![]() |
![]() |
กาบแก้ว![]() |
...เพราะเธอก็คือหนึ่งในผู้ที่ถูกเลือกให้ดำเนินงานตามแผนการในครั้งนี้ด้วย !...
ตอน : แผนซ้อนแผน
"ฮัลโหล !"นายจรจรัลกรอกเสียงเข้าไปในกระบอกหูโทรศัพท์เบาๆ แต่ไม่มีเสียงตอบทั้งๆที่มีผู้ยกหูรับสาย เขาพูดซ้ำอีกครั้ง
"ฮัลโหล ! น่านจ๊ะ...นี่พี่จ้อนเอง"
"สวัสดีค่ะ..พี่จ้อน น่านคอยพี่ตั้งนาน" เสียงของน่านนทีเบาจนเกือบเป็นเสียงกระซิบ "น่ากลัวจังเลยค่ะพี่จ้อน !"
"ไม่ต้องกลัวหรอกน่าน พี่และพรรคพวกกำลังเดินทางไปช่วย"
"พวกมันเดินเพ่นพ่านกันเต็มไปหมด แถวๆรอบบังกะโลนี่ก็มีค่ะ ถือปืนกันทุกคน"
"ยายจันทร์กับพวกเรายังคงถูกกักขังอยู่ที่ห้องอาหารหรือเปล่า ?"
"อยู่ค่ะ น่านแอบดูจากบังกะโลนี่เห็นชัดเลยค่ะ พวกเราอยู่ที่นั่นทั้งหมด"
"แล้วพวกลูกค้าเราที่มาพักที่บังกะโลล่ะ ?"
ชายหนุ่มถามด้วยความกังวลใจ เขาเกรงว่าลูกค้าชาวต่างชาติที่มาพักจะเป็นอันตราย และเสียหายกระทบกระเทือนไปถึงการท่องเที่ยวตามหมู่เกาะแถบนี้
"น่านเห็นพวกมันไล่ไปรวมกันแน่นอยู่ที่คอฟฟี่ช็อพ บางส่วนก็ถูกต้อนไปรวมกันอยู่ในห้องอาหารร่วมกับพวกเรา"
"น่านจ๊ะ"
"ขา.."
"พี่เป็นห่วงน่านมาก...ระวังตัวให้ดีนะจ๊ะ"
"ค่ะ..พี่จ้อน น่านก็เป็นห่วงพี่จ้อนเช่นกัน..น่านรักพี่จ้อนมากค่ะ"
ชายหนุ่มสะอึกเมื่อได้ยินคำกล่าวที่แสนซื่อของน่านนที ตัวเขาเองนั้นก็มีใจรักเธอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วมากเหมือนกัน หากแต่ว่าทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้น่านนทีทำไมใจเขาจึงอดที่จะประหวัดถึงสาวนอร์วีเจี้ยนผมบลอนด์มิได้เลย
หรือว่าเขาหลงรักเธอทีเดียวพร้อมกันถึงสองคน !
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวลาที่เขาได้อยู่ใกล้ชิดแอนนามารีเพียงลำพังนั้น แม้เธอจะอยู่ในอ้อมกอดของเขา แต่เขาก็อดที่จะประหวัดถึงน่านนทีสาวน้อยหน้าหวานแสนดีคนนี้มิได้เช่นเดียวกัน
นายจรจรัลนึกโมโหตัวเองอย่างบอกไม่ถูก !
หรือว่าเขาเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งที่ชอบให้มีคนรักและเอาใจพร้อมกันหลายๆคน ?
เขาคงต้องหาเวลาว่างแวะไปหาจิตแพทย์สักครั้งหนึ่งเพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริง !
"พี่ก็รักน่านมากเช่นเดียวกัน" จ้อนได้ยินเสียงของตัวเขาเองตอบเธอไปอย่างนั้นด้วยความจริงใจ
"น่านฟังพี่ แล้วทำตามที่บอกดังต่อไปนี้นะจ๊ะ" ชายหนุ่มบอกเธอ
"ทำอะไรหรือค่ะพี่จ้อน ?"
"นี่เป็นแผนการช่วยเหลือพวกเราจากเหล่าร้ายพวกนั้น ซึ่งมันเป็นแผนการที่พวกเราร่วมกันคิดกับดาบบุญเที่ยง เสี่ยงอันตรายหน่อยแต่มันจำเป็นต้องทำ น่านตกลงที่จะช่วยพวกเราหรือเปล่าจ๊ะ ?"
