้องคาดคั้นเอาให้รู้เรื่องราวต่างๆที่ค้างคาใจในตัวเขาจนกระจ่างแจ้งทุกประการให้จงได้ แม้ว่าเขาจะโกรธขึ้งเธอหรือตัดเยื่อใยสายสัมพันธ์ประการใดก็จำเป็นต้องยอม
ทั้งนี้ต้องแล้วแต่พรหมกำหนดกฎเกณฑ์เวรชะตาฟ้าลิขิต!
วันนี้เธอแต่งตัวด้วยชุดสีชมพูบานเย็นหวานแหววสะดุดตาเป็นพิเศษ เดิมชุดนี้เป็นของบุษบาพี่สาวคนสวยคนเดียวของเธอ หล่อนยกให้เธอเมื่อเห็นน้องสาวไปยืนเมียงๆมองๆ หยิบจับชุดนี้อยู่ที่ตู้เสื้อผ้าของหล่อนเป็นนานสองนาน
"ชอบชุดนี้หรือบุบ ถ้าชอบพี่ยกให้เธอเอาไหมล่ะ?"
"จริงหรือพี่บุษ?" บุปผชาติทำตาโต
"จริงซี พี่ยกให้บุบจริงๆ พี่ใส่ในงานวันหมั้นกับพี่พิษณุเพียงครั้งเดียวเอง พี่คงไม่ได้ใส่มันอีกหรอก เพราะรู้สึกว่าตัวพี่จะพองขึ้นทุกวัน"
"ไม่เสียดายหรือ..พี่บุษใส่เพียงครั้งเดียวเอง?"
"เสียดายไปก็เท่านั้น เพราะพี่เก็บไว้เพียงเพื่อเป็นที่ระลึกถึงวันหมั้นซึ่งมีเพียงครั้งเดียวเองในชีวิต แต่มาคิดดูอีกทีถ้าบุบได้ใส่ชุดที่พี่เคยคิดว่าสวยที่สุดรักที่สุดแล้วบุบเกิดได้ไปพบเจ้าชายในฝันของบุบ พี่จะมีความสุขมากยิ่งกว่า"
"แหม..พี่บุษพูดราวกับว่าชุดนี้มันมีอาถรรพ์อย่างนั้นแหละ!?"
"จริงๆแล้วพี่ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้หรอกนะ แต่ไหนๆเมื่อบุบถามพี่อย่างนี้ก็ดีแล้ว บุบจะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจบุบเองเถอะนะ แต่ว่ามันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ"
"อ๊ะๆ..โห..พี่บุษอย่าบอกบุบนะว่าใส่ชุดนี้แล้วจะมีปาฏิหาริย์!?"
"ก็ทำนองนั้นแหละ!"
"จริงอ๊ะ?..บุบไม่เชื่อหรอก สงสัยพี่บุษจะยึดติดกับเรื่องของไสยศาสตร์มากไปหน่อยหรือเปล่า?"
"นี่..จะฟังหรือไม่ฟังหือยายบุบ..ของพรรค์นี้ใครไม่เจอกับตัวเองแล้วไม่มีวันที่จะได้รับรู้เป็นอันขาด พูดไปก็เหมือนกันกับโม้?"
"บุบเชื่อแล้วจ๊ะ ใจน้อยไปได้พี่บุษนี่ เล่าไปซีจ๊ะพี่..แฮ่..ชักอยากจะรู้เรื่องราวเสียแล้วซี"
"คือพี่ไปเจอชุดนี้เขาโชว์อยู่ที่ร้าน 'ชมพูพร' ที่ตลาดนครปฐม บังเอิญวันนั้นพี่ไปนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์กับคุณแม่ เจอเจ้าของร้านเขาหน้าตาสวยหวานเชียวเธอเป็นสาวใหญ่ พูดจาไพเราะ"
"อ๋อ..บุบจำได้ร้านที่อยู่ปากทางเข้าตลาดล่างใกล้ร้านข้าวหมูแดงเจ้าอร่อยใช่ไหมพี่บุษ?"
