![]() |
![]() |
กาบแก้ว![]() |
...แอนนามารีก็เช่นเดียวกันที่ถูกเส้นขนานแห่งความรักลิขิตอย่างโหดร้าย จนทำเอาเธอแทบทนไม่ไหว !...
ตอน : เส้นขนานแห่งความรัก
เบิ้มปล่อยสี่สาวให้เดินกลับไปทางห้องอาหารตามเดิมหลังจากที่ได้ตะโกนสั่งให้ลูกน้องทั้งหมดกลับไปที่เรือแล้ว หนุ่มจ้อนเดินคู่มากับโกหลกเพื่อเป็นตัวประกันแทนน้องสาว ขณะที่เดินสวนทางกันนั้นปืนในมือของเบิ้มและสมุนต่างพากันยกขึ้นเล็งจ้องมายังชายหนุ่มและสี่สาวตลอดเวลาจันทร์จิราจ้องมองเพื่อสบตาพี่ชายอย่างอาลัยอาวรณ์และสงสารเขาที่ต้องเดือดร้อนเป็นตัวประกันแทน เธอวิ่งโผเข้าไปซบหน้ากับอกของพี่ชายพร้อมกับสะอื้นไห้อย่างไม่อาย น่านนทีผวาตามเข้าไปกอดเขาอีกคนตามแผนที่ได้ตกลงกันไว้แต่แรก
"ทำตามแผนบี เวลาเจ็ดโมงเช้า บอกพี่ดาบบุญเที่ยงตามนี้นะ" จ้อนกระซิบที่ข้างหูของน่านนที
"ค่ะ..แผนบี..เจ็ดโมงเช้า" น่านนทีกระซิบตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
ปัง !
เสียงปืนในมือของเบิ้มระเบิดขึ้นฟ้าดังก้องทำลายความเงียบ
"มัวแต่สำออยกันอยู่นั่นแหละ ไปกันได้แล้วคนสวย"
เสียงสมุนตัวเอ้ของเจ้าพ่อจอมโหดตวาดลั่น
"ไปเถอะจันทร์ เดี๋ยวค่อยเจอกัน ลาก่อนน่าน โชคดีนะจ๊ะ"
จ้อนกระซิบบอกสองสาวเบาๆ
"โชคดีค่ะพี่จ้อน"
สองสาวคลายวงแขนจากร่างของชายหนุ่ม น่านนทีเดินประคองร่างของจันทร์จิราไปรวมกับเรวดีและสุภาวิไลที่ต่างยืนรอเพื่อนรักอยู่ด้วยความเป็นห่วง ทั้งสี่สาวหันกลับมามองชายหนุ่มที่ถูกเบิ้มเอาปืนจี้ดุนหลังไปจนถึงชายหาดที่มีเรือเล็กรอรับพาไปขึ้นเรือตังเกโชคโอฬาร
*********
นายดาบตำรวจบุญเที่ยงรีบเดินออกมาสมทบกับสี่สาวที่หน้าห้องอาหาร เขายกมือขึ้นลูบศีรษะจันทร์จิราที่กำลังสะอื้นไห้อยู่อย่างมีเมตตาพลางพูดปลอบใจหญิงสาว
"ไม่เป็นไรแล้วคุณจันทร์จิรา คุณจ้อนเขาทำตามแผนที่เราตกลงกันแต่แรกเพื่อแยกพวกโกหลกออกจากตัวประกันทั้งหมดนี่"
ทันทีที่เห็นชายในชุดสีกากีน่านนทีก็ยกมือไหว้พร้อมกับบอกข้อความที่นายจรจรัลสั่งฝากมา
"พี่จ้อนเขาสั่งฝากมาบอกพี่ดาบบุญเที่ยงด้วยว่าให้ทำตามแผนบี ตามกำหนดเวลาเจ็ดโมงเช้าค่ะ"
"เจ็ดโมงเช้า !" ดาบบุญเที่ยงทวนคำ "ขอบใจมากน้องสาว..เอ้อ..."
