![]() |
![]() |
ปักษิณ![]() |
...วันพุธ ๑๗.๓๐ นาฬิกา รถปิ๊กอั๊พสองตอนสี่ประตูสีแดงเข้ม กลางเก่ากลางใหม่แล่นปราดเข้ามาจอดภายในลานจอดรถของบ้านศิลาเพชร ผู้ที่ก้าวล...
ตอน : คุณตามาแล้ว...
วันพุธ๑๗.๓๐ นาฬิกา
รถปิ๊กอั๊พสองตอนสี่ประตูสีแดงเข้มกลางเก่ากลางใหม่แล่นปราดเข้ามาจอดภายในลานจอดรถของบ้านศิลาเพชร ผู้ที่ก้าวลงจากรถด้านคนขับเป็นชายสูงวัยรูปร่างสูงโปร่ง ผิวคล้ำแดดตามแบบลักษณะของชาวต่างจังหวัดทั่วไป สวมแว่นสายตากระจกใสกรอบไททาเนียมสีน้ำตาลอ่อน ผมหงอกประปราย เฉพาะตรงจอนและหนวดเท่านั้นที่เห็นเป็นสีขาวโพลน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าถึงแม้อายุจะล่วงเข้าวัยชราแล้ว แต่สุขภาพร่างกายของเขายังคงแข็งแรงดี เพราะเขาสามารถที่จะขับขี่รถยนต์ไปไหนมาไหนได้ด้วยตัวเอง
"คุณตามาแล้ว..ไชโย"
เสียงเด็กชายบี๊บตะโกนก้อง พร้อมกับวิ่งตรงเข้าไปสรวมกอดที่บั้นเอวของชายสูงวัยแน่น เขาเอื้อมมือขึ้นลูบศีรษะบี๊บพลางขยี้เบาๆด้วยความเมตตา
"กอดคุณตาแน่นๆแบบนั้น เดี๋ยวก็ล้มลงไปทั้งตาทั้งหลานหรอก" นางบุหงาดุหลานชายจอมแก่น
"ปล่อยเขาเถอะแม่บุหงา ให้บี๊บเขากอดคุณตาให้สมใจ แล้วคุณยายล่ะไม่อยากกอดคุณตาบ้างหรือจ๊ะ?"
"ฟังพูดเข้าแน่ะ..พี่ไกรสร ช่างไม่รู้จักอายเด็กอายเล็กมันบ้างเลย"
"อายุปูนนี้แล้วแม่บุหงา ความอายมันไม่เหลือยางแล้วล่ะ ปลงเสียบ้างเถอะจ๊ะที่รัก"
"ไม่อยากพูดด้วยแล้วพี่ไกรสรเนี่ย บี๊บรีบพาคุณตาเข้าไปข้างในบ้านซิลูก ยายเตรียมของโปรดของคุณตาไว้แล้วล่ะ"
"ครับคุณยาย ไปครับคุณตาเดี๋ยวบี๊บช่วยยกกระเป๋าถือไปให้" หลานชายกุลีกุจอยกกระเป๋าใบเล็กประจำตัวของคุณตาเดินนำหน้าลิ่วเข้าไปในบ้าน
ชายสูงวัยยกมือโอบกอดเอวผู้เป็นภรรยาประคองเดินตามหลานชายเข้าไปในบ้านด้วยความนุ่มนวลและอบอุ่นจนฝ่ายหลังลืมความขวยอายไปจนหมดสิ้น
พ.ต.อ.ไกรสร ศิลาเพชรเป็นอดีตนายตำรวจมือปราบใจเพชรแห่งกองปราบปรามพิเศษของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งขณะนี้ได้เกษียณอายุมาหลายปีแล้ว เขาใช้ชีวิตหลังเกษียณอยู่ในสวนกับต้นไม้ใบหญ้า ทำสวนผลไม้อย่างละนิดอย่างละหน่อย ปลูกพืชผักสวนครัวไม้ดอกไม้ประดับและปล่อยปลาธรรมชาติเลี้ยงไว้ในบ่อที่ขุดไว้กลางสวนตามนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ในหลวงของเรา ทุกอย่างท่านทำเพื่อออกกำลังกายให้กำไรกับชีวิต เมื่อได้ผลผลิตเหลือมาก็แจกจ่ายให้ผู้ที่ขาดแคลน หรือคราวใดได้ผลผลิตมากก็ให้คุณนายบุหงาเป็นผู้นำไปมอบให้แก่มูลนิธิที่หล่อนเป็นกรรมการอยู่ ทั้งนี้เพื่อจัดสรรแจกจ่ายตามแต่จะเห็นสมควรต่อไป