"ตกลงค่ะพี่จ้อน !"
นายจรจรัลอธิบายถึงแผนการทั้งหมดที่เขาได้ร่วมกันวางแผนกับนายดาบตำรวจบุญเที่ยงและพรรคพวกให้น่านนทีรู้ทั้งหมด
เพราะเธอก็คือหนึ่งในผู้ที่ถูกเลือกให้ดำเนินงานตามแผนการในครั้งนี้ด้วย !
หลังจากปิดโทรศัพท์มือถือแล้ว นายจรจรัลก็หันมาทางลุงชูพร้อมกับกล่าวถามอย่างเป็นงานเป็นการ
"ลุงชู...ลุงคิดว่าสมบัติอยู่ที่ปลายเส้นขนานแน่หรือครับ ?"
"มาถึงตอนนี้ผมคิดว่าค่อนข้างแน่ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยครับ เพราะเมื่อเทียบจากความฝันของผมกับสิ่งที่โกหลกพูด มันไม่น่าจะตรงกันได้ทุกคำพูดอย่างนั้น"
"โอเค...เดี๋ยวพี่ดาบดับไฟแล้วเอารถไปจอดที่ใกล้แท่นหินข้างร่องน้ำไหลด้านหลังบังกะโลหลังสุดท้ายนั่น ทางปลายแหลมด้านโน้น" จ้อนกล่าวกับนายดาบตำรวจบุญเที่ยงพร้อมกับชี้มือบอกทาง
ด.ต.บุญเที่ยงดับไฟหน้ารถตามที่จ้อนบอก เบาเครื่องแล้วค่อยๆขับเคลื่อนคลานเข้าไปจอดที่ข้างบังกะโลที่แอนนามารีเคยพักก่อนที่หล่อนจะถูกจับตัวไปเกาะกาหลง ด้านหน้ามีแท่นหินอยู่ใต้ต้นไม้ที่โซ้ดเคยบอกเขาว่ามันคือต้นกุระ ด้านบนแท่นหินนั้นมีคนมือบอนแกะสลักเป็นรูปสมอเรือเอาไว้
อันต้นกุระนั้นเป็นชื่อภาษาท้องถิ่นทางใต้ !
ชื่อสามัญของต้นไม้นี้ก็คือสมอทะเล !
ณ ที่ตรงนี้เป็นธารน้ำไหล นับได้ว่าเป็นปลายสุดของเกาะขนานนี้ซึ่งเป็นแหลมที่ยื่นออกสู่ทะเล
มองออกไปจากที่ตรงนี้ในตอนกลางวันจะเห็นทิวทัศน์ที่งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของเกาะขนานทีเดียว !
"ปลายเส้นขนาน !"
จ้อนคิดว่านี่คือปลายเส้นขนานที่พวกเขาพูดถึงและตามหากันแทบพลิกแผ่นดิน แท้ที่จริงแล้วมันอยู่แค่ปลายจมูกนี่เอง !
เพียงแต่ว่าสมบัติโจรสลัดของเสือเหลืองที่ว่านั้นอยู่ที่ตรงไหนเท่านั้นเอง !?
การค้นหาคงวุ่นวายมากทีเดียว เพราะว่าสมบัติมากมายอย่างนั้นต้องซ่อนอยู่ใต้ดินอย่างแน่นอน !
ไม่ใช่คิดว่าเมื่อเจอแหล่งที่ระบุแล้วจะหิ้วเอาทรัพย์สมบัติไปได้เลย ราวกับว่ามันวางตั้งรอให้ยกเอาไปอยู่ตลอดเวลา !