"น่านนทีค่ะ"
"ขอบใจมากน่านนที"
***************
เจ้าพ่อบางมะขามผายมือให้ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานภายในห้องสวีทซึ่งเป็นห้องเคบิ้นส่วนตัวของโกหลกเอง พร้อมกับกวักมือเรียกไต้ก๋งบุญทวีให้เข้ามาใกล้ๆ เบิ้มและอาเม้งยังคงยืนรักษาการที่ข้างประตูทางเข้าห้องด้านในเหมือนเช่นเคย
นายดิลกนั่งลงบนเก้าอี้นวมตรงข้ามกับจ้อน
ขณะเดียวกันไต้ก๋งบุญทวีก็ทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆชายหนุ่มเช่นเดียวกัน ในมือของเขาถือม้วนกระดาษยาวๆมาด้วย
"คุณดูนั่นซีคุณจ้อน"
เจ้าพ่อบางมะขามชี้มือไปกลางห้อง จ้อนมองตามด้วยความแปลกใจเพราะสิ่งที่เขาเห็นคือหีบลวดลายสวยงามเปิดฝาอ้าวางเรียงกันเป็นแถวอย่างมีระเบียบราวกับแถวทหารกองเกียรติยศ
"นั่นคือหีบสมบัติทั้งหมด" นายดิลกบอก
"แสดงว่าโกหลกก็ได้สมบัติไปหมดแล้วสิ ?" จ้อนกล่าวแสดงท่าทางผิดหวัง เพราะถ้านายดิลกได้สมบัติไปหมดแล้วเขาคงต้องเปลี่ยนแผน
"ได้กะผีนะซี ! มันเหลือแต่หีบเปล่าๆใส่ก้อนหินไว้เท่านั้น"
"โกหลกได้หีบทั้งหมดนี้มาจากที่ใด ?"
"เกาะกุระที่คุณกับพวกนายดาบบุญเที่ยงแย่งตัวฝรั่งสองพ่อลูกไปจากผมนั่นแหละ"
"คุณจับตัวพวกเขาไปทำไม ?"
"พวกมันสอดรู้สอดเห็นมากเกินไป แต่ช่างมันเถอะผมว่าก่อนอื่นคุณควรเดินไปดูข้อความในหีบเองจะดีกว่า เบิ้มพาคุณจ้อนไปดูหน่อย"
"เชิญครับ !" เบิ้มกล่าวพร้อมกับก้าวเดินมาที่หีบที่เรียงแถวอยู่นั้น
หนุ่มจ้อนลุกขึ้นยืนก้าวเดินมาที่หีบสมบัติเช่นเดียวกัน เมื่อแลเห็นข้อความบนพื้นหีบทำให้เขาอุทานออกมาเหมือนคนเป็นไข้
"ปลายเส้นขนาน !"
"ใช่แล้วคุณจ้อนนี่แหละคือสาเหตุที่ผมตามไประเบิดออฟฟิศของคุณเพราะในตอนแรกนั้นผมคิดว่าพวกคุณแย่งเอาสมบัติไปหมดและเขียนหนังสือเยาะเย้ยไว้ผมจึงโมโหมากจนลืมตัว ขอโทษด้วยนะครับ! แล้วผมจะชดใช้ค่าเสียหายให้ภายหลังก็แล้วกัน"
"มาถึงขั้นนี้คุณจะให้ผมทำอย่างไรต่อไป ?" จ้อนถามพลางเหลือบตาดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง ขณะนี้เวลาหกนาฬิกาตรงข้างนอกห้องคงสว่างหมดแล้ว เขามีเวลาที่จะทำตามแผนการณ์อีกเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น
"คุณบอกผมว่าคุณรู้ว่าปลายเส้นขนานบนเกาะนี้อยู่ตรงไหนใช่ไหมครับ ?" นายดิลกย้อนถาม
"ใช่ผมสามารถที่จะบอกพิกัดให้คุณทราบตำแหน่งได้ไม่ยาก"
"ถ้าอย่างนั้นคุณจ้อน...ไหนคุณลองบอกไต้ก๋งบุญทวีไปซิว่าคุณต้องการสิ่งใดบ้าง เพื่อเป็นส่วนประกอบในการที่จะบอกถึงตำแหน่งของปลายเส้นขนาน"
"แผนภูมิเดินเรือที่คุณถืออยู่ในมือเป็นแผนภูมิแนวร่องน้ำของอ่าวไทยเราบริเวณแถบนี้ใช่ไหมครับ ไต้ก๋ง ?"
"ใช่ครับ"
"ถ้ายังงั้นเรามาดูกัน ผมจะบอกตำแหน่งให้ทราบ"
ไต้ก๋งบุญทวีกางแผนภูมิแผ่นนั้นออกวางเต็มโต๊ะ หนุ่มจ้อนหยิบเอาไม้บรรทัดที่วางอยู่บนโต๊ะชี้ไปที่ตำแหน่งของเกาะขนาน พลางหันไปบอกไต้ก๋งเรือโชคโอฬาร
"นี่คือเกาะขนานใหญ่ที่เราทำเป็นออฟฟิศ ความยาวของเกาะนี้จะยาวกว่าอีกเกาะที่คู่ขนานกันประมาณร้อยเมตรเศษ ตรงปลายท้ายสุดของเกาะขนานใหญ่นี้คาบอยู่พอดีกับตรงเส้นตัดกันของเส้นรุ้งหรือเส้นขนานละติจูดที่ 10 องศา 0 ลิปดาเหนือ และเส้นแวงหรือลองจิจูดที่ 100 องศา 0 ลิปดาตะวันออก ผมคิดว่า ณ ที่นี้คือปลายเส้นขนานบนเกาะขนานนี้"
"มีอะไรเป็นที่สังเกตบริเวณนั้นหรือเปล่า คุณจ้อน ?" นายดิลกถาม
"ถ้าคุณขึ้นไปบนเกาะคุณจะเห็นตรงนั้นเป็นธารน้ำไหลลงสู่ทะเล มีบังกะโลเล็กๆหลังหนึ่งตั้งอยู่ก่อนถึงทางลงหาดที่เป็นโขดหิน ตรงหน้าบังกะโลจะมีต้นสมอทะเลหรือต้นกุระขึ้นอยู่ริมธารน้ำนั้น"
"สมบัติควรจะซ่อนอยู่ที่ใด ?"
