![]() |
![]() |
pilgrim![]() |
ตอน : สุดแผ่นดินอังกฤษ: ซอมเมอร์เซ็ต-เดวอน-คอร์นวอล ทะเลตะวันตกฝั่งแอตแลนติก
Cornwall- Looe - Fowey - Polperroอังคาร 23 สิงหาคม 2005

หลังจากกินอาหารเช้าสไตล์ English breakfast ตามเดิม ฉันบอกเลสลีย์ให้ช่วยเจรจากับเจ้าหน้าที่โรงแรมขอใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เขาหน่อยได้ไหม เพราะคาร์ดในกล้องถ่ายรูปใกล้จะเต็มแล้ว ฉันเอาฮาร์ดดิสขนาด 80 GB ติดตัวไปด้วย อยากจะย้ายรูปไปอยู่ในฮาร์ดดิสอันนั้น แต่เราไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อวานลองขับรถหาอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ก็หาไม่เจอสักร้าน
เลสลีย์ก็จัดแจงเจรจาให้ เขาเลยให้ฉันไปนั่งทำอยู่ในห้องสำนักงานของโรงแรม
เมื่อยักย้ายถ่ายเทรูปไปอยู่ในฮาร์ดดิสแบบพกพาได้ เราก็ออกเดินทางมุ่งสู่ Cornwall กัน ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ของการเดินทาง
เลสลีย์ขับเข้าสู่เขต Cornwall ข้ามสะพานทาร์มาร์(Tarmar) ซึ่งถือเป็นสะพานแบ่งเขตระหว่างแคว้นเดวอนกับคอร์นวอล ต้องเสียค่าด่านผ่านสะพานด้วยค่ะ เพราะรัฐบาลสมัยหนึ่งไม่ยอมให้เงินอุดหนุน ทางรัฐบาลท้องถิ่นก็เลยต้องบริหาร โดยให้เอกชนเข้ามาจัดการเก็บเงินค่าด่านเอามาทำทุนซ่อมบำรุง
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
สะพานทาร์มาร์นี้เป็นสะพานแขวน ข้ามแม่น้ำทาร์มาร์ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ ระหว่างเมืองพลีมัธ (Plymouth) กับเมืองซัลแทช (Saltash)
จากนั้น เลสลีย์ก็ขับรถมุ่งตรงไปเมืองลู (Looe)
เราแวะกันที่เมืองนี้ชั่วคราว เพราะเลสลีย์ต้องการแวะกดเงินจากเครื่อง พวกเราอีกสามคนนั่งรออยู่ในรถ เพราะหาที่จอดไม่ได้ ฉันก็เลยถือโอกาสนั่งสำรวจเมืองไปพลางๆ
เมือง Looe เป็นเมืองชายทะเลเล็กๆ แต่ก็จอแจน่าดูเหมือนกัน ฉันคิดว่า หน้าร้อนอย่างนี้ เมืองชายทะเลของอังกฤษก็คงจอแจ คับคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยวเต็มไปหมดทุกที่
เมืองแต่ละแห่งในคอร์นวอลเป็นเมืองเล็กๆอยู่แล้ว ดังนั้น จึงยิ่งเต็มแน่นไปหมด เมื่อมีนักท่องเที่ยวมาเยือน
ออกจากเมือง Looe พวกเรามุ่งตรงสู่ที่พัก B&B ที่จองไว้เหมือนเดิม คราวนี้ เราพักกันที่ Greystone Pool B&B
พวกเรารีบเข้าไปเช็คอินกันก่อน เจอเจ้าของบ้านพักเป็นคู่สามีภรรยา คนที่มาต้อนรับคือฝ่ายสามี ชื่อ จอห์น