จ้อนหันไปกระซิบเบาๆที่ข้างหูของลุงชู
"ตรงนี้แหละคือ ปลายเส้นขนาน ที่ลุงว่า"
"จริงหรือคุณจ้อน ?" ลุงชูทำตาโต
"แน่นอนที่สุดตามการคำนวณของผม !" หนุ่มจรจรัลยืนยัน
"ถ้าอย่างงั้น สมบัติของท่านผู้เฒ่าเสือเหลืองนั่นต้องอยู่ที่นี่ละสิ !" ลุงชูพูดอย่างตื่นเต้น กวาดสายตามองไปรอบๆ คล้ายกับจะมองให้ทะลุว่าสมบัติที่ว่านั้นควรจะซุกซ่อนอยู่ ณ ที่ใด
"ผมเตรียมอาวุธที่ต้องการพร้อมแล้ว เรารีบไปช่วยพวกนั้นกันก่อนสว่างเถอะครับคุณจ้อน" นายดาบตำรวจหนุ่มใหญ่เอ่ยเตือนขึ้น
"ไปกันเถอะจ้อน" เสียงโซ้ดเรียกมาจากแนวร่องน้ำใต้ต้นกุระ
ทั้งหมดเดินตามโซ้ดไปทางด้านหน้าเส้นขนานรีสอร์ต พวกเขาค่อยๆลัดเลาะไปตามเงาไม้และเงามืดของบังกะโล
จ้อนนั้นถึงกับสะอึกเมื่อเข้าไปใกล้ออฟฟิศของเขา แรงระเบิดที่เขาได้ยินตั้งแต่เมื่อตอนอยู่ที่คลีนิคของหมอเพิ่มศักดิ์นั้นทำเอาด้านหน้าของออฟฟิศตรงที่เขานั่งทำงานหายไปครึ่งหนึ่ง ดีแต่ว่าเป็นยามวิกาลในตอนดึกไม่มีผู้คนอยู่ภายในจึงไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย
สภาพของคอฟฟี่ช็อพและห้องอาหารนั้นดูเงียบกริบหากแต่แน่นไปด้วยผู้คน ลูกน้องของโกหลกที่ยืนถือปืนจังก้าคุมอยู่ภายนอกรอบอาคารทั้งสองนั้นทำเอาผู้ที่อยู่ภายในไม่มีผู้ใดกล้าส่งเสียงโวยวาย พากันนิ่งเงียบบางคนนั่งตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว
นักท่องเที่ยวที่ถูกปลุกด้วยเสียงระเบิดและลุกขึ้นออกมาดู พากันถูกต้อนเข้าไปอยู่ภายในอาคารทั้งสองจนแน่นไปหมด
จ้อนพยายามมองเข้าไปในห้องอาหาร เพื่อดูว่าจันทร์จิราและคนของเขารวมตัวกันอยู่ ณ ตำแหน่งใด
***************
น่านนทีแต่งตัวอย่างรัดกุมขณะที่เปิดประตูบังกะโลก้าวเดินลงมาสู่พื้นทรายเบื้องล่าง เธอเดินตรงไปทางห้องอาหารและคอฟฟี่ช็อพที่มีคนถูกกักขังแน่นอยู่ภายในเต็มไปหมด
เกือบจะทันทีที่ร่างของเธอต้องแสงไฟที่ส่องสว่างมาจากหน้าห้องอาหาร น่านนทีก็ถูกประกบตัวจากชายร่างใหญ่ที่ยืนถือปืนคุมทางเข้าอยู่ด้านหน้า
"ไปไหนจ๊ะคนสวย ?" เบิ้มคือชายร่างใหญ่นั้นร้องทัก
น่านนทีทำท่าทางตกใจยกมือขึ้นกุมคอ หน้าตาตื่นตระหนกพร้อมกับชี้มือเข้าไปในห้องอาหาร
"มาหาใครจ๊ะ ?"
"เพื่อนฉันอยู่ข้างในนั้น"
"ใคร ?"
"จันทร์จิรา เจ้าของที่นี่"
เบิ้มยกปืนในมือขึ้นโบกให้สัญญาณเป็นเชิงบอกให้เธอเดินไปที่ประตูทางเข้าห้องอาหาร
สมุนคนที่ยืนคุมอยู่ที่ประตูเอื้อมมือผลักประตูเปิดออกให้น่านนทีเดินเข้าไปภายใน เบิ้มตามมาที่ประตูซึ่งยังเปิดอ้าอยู่พลางชะโงกหน้าตะโกนเข้าไปบอกคนที่อยู่ข้างใน
"คุณจันทร์จิรามีญาติมาเยี่ยม !"
"น่าน !" เสียงจันทร์จิราตะโกนมาจากในครัว
"จันทร์ !"
ชาวต่างชาติและนักท่องเที่ยวที่ถูกกักขังแน่นอยู่ภายในห้องอาหาร ต่างพากันหลีกทางให้เป็นช่อง น่านนทีเดินตรงเข้าไปในครัวที่เพื่อนรักทั้งสามยืนออกันอยู่
ทั้งสี่สาวกอดกันกลมก่อนที่จะมีใครพูดอะไรแก่กัน !