"ผมไม่ทราบ"
"ไต๋ว่าเราควรขึ้นไปสำรวจเลยดีไหม ?" โกหลกเอ่ยถามความเห็นของไต้ก๋งคู่ใจ
"ก็ได้ครับ แต่ลูกเรือเพลียกันมาทั้งคืน ถ้าเป็นหลังอาหารเช้าก็จะดี เพราะพวกเขาจะได้พักผ่อนกันบ้าง" ไต้ก๋งบุญทวีว่า
"แต่ขณะนี้ช่วงเช้าน้ำกำลังลง สำรวจได้ง่าย น่าจะขึ้นไปเดี๋ยวนี้เลย ผมจะได้นำทางไปด้วย" จ้อนรีบเอ่ยแนะนำเพราะเข้าตามแผนการพอดี
"เวลาเรามีน้อย จัดการให้เสร็จๆไปเดี๋ยวนี้เลยดีกว่า ไปกันเลยโว้ยเบิ้มสั่งดำเนินการได้ เอ็งคุมตัวคุณจ้อนออกนำหน้าไปด้วย พวกบนเกาะมันจะได้ไม่กล้าหือ" เจ้าพ่อบางมะขามหันไปร้องสั่งสมุนตัวเอ้อีกครั้ง
"เดี๋ยวผมจะให้ลูกเรือเตรียมอุปกรณ์ในการขุดเจาะใส่เรือเล็กบันทุกตามไปรอที่ปลายแหลมท้ายเกาะ" ไต้ก๋งบอกเจ้านาย
"อย่าลืมเอาระเบิดไปด้วยอาจจำเป็นต้องใช้เพื่อความรวดเร็ว"
เจ้าพ่อจอมโหดสั่งด้วยความหนักแน่น ก่อนที่จะตามลูกน้องลงจากเรือตังเกใหญ่โชคโอฬารขึ้นฝั่งออกเดินทางลัดไปสู่ปลายแหลมเกาะขนานอันเป็น
ทางไปสู่ปลายทางเส้นขนานทันที
*********
จ้อนถูกเบิ้มเอาปืนจี้ให้เดินนำหน้าพาลัดตัดตรงไปท้ายเกาะโดยไม่ต้องเดินผ่านออฟฟิศและห้องอาหารของเส้นขนานรีสอร์ตซึ่งนักท่องเที่ยวและผู้ที่ถูกกักขังเมื่อคืนยังยืนจับกลุ่มออกันอยู่ นายดาบตำรวจบุญเที่ยงได้ขอร้องให้ทุกคนอยู่แต่ในห้องอาหารและคอฟฟี่ช็อพเท่านั้นเพื่อความปลอดภัย
เมื่อจ้อนพาพวกของเจ้าพ่อบางมะขามไปเกือบถึงตำแหน่งที่คาดกันว่าจะเป็นปลายทางเส้นขนานนั้น จ้อนเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือก็เห็นเป็นเวลา 6.59 นาฬิกา อีกนาทีเดียวเท่านั้น ก็ได้เวลาตามแผนบี
***************
ตูม !....ตูม !....ตูม !