จากการคุยกัน ทำให้เลสลีย์และแคเรนบอกฉันว่า จอห์นเป็นชาวแมนเชสเตอร์ เพราะสำเนียงเขาออกไปทางนั้น เรียกว่า สำเนียงแมนคูเนียน (mancunian) ทั้งเลสลีย์และแคเรนบอกว่า เธอก็เคยอยู่ที่แมนเชสเตอร์มาเหมือนกัน แต่ไม่ติดสำเนียงนั้น เพราะไม่ได้มีพื้นเพอยู่ที่นั่น
เลสลีย์บอกว่า สำเนียงชาวแมนเชสเตอร์นั้น ฟังยากมาก เพราะเขาจะพูดสำเนียงแปลกๆ
ฉันได้ยินเช่นนั้น ก็นึกในใจว่า เออ ดีจริงหนอ อังกฤษก็ไม่ใช่ประเทศกว้างใหญ่ไพศาลนัก (ถ้าเปรียบกับอเมริกา) แต่เรื่องสำเนียงในการพูดนั้น ถ้าใครได้มาฟังแล้วจะเวียนหัว เพราะมันมีสำเนียงที่เหน่อกันไปได้มากมายเหลือเชื่อ
แบบสก็อตช์บ้าง แบบเวลช์บ้าง แบบไอริชบ้าง แบบลอนดอนบ้าง แบบภาคกลางบ้าง แบบนิวคาสเซิลบ้าง แบบภาคใต้บ้าง แบบคอร์นวอลบ้าง
เรียกว่าเป็นนักอนุรักษ์นิยม รักษาเอกลักษณ์ของตัวเองไว้ได้ทุกอย่าง แล้วเขาก็ไม่เห็นจะอายกันที่ตัวเองมีสำเนียงเหน่อๆ ไม่เหมือนชาวบ้าน ตรงกันข้าม เขากับภาคภูมิใจซะด้วยซ้ำ ที่มีรกรากทางภาษาและวัฒนธรรมของตัวเอง
น่ามึนจริงๆ เรียกว่าแต่ละที่แต่ละถิ่น จะมีสำเนียงประจำท้องถิ่นของตัวเองก็ได้ และคนแต่ละกลุ่มก็พูดเพี้ยนๆกันไป
ไหนจะยังมีสำเนียงค็อคนีย์ของคนชั้นล่างอีก เรียกว่า บางที ฟังคนขายของ คนขับรถ ชาวไร่ชาวนา หรือชาวบ้านร้านตลาดพูด ก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เพราะเขาจะมีน้ำเสียง สำเนียงเฉพาะของเขา
พี่จอห์นต้อนรับพวกเราอย่างแข็งขันมาก พี่แกช่างพูด ช่างคุย แต่ค่อนจะไปในแนวออกคำสั่ง คือ ห้ามพวกเราทำนั่นทำนี่ เช่น ห้ามผึ่งผ้าชื้นๆที่ฮีทเตอร์ ตื่นเช้าห้ามทำเสียงดังเพราะเดี๋ยวจะรบกวนแขกห้องอื่น อาบน้ำให้อาบค่อยๆ ต้องจอดรถในที่ที่ระบุไว้เท่านั้น (แกออกมาโบกให้จอดทุกครั้งที่เราเลี้ยวเข้ามาจอด)
พอพวกเราเข้าเช็คอิน พี่จอห์นก็เรียกเลสลีย์ให้ขึ้นบันไดไปดูห้องเพียงคนเดียว สั่งเด็ดขาดว่าแค่คนเดียว คนอื่นไม่ต้องตามไปดู
แกไปชี้ให้เลสลีย์ดูว่าห้องอยู่ตรงโน้นนะ ถ้ายูกลับมาตอนกลางคืน ยูจะได้ตรงเข้าห้องของยูได้เลย แต่ตอนนี้ อย่าเพิ่งเข้าไปเลย เพราะแกยังจัดห้องให้ไม่เสร็จ พวกเราก็ไม่ว่าอะไร ได้แต่ขนกระเป๋ามากองไว้ เพราะพี่จอห์นบอกจะยกเข้าไปเก็บในห้องให้
พวกเราคุยกันว่า อยากไปเที่ยว Land's end กัน แกบอกว่า อย่าไปเลย Land's end ตอนนี้กลายเป็น rubbish ไปแล้ว มีแต่ร้านขายของเต็มไปหมด
อันคำว่า rubbish ของคนอังกฤษนั้น ก็คือ ขยะ แต่เขาจะมีความหมายอุปมาอุปมัยถึงอะไรก็ได้ ที่มันแย่ ห่วย กระจอก เห่ย โหลยโท่ย เป็นการเน้นความหมายให้เข้มข้น