เสียงพูดคุยและปรับทุกข์กันจากผู้คนในห้องอาหารเริ่มดังขึ้นขณะที่น่านนทีกำลังเดินผ่านเข้าไปภายใน จากเสียงกระซิบเบาๆชักเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆกลายเป็นเสียงจ้อกแจ้กจอแจจนฟังไม่ได้ศัพท์ราวกับอยู่ในตลาดสดก็ไม่ปาน ถ้าไม่ได้ยินเสียงตวาดของเบิ้มที่ดังมาจากทางหน้าประตูแล้ว เสียงดังกล่าวก็คงดังกระหึ่มอย่างไม่มีวันรู้จักจบสิ้น
"เฮ้ย...เงียบโว้ย !"
เบิ้มตะโกนสุดเสียงพร้อมกับใช้ด้ามปืนเคาะประตูด้วยความเคยชิน
"อะไรกันวะ...คุยกันเสียงเป็นนกกระจอกเชียวโว้ย !"
เสียงที่คุยกันขรมเงียบสนิทเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นเบิ้มเอาจริงโดยเขาเอาปืนจ่อไปที่ศีรษะของนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกคนหนึ่ง ทำเอาหนุ่มตาน้ำข้าวอ้าปากหวอลืมตาโพลง
"โอมายก้อด...โอ้โน !" หนุ่มผิวเผือกผู้นั้นร้องเสียงหลง
นายดิลกเดินจากทางคอฟฟี่ช็อพตรงมาที่หน้าประตูห้องอาหารเมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากทางด้านนี้โดยมีอาเม้งเดินตามมาติดๆ เขายกมือตบบ่าเบิ้มสมุนตัวเอ้ของเขาเบาๆพลางเอ่ยถาม
"มีอะไรเกิดขึ้นหรือวะเบิ้ม ?"
"มีผู้หญิงเพื่อนคุณจันทร์จิราเพิ่งโผล่มาเมื่อตะกี้นี้ ผมเลยให้เข้าไปหากันข้างใน"
"อ้าว...แล้วทำไมเอ็งต้องตะโกนด้วยวะ ?"
"อ๋อ..เสียงคนอื่นๆคุยกันเสียงขรมหนวกหูจนฟังไม่รู้เรื่อง ผมเลยแกล้งตะโกนขู่พวกมัน และเอาปืนจ่อหัวไอ้ตาน้ำข้าวนี่มันถึงได้หุบปากกันเงียบ"
"อืม..ม ! ข้ามีเรื่องจะบอกเอ็งอย่างหนึ่ง ข้าจะเปลี่ยนแผน ข้าอยากให้เอ็งลากเอาตัวนังจันทร์จิรากับเพื่อนมันอีกสองสามคนไปกักไว้บนเรือเป็นตัวประกันดีกว่า รอให้ไอ้จ้อนกับพวกมันตามมาข้าจะเจรจากับมัน"
"ตกลงครับเจ้านาย"
เบิ้มกวักมือเรียกสมุนที่ยืนเฝ้าประตูอยู่ข้างๆให้ตามเข้าไปข้างในห้องอาหารด้วย นักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นหลีกทางแหวกเป็นช่องให้โดยอัตโนมัติเมื่อเห็นปืนในมือของทั้งสองคนที่ส่ายไปมาอย่างน่าหวาดเสียว
"คุณจันทร์จิราครับ" เบิ้มเอ่ยเรียกชื่อหญิงสาวเสียงเครียด
"มีอะไรหรือค่ะ ?"
"คุณกับเพื่อนสามคนนี่" เบิ้มเอาปืนชี้ไปทางเพื่อนสาวทั้งสามของเธอคือสุภาวิไล เรวดีและน่านนที "ตามผมออกไปข้างนอก"
"จะพาเราไปไหนหรือค่ะ ?"
"เจ้านายผมต้องการพบ"
สุภาวิไลและเรวดีต่างมองหน้ากันเองเลิกลั่กด้วยความหวาดกลัว ทั้งสองสาวเกาะมือจันทร์จิรากับน่านนทีกันคนละข้างแน่น
"ทำไมต้องเป็นพวกเราด้วย" สุภาวิไลเอ่ยขึ้นเสียงสั่น
"ไม่ต้องกลัว ไปกันเถอะ"
จันทร์จิราบอกเพื่อนรักพร้อมกับนำหน้าออกเดินตามเบิ้มโดยมีสมุนโกหลกอีกคนถือปืนคุมรั้งท้ายตามออกมา
เมื่อจ้อนแลเห็นเบิ้มเดินนำหน้าคุมตัวสี่สาวเดินออกมาหานายดิลกที่ยืนคอยอยู่หน้าคอฟฟี่ช็อพตรงทางเดินลงสู่ชายหาดนั้น เขารีบหันไปกระซิบกับนายดาบตำรวจบุญเที่ยงทันที
"พวกมันคุมตัวน้องสาวของผมและเพื่อนๆออกไปข้างนอกแล้วครับพี่ดาบ เราอาจจะต้องเปลี่ยนแผนกันนิดหน่อย"
"ผมกำลังดูอยู่เหมือนกันว่านายดิลกมันจะเอายังไงกันแน่"
"ดูคล้ายๆมันกำลังรออะไรอยู่สักอย่าง !"