เสียงระเบิดกัมปนาทกึกก้องติดๆกัน 3 ลูก ดังมาจากทางหน้ารีสอร์ตตรงเรือตังเกโชคโอฬารลำใหญ่จอดอยู่ ควันไฟพวยพุ่งจากลำเรือขึ้นสู่ท้องฟ้าโขมง
ร่างของไต้ก๋งบุญทวีที่กำลังยืนบัญชาการอยู่บนดาดฟ้ากระเด็นลอยจากกราบเรือลงสู่พื้นน้ำทะเลเบื้องล่าง เขาเสียชีวิตทันทีเพราะยืนอยู่ใกล้จุดระเบิดที่นายสดใสหรือหนุ่มโซ้ดกับลุงชูได้ช่วยกันนำไปวางไว้ตามแผนการ
บรรดาลูกเรือหลายคนที่รอดชีวิตพากันกระโดดน้ำหนีกันจ้าละหวั่น เมื่อขึ้นไปถึงบนฝั่งก็ถูกพวกที่วิ่งออกมาจากห้องอาหารและคอฟฟี่ช็อพรุมสกรัมจนยกมือไหว้ร้องขอชีวิตกันเป็นที่น่าสังเวชและสะใจ
ในทันทีที่เสียงระเบิดลั่นขึ้นตูมแรก จ้อนก็ก้าวพ้นเหลี่ยมโขดหินข้างบังกะโลหลังน้อยนั้นพอดี ชายหนุ่มกระโดดแผล็วกลิ้งร่างลงกับพื้นใช้โขดหินเป็นที่กำบังแต่ก็ไม่พ้นวิถีกระสุนของเบิ้มสมุนตัวเอ้ของเจ้าพ่อจอมโหด กระสุนปืน 9 มม.ทะลุไหล่ซ้ายของนายจรจรัลเลือดสาด เขาปวดร้าวไปครึ่งซีกเกือบจะทนไม่ไหว จ้อนแข็งใจกลิ้งร่างหลุนๆไปตามพื้นหินปนทรายเพื่อที่จะเถลือกไถลไปยังโขดหินอีกก้อนหนึ่งที่อยู่ติดกัน
"เฮ้ย ! เรือโดนระเบิดโว้ย" เสียงนายดิลกตะโกนลั่นเสียงหลง
จังหวะนั้นเองที่เบิ้มหันกลับไปดู จ้อนจึงหลบพ้นบังโขดหินได้สำเร็จ เขาหอบหายใจถี่ๆด้วยความเจ็บปวด เบิ้มหันกลับมาอีกครั้ง มันย่างสามขุมตรงเข้าไปหวังที่จะเผด็จศึก เพราะมันรู้ดีว่าหนุ่มจ้อนปราศจากอาวุธใดๆทั้งสิ้น มันยกปืนขึ้นเล็งไปยังกลางหว่างอกของชายหนุ่ม
"ว้าย..พี่จ้อน" เสียงของน่านนทีกรีดร้องดังลั่นมาจากทางดงมะพร้าวข้างบังกะโล ซึ่งเธอขอตามมากับนายดาบตำรวจบุญเที่ยง
สมุนปืนไวของเจ้าพ่อบางมะขามตวัดปากกระบอกปืนกลับมาตามเสียงนั้นโดยอัตโนมัติพร้อมกับสาดกระสุนเข้าใส่
ปัง !
ร่างของหญิงสาวที่โผล่ออกมาพ้นต้นมะพร้าวด้วยความลืมตัวเพราะเกรงไปว่าชายหนุ่มคนรักจะถูกยิงซ้ำ จึงกลายเป็นเป้าโดยปราศจากที่กำบังเสียเอง คมกระสุนทะลุร่างน่านนทีออกทางเบื้องหลัง หญิงสาวตัวงอล้มฟุบคว่ำหน้าลงไปกับพื้นทรายทันที
ด.ต.บุญเที่ยงเหนี่ยวไกสวนไปในเวลาเดียวกันกับที่เบิ้มสาดกระสุนยิงน่านนที กระสุน 11 มม.เจาะเข้ากลางอกของมันอย่างเต็มรัก สมุนตัวเอ้ของเจ้าพ่อจอมโหดหงายหลังล้มตึง
โกหลกเล็งปืนยิงมาทางดงมะพร้าวอย่างเดาสุ่ม กระสุนปืนถากต้นมะพร้าวฉีกกระจุย
อาเม้งเป็นคนเดียวที่มีสติและจงรักภักดีต่อเจ้าพ่อบางมะขาม เขาวิ่งไปบังร่างของเจ้านายเพื่อคุ้มกันพร้อมกับสาดกระสุนรัวไปทางดาบบุญเที่ยงและพรรคพวกเสียงดังราวข้าวตอกแตก แต่กระสุนนัดสุดท้ายของลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ก็พลันทิ่มลงดิน เพราะปรากฏว่าร่างของเขาถูกระสุนพร้อมกันที่ไหล่ซ้ายและท้องฝังในทั้งสองนัด อาเม้งโอดร้องครวญครางทรุดฮวบลงอยู่ข้างโขดหิน ในขณะเดียวกันนั้นเจ้าพ่อบางมะขามก็กระโดดหลบเข้าบังโขดหินแห่งนั้นได้ทันท่วงที
ส่วนสมุนอีกสามคนของเจ้าพ่อบางมะขามที่ตามมาคุ้มกันก็โดนกระสุน 9 มม.ของลุงชูคนหนึ่งและ .44 แม็กนั่มของหนุ่มโซ้ดอีกสองคนนอนหงายเลือดนองอยู่ใต้ชายคาบังกะโลหลังน้อยนั่นเอง
จ้อนกัดฟันคลานมาที่ร่างของเบิ้มที่นอนแน่นิ่งอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มยึดเอาปืนรีวอลเวอร์ 9 มม.มาจากมือของสมุนตัวเอ้ของนายดิลก เขาง้างนกเล็งปืนไปทางเจ้าพ่อจอมโหดที่กำลังบังโขดหินยิงต่อสู้กับดาบบุญเที่ยงและพวกแล้วเหนี่ยวไก
ปัง !