นับว่าชีวิตของผู้สูงวัยที่รู้จักการให้แทนการรับนั้น ช่างเป็นชีวิตที่มีแต่ความสุข ความสบายอกสบายใจ ไร้กังวลในการที่จะเก็บเอาไปเป็นภาระให้หนักหัวใจ
"บี๊บช่วยดูซิว่าคุณยายของเราเขาทำของโปรดอะไรให้คุณตาในวันนี้"
"ให้คุณตาทายดีกว่าว่ามันคืออะไร? ส่วนบี๊บนั้นรู้แล้ว ระวังอย่าทายผิดก็แล้วกันเพราะคุณยายยืนอยู่ใกล้ๆคุณตา ระวังจะถูกคุณยายบิดหูเอาไม่รู้ด้วย"
"เจ้าบี๊บนี่มันช่างพูดดีนักนะแม่บุหงา ท่าทางจะสอนกันเรื่องครอบครัวหนักไปหน่อย หรือไม่ก็ดูละครทีวีจนรู้ดีไปหมดทุกอย่าง"
"ไม่มีใครสอนเขาหรอกจ๊ะพี่ไกรสร เด็กเขาเรียนรู้ได้เองโดยธรรมชาติ"
"นี่แสดงว่าฉันกลายเป็นตาเฒ่าที่แก่เกินแกงแล้วซีนะ มัวแต่มะงุมมะงาหราไม่รู้เรื่องราวที่ทันสมัยเอาเสียเลย"
"คุณตาจะทายหรือยังล่ะครับว่าของโปรดของคุณตา ที่คุณยายเขาทำไว้ต้อนรับคุณตานั้นคืออะไร?"
"ก็ได้นายบี๊บหลานรัก ของโปรดของตาที่คุณยายเขาทำไว้เตรียมต้อนรับวันกลับบ้านของตาก็คือ...เอ้อ..ของคาวหรือของหวานกันล่ะ..บอกใบ้หน่อยได้ไหม?"
"ทั้งของคาวและของหวานแหละครับคุณตา บอกใบ้ได้แค่นี้เอง"
"แกงปลาสวายเทโพกับฟักทองแกงบวด ของโปรดยอดปรารถนาของตาเลยเชียวแหละ ทำไมจะจำไม่ได้..จริงไหมจ๊ะแม่บุหงา?"
"ถูกต้องจ๊ะพี่ไกรสร" นางบุหงาผงกหน้ายอมรับแต่โดยดี
"นี่แสดงว่ารู้ใจกันจริงๆ" หลานชายยกนิ้วโป้งให้คุณตาและคุณยายทั้งสองมือ
"จะไม่รู้ใจกันได้อย่างไรล่ะนายบี๊บ ก็คุณตากะคุณยายเขาอยู่ด้วยกันมาตั้งหลายสิบปีแล้วนี่จ๊ะ!"
เสียงของบุปผชาติดังมาจากทางเบื้องหลัง หล่อนกลับเร็วกว่าปกติเพราะรู้ว่าบิดาจะกลับจากต่างจังหวัดมาบ้านในวันนี้
"โอ้โฮ..นานจัง มิน่าล่ะ ถึงได้รู้ใจกันไปหมดทุกอย่าง"
"มีบางคนอยู่กันนานกว่าตาและยายก็ยังมี แต่เจอหน้ากันทีไรก็ชวนทะเลาะกันทุกวัน"
"ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นไปได้ล่ะครับคุณตา?" บี๊บสงสัยเต็มประดา
"ก็เพราะต่างคนต่างถือทิฐิกันนะซิ ต่างไม่มีใครยอมใคร บางทีเรื่องนิดเดียวงอนกันได้ตั้งครึ่งค่อนวัน บางคนไม่พูดกันเป็นเดือนก็ยังมีเลยนะบี๊บเอ๊ย"
"แต่คุณตาและคุณยายของบี๊บทำไมถึงได้คุยกระหนุงกระหนิงกันดีจังล่ะครับ?"