"คิดว่ามันคงรอพวกเรานะเอง"
"รอพวกเรา ?"
"ใช่...รอให้พวกเราปรากฏตัวเพื่อแลกเปลี่ยนตัวประกันยังไงล่ะ ถ้าผมเดาไม่ผิด" ดาบบุญเที่ยงตั้งข้อสังเกต
"ถ้าอย่างนั้นผมออกไปพูดกับมันเอง" ลุงชูที่นิ่งฟังอยู่นานเสนอตัว
"อย่าเลยลุง ! มันคงอยากคุยกับผมมากกว่า ตัวประกันคือน้องสาวของผม อีกอย่างมันเล่นซะออฟฟิศของผมเละไปหมด"
"ระวังตัวหน่อยก็แล้วกันคุณจ้อน" นายดาบตำรวจเอ่ยเตือน
"ขอบคุณมากพี่ดาบ เฮ้ยโซ้ด ! ข้าว่าเอ็งไปกับลุงชูเอาระเบิดที่เตรียมไว้ไปดักรอที่เรือโชคโอฬารตามแผนบี"
"ตกลงเพื่อน...แต่ข้าจะรอดูเอ็งเจรจากับไอ้โกหลกนั่นก่อน บอกตรงๆข้าไม่ไว้ใจมันเลยว่ะ เมื่อข้าแน่ใจว่าเอ็งปลอดภัยข้าจึงจะไปทำตามแผน ข้าเป็นห่วงเอ็งว่ะจ้อน"
โซ้ดพูดอย่างที่ใจเขาคิดด้วยความรักเพื่อนอย่างแท้จริง ทำเอาจ้อนซึ้งในน้ำใจของเพื่อนรักจนไม่อาจกล่าวใดๆออกมาอีกด้วยความตื้นตันใจ
"คุณไปคุยกับมันใกล้ๆ ประเดี๋ยวผมจะคอยคุ้มกันให้ ถ้าปรากฏว่าเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากล ผมจะซัดไอ้นายดิลกก่อนเพื่อนเลยแหละ" ดาบบุญเที่ยงบอกนายจรจรัลด้วยความเป็นห่วงเช่นเดียวกัน
"ไอ้ชาติชั่วคนนี้คบยาก มันฆ่าได้ทุกคนแม้แต่ผู้มีพระคุณ เพื่อผลประโยชน์ของมันคนเดียวเท่านั้น คุณจ้อนต้องระวังตัวเป็นพิเศษนะครับ" ลุงชูเอ่ยกระซิบเตือนที่ข้างหูของชายหนุ่มด้วยความหวังดี
"ขอบคุณทุกคนมากนะครับที่เป็นห่วง ผมจะระมัดระวังตัวให้มากที่สุด ผมเองก็อยากคุยกับมันอยู่แล้วด้วยว่าจะเอายังไงกันแน่" จ้อนเอ่ยบอกเพื่อนร่วมตายทั้งสามแม้จะต่างวัยกันก็ตามแต่น้ำใจสำคัญที่สุด
จ้อนผละเดินจากไปทางด้านข้างอาคารออฟฟิศของเขาที่ถูกระเบิดทำลายไปครึ่งหนึ่ง ชายหนุ่มอาศัยส่วนที่เหลือเป็นฉากกำบังในการที่จะเจรจากับนายดิลกเจ้าพ่อบางมะขามจอมโหด มือที่กำด้ามปืนแน่นของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาหายใจลึกๆก่อนที่จะตะโกนออกไปทางที่โกหลกยืนอยู่
"โกหลก...นี่ผมจ้อน !"