กระสุนทะลุโคนขาของนายดิลกจนร่างเขยกล้มลง เจ้าพ่อบางมะขามกระโดดตะกายพรวดพราดหนีวิถีกระสุนไปทางแท่นหินที่อยู่ใต้ต้นสมอทะเลหรือต้นกุระข้างธารน้ำไหล
"โกหลก...วาระสุดท้ายของมึงมาถึงแล้ว !" เสียงลุงชูตะโกนลั่นดังมาจากทางดงมะพร้าว
เจ้าพ่อบางมะขามระเบิดกระสุนเข้าใส่แทนคำตอบ
"กูมาทวงชีวิตของมึงแทนท่านขุนชำนิฯ"
"มึงเป็นใครกันวะ !?"
"กูไอ้ชูไงล่ะ มึงจำกูไม่ได้หรือวะ ?"
"อ๋อ..ไอ้ขี้ข้าชูนี่เอง กูน่าจะฆ่ามึงให้ตายตามเจ้านายและน้องชายของมึงไปตั้งนานแล้ว..ไอ้ขี้เมา !"
"มึงฆ่าไอ้บุญช่วยน้องชายของกูเองรึ ?"
"เออซีวะ กูโยนให้ไอ้หลามในถ้ำกาหลงแดกไปตั้งนานแล้ว ฮะๆๆ !"
เจ้าพ่อจอมโหดตะโกนพร้อมด้วยเสียงหัวเราะเยาะดังลั่นอย่างบ้าคลั่ง เขาลืมความเจ็บปวดเสียสนิท
"งั้นมึงอย่าอยู่เลยวะ ไอ้ชาติชั่ว !"
ลุงชูตะโกนก้องพร้อมกับกระโดดออกมายืนจังก้าโดยไม่กลัวตาย ประมงเฒ่านักเลงสุราเดินพลางสาดกระสุน 9 มม.เข้าใส่ร่างของเจ้าพ่อบางมะขามอย่างเมามัน
นายดิลกกัดฟันเหนี่ยวไกรัวกระสุนเข้าใส่ร่างของลุงชูเช่นเดียวกัน แท่นหินใต้ต้นกุระนั้นเตี้ยเกินไปที่จะหลบกระสุนได้ถนัด อีกประการหนึ่งเขาถูกกระสุนของจ้อนเข้าที่โคนขาขวาทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวกจึงกลายเป็นเป้านิ่งให้นักตกปลาวัยดึกเล็งยิงเอาตามสบาย
กระสุนนัดหนึ่งของลุงชูจับเปาะเข้าที่ไหปลาร้าข้างซ้ายของนายดิลกเข้าจังเบอร์ ทำเอาร่างของเจ้าพ่อจอมโหดสะดุ้งสุดตัวลุกขึ้นไปนั่งบนแท่นหินโดยอัตโนมัติ
"นัดแรกนี้สำหรับไอ้บุญช่วยน้องกู"
ลุงชูพูดพลางยิงพลางเหมือนคนบ้า !
แม้ว่าตัวของลุงชูเองนั้นก็โดนกระสุน 11 มม.ของโกหลกเข้านัดหนึ่งที่ชายโครงด้านซ้ายเช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าแกไม่ได้สะดุ้งสะเทือนเลย คงเดินย่างสามขุมเข้าใส่อย่างลืมตาย
"นัดต่อไปสำหรับท่านขุนฯ ผู้ชุบเลี้ยงกู"
กระสุนนัดสุดท้ายของลุงชูทะลุเข้ากลางอกเจ้าพ่อจอมโหดซึ่งหงายหลังตึงนอนแผ่หลาลงกลางแท่นหินใต้ต้นสมอทะเลหรือต้นกุระนั่นเอง
บัดนี้นายดิลก ยงสุรพันธ์พงษ์หรือโกหลกหรือเจ้าพ่อบางมะขามแห่งเกาะสมุยถิ่นท่องเที่ยวแดนสวรรค์ !
จอมโหดแห่งเกาะกาหลง !
เจ้าของอาถรรพ์แห่งถ้ำกาหลงและบ่อฉลามกินคนอันลือลั่น !