"ใช่แล้วจ๊ะ..ร้านนั้นแหละ เธอเห็นพี่ไปยืนตะลึงดูความงามของเสื้อชุดนี้ตรงตู้โชว์หน้าร้านของเธอ จึงเดินออกมาถามว่า 'ชอบหรือจ๊ะหนู? ถ้าชอบพี่ลดราคาให้เป็นพิเศษ' ไม่รู้อะไรมาดลใจให้พี่เกิดความอยากได้จนตัวสั่นเลยทีเดียว"
"ถึงขนาดนั้นเลยหรือ?"
"ใช่เลย มันเหมือนกับมีความรู้สึกว่า ชุดสวยนี้ควรเป็นของเรา ขนาดนั้นเลยล่ะ พี่ก็เลยถามราคาทันที"
"เป็นเอามาก!"
"พอเขาบอกราคาเท่านั้นแหละ..ยายบุบเอ๊ย.."
"ทำไมหรือพี่?"
"พี่ก็รู้สึกได้ทันทีว่าชุดนี้เหมาะกับพี่อย่างแน่นอน ไม่มีอะไรที่จะสวยงามเทียมได้กับชุดนี้เลยล่ะ นั่นคือสิ่งที่พี่คิดได้ในตอนนั้น และที่สำคัญพี่มีกำลังที่จะซื้อได้พอดี"
"พกเงินไปพร้อมเลยหรือคะพี่บุษ?"
"เพราะพี่พกคุณแม่ที่เป็นธนาคารเคลื่อนที่ไปด้วยต่างหากล่ะ แล้วก็ง่ายอย่างที่คิด คุณแม่โอเค..จ่ายให้หมดเลยด้วย"
"คุณแม่เรานี่ใจป้ำแฮะ?"
"แถมคุณแม่ยังพูดเป็นนัยๆเหมือนกับมีลางสังหรณ์อะไรสักอย่างว่า 'ลูกจะได้พบเนื้อคู่เสียที' ทำเอาพี่หน้าแดงเลยนะตอนนั้น พี่เลยกล่าวตอบสมนาคุณแก่คุณแม่ไปว่า 'ขอให้สมพรปากคุณแม่ด้วยเถิด' เจ้าของร้านชมพูพรได้ยินเธอก็รีบพูดแทรกเสริมขึ้นเลยว่า.."
"เขาพูดว่าอะไรค่ะพี่บุษ?"
"เขายังบอกด้วยว่าชุดนี้เดิมทีเดียวมีคนเขาเอาผ้ามาสั่งตัด พอตัดเสร็จเธอซื้อไปได้อาทิตย์เดียวก็เอามาฝากขายคืนไว้นี่แหละ"
"แหมนึกว่ามีอะไรน่าตื่นเต้น ที่แท้ก็เอาไปใส่ไม่ชอบแล้วเลยเอามาคืน!"
"ตอนแรกพี่ก็ยังสงสัยว่าทำไมสั่งตัดชุดสวยๆแบบนี้แล้วถึงเอามาคืน พอจะเอ่ยปากถามเจ้าของร้านเขาก็ชิงบอกพี่เสียก่อนว่า คนสั่งตัดเขาบอกว่าเขาเอาเสื้อชุดนี้ไปวันแรกก็ไปเจอชายในฝันเลยเชียวแหละ เชื่อไหม? พออีกเจ็ดวันเขาก็แต่งงานกันเลยราวกับเทพอุ้มสมเลยทีเดียว"
"ว้าว! ชุดปาฏิหาริย์"
"พอจ่ายเงินเสร็จพี่กับคุณแม่ก็ออกมาเตรียมตัวเดินทางกลับ เพื่อจะไปขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าองค์พระปฐมเจดีย์เท่านั้นแหละ รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?"