เช่น I'm rubbish at drawing. ก็หมายความว่า ฝีมือเขียนภาพลายเส้นของฉันนั้นมันห่วยจริงๆ (อันนี้ว่าตัวเองให้คนอื่นฟัง)
พวกเราได้ฟังก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ใจฉันน่ะอยากไป เพราะเคยได้ยินชื่อ Land's end มานาน ในเมื่อเรามาจ่อขนาดนี้แล้ว ขอได้ไปสัมผัสสักครั้งก็ยังดี
พวกเราถามจอห์นว่า ถ้าวันนี้ เรายังไม่ไป Land's end แถวนี้มีชายหาดที่ไหนสวยบ้าง จอห์นบอกว่า ให้ไปนั่นเลย Talland Bay
เลสลีย์กับแคเรนก็อุตส่าห์ขับรถไปตามคำแนะนำ หมายมั่นปั้นมือจะให้เนโอมีได้ลงไปเล่นทรายที่ชายหาดและว่ายน้ำเล่น
แต่พอไปถึง ที่ทัลแลนด์เบย์ กลับเป็นหาดหิน ประมาณว่ามีแต่ก้อนหินระเกะระกะอยู่เต็มหาด ไม่มีหาดทรายเลย พวกเราก็ขำกันด้วยความอ่อนใจกับคำแนะนำของพี่จอห์น
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
แคเรนไม่สิ้นความพยายาม เธอเอาแผนที่มาเปิดดู เพื่อหาหาดทรายชายทะเลให้ลูกเล่นน้ำ
อันว่า ชายหาดของอังกฤษนี้ ไม่ใช่ว่าจะลงเล่นน้ำได้ทุกหาด ต้องเล็งให้ดีๆว่าหาดนี้เป็นหาดทราย มิฉะนั้นก็จะเจอแต่ก้อนหินตะปุ่มตะป่ำเรียงรายกันเต็มหาด
ในที่สุด แคเรนก็หาหาดทรายเจอจากพื้นที่ แต่เราต้องขับรถไปอีกหน่อย ลงเรือ ferry ข้ามฟากที่เมืองบอดดินนิค (Bodinnick) เพื่อข้ามไปยังเมืองฟาวอี้ (Fowey)
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ที่นั่น มีหาดทรายเล็กๆชื่อหาด Ready Money เราจอดรถด้านบน แล้วเดินลงไปที่ชายหาด
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
จากนั้นก็เอาผ้าพลาสติกมาปู เอาถังทรายออกมาเล่นก่อปราสาททราย ฝังเลสลีย์ในหลุมทรายเล่น แล้วก็ไปเดินเล่นริมหาดที่อยู่เชิงผา ป่ายปีนไปตามก้อนหิน ขากลับน้ำขึ้นเร็วมาก เกือบต้องว่ายน้ำกลับ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
วันนั้น เราพักผ่อนกันแบบสบายๆ ซื้อไอศกรีมจากรถไอศกรีมที่มาจอดขายกินกัน จนเย็น เราจึงขับรถไปยังเมืองโพลแพโร (Polperro) เพื่อหาอาหารเย็นกิน
ก่อนกินอาหารเย็น พวกเราถือโอกาสเดินเที่ยวเมือง (หรือหมู่บ้านก็ไม่รู้ เพราะมันเล็กๆ) เดินไปถึงท่าเรือที่มีเรือประมงเข้ามาจอดเทียบขนปลาเข้าโกดังห้องเย็น ที่เมืองนี้ ท่าทางจะเป็นตลาดขายปลาและอาหารทะเลประเภทต่างๆด้วย เพราะมีโรงเรือนเหมือนตลาดปลาใหญ่มาก แต่ตอนที่เราไปเย็นมากแล้ว จึงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆในตลาดนั้นๆ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ร้านรวงในเมืองโพลแพโรนี้สวยงาม น่ารัก มีการแต่งร้านกระจุ๋มกระจิ๋ม และมีร้านอาหารมากมายให้เลือกลิ้มลอง