ได้ปิดฉากชีวิตหฤโหดอันน่าเกรงขามลงแล้ว !
บนแท่นหินที่มีรูปสลักสมอเรืออยู่ตรงกลางภายใต้ต้นกุระริมธารน้ำไหลลงสู่ทะเลที่ร่างไร้วิญญาณของโกหลกนอนอยู่นั้น เจ้าตัวหารู้ไม่ว่าจุดที่เขาสิ้นใจนั้นแท้ที่จริงก็คือ พิกัดตำแหน่งสุดท้ายของปลายเส้นขนานบนเกาะขนานนั่นเอง
เขาได้ค้นพบสมบัติที่มีค่ามหาศาลของโจรสลัดตามลายแทงแล้ว แต่ทว่าเพราะความโลภแท้ๆที่ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้เห็นมัน !
***************
จ้อนนอนตะแคงมองจากเตียงคนไข้ของนายแพทย์เพิ่มศักดิ์ไปยังเตียงคนไข้อีกเตียงหนึ่งซึ่งอยู่กันคนละมุมห้อง ชายหนุ่มยิ้มออกมาเมื่อเห็นเจ้าของเตียงนั้นลืมตาขึ้นมองมายังเขา ใบหน้าอันอิดโรยของน่านนทีที่เกิดจากพิษบาดแผลที่ถูกกระสุนปืนจาก...การผจญภัยในครั้งนั้นดูดีขึ้นมาก เกือบเดือนแล้วที่ทั้งคู่ต้องมานอนซมอยู่ที่นี่ สำหรับจ้อนนั้นเขาอาการดีจนเกือบหายเป็นปกติแล้ว ชายหนุ่มลุกจากเตียงคนไข้ก้าวเดินข้ามไปยังเตียงของหญิงสาว เขาเอื้อมมือไปเสยผมหญิงสาวเผยให้เห็นหน้าผากนูนสวยและดวงตากลมโตหวานซึ้งภายใต้ขนคิ้วเรียวงามพลางก้มหน้าลงบรรจงจูบเบาๆที่หน้าผากนูนสวยนั้น น่านนทีเผยอยิ้มอย่างมีความสุข
"เห็นน่านยิ้มอย่างนี้แล้วทำให้พี่สบายใจ"
"พี่จ้อนรู้ไหมค่ะว่าขณะนี้น่านมีความสุขมากที่สุด"
"รู้สิจ๊ะ พี่เองก็มีความสุขไม่แพ้น่านเหมือนกัน ชีวิตนี้พี่เป็นหนี้ชีวิตน่านทั้งชีวิตเลยรู้หรือเปล่าจ๊ะ เพราะถ้าน่านไม่ตะโกนช่วยพี่ในวันนั้นจนตัวเองต้องถูกยิงแล้ว พี่อาจโดนไอ้เบิ้มมันเป่าพี่ดิ้นเป็นผีไปแล้วก็ได้"
"เอ้อ...ก็น่านเป็นห่วงพี่จ้อนนี่ค่ะ เพราะตอนนั้นพี่จ้อนไม่มีทางสู้มันได้เลย ปืนก็ไม่มี ซ้ำยังถูกยิงอีกด้วย"
"ขอบใจมากที่สุดเลยที่รัก น่านเป็นห่วงพี่อย่างเดียวเหรอจ๊ะ ?"
จ้อนถามพร้อมกับยื่นจมูกเข้าไปจูบอีกฟอดใหญ่ที่พวงแก้มข้างซ้าย
"น่านทั้งรักทั้งเป็นห่วงพี่จ้อนทั้งสองอย่างนั่นแหละ"
"พี่เองก็ทั้งรักและเป็นห่วงน่านเช่นเดียวกันจ๊ะที่รัก !"
ใบหน้าอันอิดโรยซูบเซียวของน่านนทีจากพิษบาดแผลหายวับไปราวกับปลิดทิ้ง
ฉับพลันนั้นใบหน้าของหญิงสาวกลับมีเลือดฝาดเข้ามาแทนที่ !
ความสุข ความรักและกำลังใจ !
คือยาวิเศษที่สมานแผลได้ชะงัดกว่ายาจากตำรับใดๆทั้งสิ้นที่มีอยู่ในโลกนี้ !