"แหม..ชักจะสนุกเสียแล้วซีคะ เกิดอะไรขึ้นหรือคะพี่บุษ?"
"นึกถึงตอนนั้นทีไร พี่ยังเขินตัวเองไม่หาย" พูดมาถึงตอนนี้หน้าของบุษบาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีตำลึงสุก
"วู้..สงสัยว่าจะมากยิ่งกว่าเขินนะเนี่ย ดูซี..หน้าพี่บุษแดงเป็นกวนอูเชียว!"
"เซี้ยวจริงยัยบุบ..เดี๋ยวพี่ไม่เล่าให้ฟังเสียเลยนี่!"
"ฟังจ๊ะฟัง..ทีนี้บุบจะไม่ขัดคออีกแล้ว"
"พอเดินมาถึงลานจอดรถหน้าพระร่วงโรจนฤทธิ์ พี่ดันทำข้าวของที่หิ้วถือมาพะรุงพะรังหล่นกระจายไปทั่ว รวมทั้งชุดสีชมพูที่เพิ่งซื้อมาใหม่นี้ด้วย คุณแม่งี้..ตกใจร้องเรียกตาเถรเสียงดังลั่นไปหมด"
"ว้าย!..ตาเถรหก!"
บุปผชาติแสร้งทำเสียงเลียนเสียงของมารดาตามที่จำได้ทุกครั้งที่นางบุหงาตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
"ล้อเลียนแม่ตัวเองบาปนะจะบอกให้!" เสียงพี่สาวติงทำเอาบุปผชาตินิ่งเงียบ
"เล่าต่อดีกว่า พี่ก็ขายหน้าจนหยิบจับอะไรไม่ถูก รีบๆหยิบจับเก็บของใส่ถุงเป็นพัลวัน บังเอิญเหลือบไปเห็นมือใครแวบๆช่วยเก็บอยู่ใกล้ๆ พี่ไม่ได้เงยดูหน้าเขาเพราะกำลังรีบ ได้แต่เอ่ยขอบคุณเขาพลางเก็บของไปพลาง จนสุดท้ายเหลือถุงที่ใส่ชุดสีชมพูของพี่ซึ่งขณะนั้นหล่นออกมาอยู่ข้างนอกถุงครึ่งหนึ่ง เขาคนนั้นเป็นคนหยิบเอามายื่นให้พี่เองกับมือ..พอพี่เงยดูหน้าเพื่อกล่าวขอบคุณ บุบเชื่อไหมว่าหัวใจพี่มันทำไมถึงได้เต้นแรงอย่างนั้นก็ไม่รู้ ในตอนนั้นทำเอาประหม่าจนใจสั่นเข้าไปอีก"
"โรแมนติกเชียว!..เป็นตอนที่พระเอกพบนางเอกเข้าให้แล้ว ใช่ไหมล่ะพี่บุษ?"
"เขาบอกพี่ว่าเสื้อชุดนี้สวยหวานจริงๆ และเขาผู้นั้นก็คือพี่พิษณุนั่นเอง พอสายตามันต้องกันทำเอาหัวใจวูบไปเลยแหละ หลังจากนั้นอีกเจ็ดวันเราก็หมั้นกัน เหมือนฝันจริงๆเลยนะเนี่ย..ยายบุบ!"
บุษบาไม่ได้ยินคำพูดใดๆหลุดออกมาจากปากของน้องสาวอีก...
หากเมื่อเธอเหลียวหน้ากลับไปมอง ก็เห็นบุปผชาติกำลังเอามือลูบไล้ชุด พรชมพู นั้นอยู่ด้วยดวงตาเหม่อลอยราวกับตกอยู่ในภวังค์...
*********
เมื่อวันที่ : ๒๗ มิ.ย. ๒๕๕๑, ๑๒.๒๕ น.
ขอตั้งชื่อว่า "คำอธิษฐาน"ค่ะ