"ก็เพราะท่านทั้งสองไม่มีทิฐิต่อกันนะซีนายบี๊บ..ถามซอกแซกจริงเรานี่"
บุปผชาติดุหลานชายด้วยความเอ็นดูแกมรำคาญที่เขาช่างซักและรู้ดีไปหมดเสียทุกสิ่งทุกอย่าง
"อย่าไปว่าหลานมันเลยยายบุบ เขาว่าเด็กช่างซักอยากรู้อยากเห็นเนี่ย เป็นเด็กฉลาดนะจะบอกให้ ดูอย่างตัวแกเองเป็นตัวอย่างซิ ช่างซักช่างถามไม่แพ้กันหรอกเมื่อตอนเล็กๆน่ะ"
"หนูแพ้คุณพ่ออีกตามเคย ไม่เอาแล้ว มาคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวดีกว่าค่ะคุณพ่อ"
"เรื่องอะไรกันล่ะที่แกอยากรู้ยายบุบ บอกมาเลยถ้าช่วยได้พ่อก็ยินดีช่วยเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจ?"
"ไม่ต้องถึงขนาดช่วยหรอกค่ะคุณพ่อ เพียงแต่ให้คำแนะนำก็พอ"
"เอ้า..อย่างนั้นว่ามาได้เลย"
"คืออย่างนี้..หนูสงสัยผู้ชายคนหนึ่งที่เขาเข้ามาพัวพันกับครอบครัวของเราโดยบังเอิญนะค่ะ"
"เขามาสนใจแกหรือยายบุบ นี่พ่อกำลังจะได้รับข่าวดีหรือนี่?"
"ไม่ใช่อย่างนั้น คุณพ่อฟังให้จบก่อนซีค่ะ อย่าเพิ่งรีบสรุป มันไม่ใช่อย่างที่คุณพ่อเข้าใจหรอก"
"เอ้า..ว่าไป..พ่อกำลังฟัง"
"คืออย่างนี้ค่ะ..เราพบผู้ชายคนนี้ที่สวนสาธารณะ เขาพาหมามาวิ่งเล่นด้วยตัวหนึ่งเพศเมียพันธุ์บีเกิ้ลชื่อว่ามะลิน่ารักเชียว นายบี๊บเกิดชอบใจพยายามจะติดต่อเพื่อขอเล่นกับหมาตัวนี้อีก แต่วันแรกที่เราพบกับเขาก็เกิดเหตุฆาตกรรมสะเทือนขวัญที่ร้ายแรง ซึ่งก็คือวันเดียวกับที่ท่านรัฐมนตรีไอยราถูกยิงตาย จำได้ไหมค่ะคุณพ่อ?"
"ฮื่อ..พ่อพอจะจำได้ค่อนข้างแม่นจากข่าวทีวีและหนังสือพิมพ์..ท่านถูกยิงตายที่สวนสาธารณะ..ข่าวดังทีเดียว แล้วยังไงต่อ.." อดีตนายตำรวจแสดงท่าทีสนใจอย่างเห็นได้ชัด
"พอเราพบเขาวันที่สองโดยบังเอิญอีกครั้ง คราวนี้นายบี๊บเป็นคนเห็นเขาจูงหมาข้ามถนนหายเข้าไปในตลาดนัด พอเราตามเข้าไปหาเขาก็ปรากฏว่าเขาขับรถสวนออกไปก่อนแล้วจึงคลาดกัน แต่คุณพ่อเชื่อไหมค่ะว่าเกิดอะไรขึ้นที่ฝั่งตรงข้าม มีการฆาตกรรมเกิดขึ้นอีก"
"ฆาตกรรมอีกแล้วหรือ?"