***************
ลุงชูได้รับมอบหมายจากจ้อนและกำนันใจเด็ดเพื่อนรักเจ้าของเส้นขนานรีสอร์ตที่บินด่วนกลับจากกทม.หลังจากเกิดเหตุให้เป็นผู้ควบคุมทำการขุดค้นหาสมบัติโจรสลัด ซึ่งเป็นของสลัดเหลืองหรือเสือเหลืองผู้โด่งดังแห่งอ่าวไทยในอดีต
ณ ที่ใต้ต้นกุระนั้นลุงชูได้รื้อเอาแท่นหินที่สลักรูปสมอเรืออยู่ด้านบนออกก็พบสมบัติมหาศาลสุดที่จะประมาณค่าได้ ทำให้เป็นข่าวใหญ่ฮือฮาไปทั่ว หนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ทุกสถานีทั้งไทยและต่างประเทศพากันมาทำข่าวและถ่ายทำรายการเป็นที่โกลาหล
ทำให้เกาะขนานคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนทั้งนักทัศนาจร ผู้สื่อข่าวและคณะถ่ายทำรายการรวมถึงผู้ที่สนใจในข่าวที่ตื่นเต้นจนแน่นล้นเลยไปถึงเกาะเต่า เกาะนางยวนและจังหวัดไกล้เคียง
ลุงชูดังไปหลายวัน !
แกเพียรเล่าเรื่องหลายรอบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ จนรู้สึกเบื่อถึงคำถามเดิมๆที่ผู้สื่อข่าวต่างสำนักยื่นไมค์มาให้แทบไม่มีเวลาได้พักผ่อนละเลียดดื่มน้ำเปลี่ยนนิสัยของโปรด !
เมื่อไปปรึกษาจ้อนผู้ซึ่งพยายามชิ่งหนีนักข่าวอยู่ตลอดเวลา ก็ได้ช่วยจัดการนัดแถลงข่าวให้อย่างเป็นทางการ โดยกว่าจะเข้าที่เข้าทางได้ก็กินเวลาหลายวัน เพราะว่าผู้สื่อข่าวได้กระจัดกระจายกันอยู่ทั่วไปตามเกาะแก่งต่างๆ บางสำนักปักหลักที่เกาะสมุยและเกาะพะงัน มีบางสำนักปักหลักที่โรงแรมดังเพื่อแถลงข่าวรายวันในโรงแรมดังทั้งที่สุราษฎร์ธานีและที่ชุมพร
ลุงชูใช้เวลาหลายวันทำการขุดค้นและรวบรวมสมบัติทั้งหมด จ้อนได้จัดทำบัญชีส่งมอบถวายสมบัติทั้งหมดให้แก่วัดเกาะขนานโดยมีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นประธานในพิธีส่งมอบ และผู้ที่เป็นผู้มอบถวายวัดก็คือกำนันใจเด็ด แจ้งขนานชลบิดาของจ้อนเจ้าของเส้นขนานรีสอร์ตผู้ซึ่งเป็นเจ้าของสถานที่นั่นเอง
ทั้งหมดนี้เป็นไปตามความประสงค์ของจอมสลัดเหลืองหรือเสือเหลืองที่มาเข้าฝันปรากฎให้ลุงชูเห็นตั้งแต่ต้นและเป็นต้นเหตุให้ได้พบทรัพย์สมบัติอันมหาศาลในครั้งนี้
ฉนั้นนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปเกาะขนานจะเห็นโบสถ์วิหารตั้งเด่นเป็นสง่าบนเนินเขาแต่ไกล สีขาวและสีทองอร่ามสะท้อนผิวน้ำระลอกคลื่นพลิ้วเป็นเสน่ห์เพิ่มขึ้นอีกอย่าง ณ เกาะขนานดินแดนท่องเที่ยวอันอำไพแห่งท้องทะเลไทยแห่งนี้
*********
ณ สนามบินสุวรรณภูมิ
แอนนามารีเอื้อมมือทั้งสองขึ้นโอบรอบคอของจรจรัลพร้อมกับเผยอปากขึ้นรอรับการจุมพิตจากชายหนุ่มด้วยดวงจิตพิศวาสเต็มทรวงใน รสจูบครั้งสุดท้ายก่อนที่จะลาจากกันในครั้งนี้ ทำเอาหัวใจของจ้อนและแอนนามารีหวั่นไหวขึ้นอีกคำรบหนึ่งทั้งๆที่เขาและเธอได้ตกลงและตัดสินใจกันอย่างแน่วแน่แล้วว่า.....