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
พวกเราเลือกได้ร้านหนึ่ง ชื่อว่าร้าน Nevilles จึงได้ค้นพบว่า ซุปแบบซีฟู้ดของเขาอร่อยมากๆ เป็นซุปข้นๆ
จากนั้น พวกเราก็สั่งอาหารจานหลัก หรือ main course กัน ฉันสั่งข้าวราดแกงเผ็ดกุ้ง แต่เมื่อได้กินแล้วไม่อร่อยอย่างที่คิด เพราะเขาแกงออกไปทางแนวอาหารอินเดีย ซึ่งกลิ่นเครื่องเทศค่อนข้างจะแรง ไม่อร่อยเหมือนแกงเขียวหวานของไทยเลยสักน้อยเดียว
พวกเราขับรถกลับกัน กว่าจะมาถึงที่พักของพี่จอห์นก็ดึกโขอยู่ ราวๆห้าทุ่ม เที่ยวหน้าร้อนก็เป็นเช่นนี้ เพราะกลางวันจะยาวกว่ากลางคืน
หน้าร้อนของอังกฤษประมาณตีสี่ฟ้าก็เริ่มแจ้ง ขณะที่กว่าจะเย็นย่ำโพล้เพล้ก็ราวๆสี่ทุ่ม เพราะฉะนั้น การเที่ยวหน้าร้อน จึงเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยว เพราะมีเวลาได้เตร็ดเตร่ได้นานทั้งวัน
เราขับรถเลี้ยวเข้ามาถึงที่พัก พี่จอห์นยังไม่นอน ก็ลงมาโบกรถให้พวกเราเข้าจอดตามที่แกต้องการ แล้วก็เปิดประตูรับพวกเราเข้าสู่คฤหาสน์ของแกด้วย จากนั้น แกก็ผลุบหายไป
พอจะเข้าห้องพักนี่สิมีปัญหา เพราะเลสลีย์ดันจำไม่ได้ว่าห้องของพวกเราอยู่ตรงไหน เธอปรี่เข้าไปไขกุญแจประตูห้องหนึ่ง แต่ได้ยินเสียงผู้หญิงลอดออกมาจากในห้อง จึงตระหนักว่ากำลังจะเข้าห้องผิด
แล้วพวกเราก็ไม่กล้าไปถามพี่จอห์นด้วย เพราะมันดึกแล้ว แคเรนส่ายหัวกับความเป๋อเหรอของพี่สาว
เธอบอกฉันว่า พี่จอห์นตัดสินใจผิดอย่างจัง ที่ดันเลือกเลสลีย์ไปดูห้องเพียงคนเดียว ไม่ยอมให้คนอื่นตามไปดูด้วย เพราะพวกเรารู้กันว่า เลสลีย์นั้นมักจะหลงทิศหลงทางเป็นประจำ
แต่ในที่สุด เมื่อเลสลีย์ตั้งสติ ก็จำได้ว่าเราควรจะต้องเดินไปทางไหน พวกเราจึงได้เข้าห้องในที่สุด
ถึงห้องพัก พวกเราก็เตรียมตัวนอนกันเหมือนเช่นทุกคืน คราวนี้ เราได้นอนในห้องเดียวกัน มีสี่เตียงก็ดีเหมือนกัน แต่แย่งกันใช้ห้องน้ำหน่อย เพราะห้องพักบ้านพี่จอห์น มีห้องน้ำให้ในตัว ห้องหนึ่งต่อสี่คน ก็เลยต้องเข้าคิวกัน

เมื่อวันที่ : ๐๔ มิ.ย. ๒๕๕๐, ๒๑.๑๘ น.
สวัสดีค่ะนักท่องเที่ยวเวอร์ชวลทุกท่าน
เรื่องนี้ใกล้มาถึงตอนจบเต็มทีแล้วนะคะ เพราะเรากำลังเข้าใกล้ สุดแผ่นดินอังกฤษเข้าไปทุกที
ต้องขอขอบคุณนักอ่านทุกๆท่านค่ะที่คลิกเข้ามาอ่าน
ขอขอบคุณป้าอุ๊ ที่เพิ่งเผยโฉมว่าเป็นนักอ่านและนักเที่ยว นักเดินทางด้วยค่ะ
ขอให้ท่องเที่ยวเดินทางอย่างมีความสุขในทุกที่นะคะ