"ค่ะคุณพ่อ..ผู้ที่ถูกฆาตกรรมโดยถูกยิงตายขณะที่กำลังก้าวลงจากรถภายในบริษัทของตนเอง เขาคือนายโอภาสเจ้าของบริษัทส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของไทยเรา และเป็นเจ้าของโกดังข้าวมากมายที่มีคดีข้าวหายย้ายโกดังไปหลายสิบแห่งทั่วประเทศ แต่ข่าวบอกว่าสินค้าข้าวส่งออกของเขานั้น ไม่เคยขาดสต๊อกเลย จึงกลายเป็นชนวนให้น่าสงสัยในการฆาตกรรมคราวนี้"
"แกก็เลยสงสัยว่านายคนจูงหมามะลินี่ จะต้องเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมในครั้งนี้อีกอย่างนั้นใช่ไหม?"
"ถูกแล้วค่ะคุณพ่อ หนูไม่มีทางคิดเป็นอย่างอื่นไปได้เลยนี่คะ"
"จริงๆแล้วเรายังไม่เคยมีใครเห็นเขาใช้อาวุธยิงใครในวันเกิดเหตุเลยแม้แต่คนเดียว เป็นแต่เพียงการสันนิษฐานเอาเองเท่านั้น เราอย่าเพิ่งรีบสรุปเลยว่าเขาคือตัวการเลยจะดีกว่า เพราะเขาเป็นเพียงผู้ที่ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม ที่เราบังเอิญเห็นเขาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้กับเหตุการณ์ทั้งสองครั้งก็เท่านั้นเอง"
"ถ้าเจอเขาบุบเอ่ยถามเขาตรงๆเลยจะได้ไหมค่ะคุณพ่อ?"
"อย่าได้เอ่ยปากถามเขาตรงๆเลยเชียวนา ในเมื่อเรายังไม่มีหลักฐานที่จะมัดตัวเขา ควรเลียบเคียงคุยเรื่องอื่นที่เชื่อมโยงถึงกันจะดีกว่า แต่พ่อว่าแกอยู่เฉยๆไม่ดีกว่าหรือยายบุบ?"
"นั่นนะซี แม่บอกแกแล้วก็ไม่เชื่อ ให้อยู่เฉยๆดีกว่า คุณพ่อยังเห็นด้วยเหมือนกันกับแม่เลย" นางบุหงาได้ทีขนาบลูกสาวช่างจินตนาการของเธอบ้าง
"หนูเพียงแต่สงสัย จึงมาขอคำแนะนำของคุณพ่อในทางที่ถูกที่ควรแค่นั้นเอง บุบไม่ได้จุ้นซักหน่อย"
"เมื่อวานนี้ก็เหมือนกัน แม่ไปกับบี๊บสองคนที่สวนสาธารณะที่เดิม เจอพ่อคนนั้นเอาหมามาฝากตาบี๊บแล้วก็หายตัวไป เขาหายไปหนึ่งชั่วโมงกับห้านาที กลับมาแล้วก็รีบพาหมากลับไปเลยไม่ได้คุยกัน" นางบุหงาเสริมเพื่อสะกิดเตือนลูกสาวคนเล็ก
"บุบระแวงกลัวว่าจะมีข่าวร้ายเรื่องการฆาตกรรมเกิดขึ้นอีกเหมือนกับสองครั้งที่ผ่านมา จึงนั่งเฝ้าหน้าจอทีวีและพลิกหนังสือพิมพ์หา หากทุกสิ่งทุกอย่างกลับเงียบฉี่ หรือว่าการฆาตกรรมคราวนี้กลบเกลื่อนหลักฐาน แยบยล ไร้ร่องรอย กว่าจะรู้ว่ามีคนถูกฆาตกรรมก็คงอีกหลายวัน จะเป็นไปได้ไหมคะคุณพ่อ?"
"โถ..ๆ..แม่บุบแม่คนช่างจินตนาการ เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยกับพ่อของแก" นางบุหงาปลงอนิจจัง
"หรือไม่อีกทีพ่อว่า..."
"ทำไมหรือคะ..คุณพ่อ?"
"เขาอาจทำงานพลาด!"
*********
เมื่อวันที่ : ๒๓ พ.ค. ๒๕๕๑, ๒๐.๒๐ น.
พิล หายไปไหนเอ่ย ไม่เห็นมาตั้งชื่อเลย วู้ๆ
ชื่อว่า "คุณตามาแล้ว..."