ครั้งนี้เป็นการลาจากกันครั้งสุดท้ายในฐานะคนรักที่เคยมีหัวใจรักให้แก่กันครั้งหนึ่ง ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมามันจะเป็นเพียงอดีตที่กำลังจะผ่านพ้นไปก็ตาม แต่ลึกๆในดวงจิตของทั้งคู่นั้นยังคงมีหัวใจรักให้แก่กันและกันเสมอ ดูเหมือนว่าความรักนี้เป็นเสมือนรอยแผลเป็นที่ฝังรากลึกเข้าไปในก้นบึ้งของหัวใจของคนทั้งสองอย่างชนิดที่ไม่มีวันลบเลือนไปจากจิตใต้สำนึกได้เลย ในเมื่อทุกคราที่นึกถึงหรือมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาสะกิดแผลใจแล้วไซร้ ไม่แน่ว่าไฟสวาทที่มอดไหม้ไปแล้วอาจกลับลุกโชนขึ้นมาใหม่ได้อีกในอนาคต หากเป็นเช่นนั้นจริงจะมีสิ่งใดเล่าที่จะสามารถดับไฟสวาทที่โหมกระพือลุกขึ้นมาใหม่นั้นได้อีก
น้ำใจที่สดใสสะอาดและเยือกเย็นปานน้ำทะเลในมหาสมุทรของน่านนทีแม้จะสามารถดับไฟสวาทที่เพิ่งจะเริ่มครุกรุ่นขึ้นได้ในครั้งแรกนี้ก็ตาม แต่ทว่าเหตุการณ์ข้างหน้านั้นอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน พระพรหมองค์ใดเล่าที่จะลิขิตได้ว่า น่านนทีนั้นสามารถที่จะครองใจชายหนุ่มตลอดไปและทำได้เช่นเดิมอีกครั้งหรือเปล่า ?
แต่นายจรจรัลคนนี้ได้ถูกลิขิตโดยเส้นขนานแห่งความรักแล้ว !
แอนนามารีก็เช่นเดียวกันที่ถูกเส้นขนานแห่งความรักลิขิตอย่างโหดร้าย จนทำเอาเธอแทบทนไม่ไหว !
มีรักก็ต้องมีพราก !
หรือนี่คืออีกมิติหนึ่งของลิขิตเส้นขนาน !?
รอยจุมพิตที่จ้อนและแอนนามารีได้ประทับให้แก่กันและกันในครั้งนี้นั้นนับได้ว่า คือรอยจุมพิตที่ได้ประทับไว้เป็นอนุสรณ์แห่งอมตะของความรักอันแท้จริง
เพราะความรักคือการเสียสละเพื่อคนที่เป็นที่รัก !
ยินดีที่จะเห็นคนที่ตนรักนั้นมีความสุข !
แม้ว่าตัวเองจะต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใดก็ตาม !?
เพื่อคนอันเป็นที่รักแล้ว เธอยินดีที่จะจากเขาไปทั้งๆที่ใจจริงนั้นยังรักเขาอย่างสุดขั้วหัวใจ น้ำตาของแอนนามารีไหลพรากลงนองแก้มทั้งสองข้างขณะที่เธอเดินเกาะแขน มร. ฮันส์ กุลลิคเซ่นผู้เป็นบิดาแน่น ก่อนที่จะก้าวออกจากห้องพักผู้โดยสารขาออกเพื่อไปขึ้นเครื่องบินนั้นแอนนามารีหันกลับมามองชายหนุ่มเป็นครั้งสุดท้าย
ฉับพลันท่ามกลางความตกตลึงของผู้โดยสารที่กำลังทยอยพากันเดินออก แอนนามารีก็ปล่อยแขนบิดาผวาหันหลังวิ่งสวนทางกลับมาหาชายหนุ่ม ต่างโผเข้าสู่อ้อมแขนของกันและกัน โอบกอดกันแน่น ทั้งคู่จุมพิตกันนิ่งนานอีกครั้งหนึ่ง แอนนามารียิ้มทั้งน้ำตา
"แอนน์ลาก่อนค่ะจ้อน ขอให้โชคดีนะค่ะที่รัก แอนน์จะจำไว้เสมอว่าแอนน์ได้ลืมหัวใจทิ้งเอาไว้ตามลิขิตแห่งเส้นขนาน !"
********* อวสาน *********
เมื่อวันที่ : ๒๑ พ.ค. ๒๕๕๐, ๐๓.๔๗ น.
เฮ้อ....ความรักที่เป็นเหมือนเส้นขนาน....ลุงปิงเข้าใจโยงชื่อเรื่อง เนื้อเรื่อง สมบัติ และความรักเข้ากันกับคำว่า "เส้นขนาน" อย่างแนบเนียน ด้วยวิธีเล่าที่กระชับ ไม่ยืดยาด....ตัวละครเอกมีบุคลิกชัดเจนตามที่ควรจะเป็น
ชอบใจที่ลุงปิงอธิบายเรื่องเส้นลองติจูดกับละติจูดจัง....อ่านแล้วเห็นภาพไปด้วย
มอบ
ปล. สงสัยจังว่า ทำไมกินชิชกะบับของโกหล่วนจึง "เมา" ได้....ไอ้ที่เมาเห็นท่าจะเป็นของที่ดื่มคู่กับชิชกะบับกระมังคะ.....ห้า ห้า ห้า
ขออนุญาตล้อเลียนลุงปิงมาด้วยความนับถือ