"สวัสดีคุณจ้อน ! ผมกำลังอยากพบคุณอยู่พอดี" นายดิลกเอ่ยทักเสียงดังกังวาน
"ผมอยากทราบว่า..ที่ทำแบบนี้คุณต้องการอะไรจากเรา ?"
"สมบัติโจรสลัด ! ผมอยากรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ?"
"ผมจะไปรู้ได้ยังไงล่ะครับ !"
"งั้น...ผมขอพูดกับคุณเป็นการส่วนตัว คุณจ้อน"
"ทำไม ?"
"เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน !"
"เปลี่ยนกับอะไร ?"
"ตัวประกัน ! น้องสาวของคุณและสามสาวนี่"
"ถ้าอย่างนั้นโกหลก คุณเดินมาหาผมที่ด้านข้างออฟฟิศที่โดนพวกคุณระเบิดนี่ แต่คุณต้องมาตัวเปล่าปราศจากอาวุธ"
"ตกลงคุณจ้อน" เจ้าพ่อบางมะขามตอบอย่างมั่นใจในตัวเองพลางยื่นปืนในมือให้อาเม้งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ "ผมปลอดอาวุธแล้วนะคุณจ้อน"
"อีกกระบอกในอกเสื้อล่ะ โกหลก !" เสียงดาบบุญเที่ยงตะโกนมาจากใต้เงามะพร้าวข้างบังกะโลหลังหนึ่ง
เจ้าพ่อบางมะขามหันหน้าไปทางเสียงนั้นอย่างลังเล เพราะเขาจำได้ดีว่าเจ้าของเสียงคือนายดาบตำรวจคู่ปรับเก่าที่เคยขอร้องไม่ให้ทำการค้าสิ่งผิดกฎหมายทั้งปวงภายในเขตตำบลเกาะขนานที่เขารับผิดชอบ
เจ้าพ่อจอมโหดแห่งอ่าวไทยตอนล่างล้วงมือเข้าไนอกเสื้อ คีบเอาปืน .32 ออโตเมติกออกมายื่นให้อาเม้งอีกกระบอกหนึ่ง
"กรุณาแสดงตัวให้ผมเห็นด้วยคุณจ้อน"
"คุณไม่ไว้ใจผมหรือโกหลก ?" ชายหนุ่มชักฉุน "คุณมีผู้หญิงเป็นตัวประกันตั้งสี่คน !"
"โอเค..ๆ"
นายดิลกยกมือทั้งสองขึ้นระดับหน้าอกแสดงท่าทางยอมรับพร้อมกับส่ายหน้าอย่างหัวเสียที่ถูกลบเหลี่ยมโดยเด็กรุ่นลูก เขาเดินอาดๆตรงไปทางมุมมืดข้างออฟฟิศของเส้นขนานรีสอร์ตที่ถูกระเบิดทำลายเหลือเพียงครึ่งเดียว
หนุ่มจรจรัลเหน็บปืนไว้ที่เอว แล้วก้าวเดินออกมาจากมุมมืดของตัวอาคารอย่างช้าๆเพื่อประจันหน้ากับเจ้าพ่อบางมะขามโดยไม่ไว้วางใจนัก
"เริ่มเรื่องธุระสำคัญของคุณเลยดีกว่า โกหลก" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นก่อนอย่างใจร้อน
"คุณรู้เรื่องสมบัติโจรสลัดหรือเปล่า ?"
"ใครก็รู้กันทั้งนั้น"
"มันอยู่ที่ไหน ?"
"ไม่ทราบ"
"เอายังงี้..คุณจ้อนคุณรู้ไหมว่าปลายเส้นขนานอยู่ที่ไหน ?"
"เส้นขนานย่อมไม่มีวันพบกัน ไม่มีปลาย มันจะขนานกันตลอดไป"
"ผมหมายถึงเส้นขนานบนเกาะนี้"
"ผมรู้ แต่คุณต้องปล่อยน้องสาวของผมและตัวประกันทั้งหมดก่อน ผมจึงจะบอกตำแหน่งที่ว่าให้คุณทราบ"
"อืม..ม! ตกลงคุณจ้อน แต่ผมขอเหลือตัวประกันไว้คนหนึ่ง เพื่อป้องกันคุณเบี้ยว"
"ใคร ?"
"น้องสาวของคุณ !"
"ไม่มีทาง ผมยินดีที่จะเป็นตัวประกันแทนให้คุณดีกว่าที่จะปล่อยให้น้องสาวของผมได้รับอันตราย"
"ผมยินดีรับข้อเสนอ คุณจ้อน !"
"ถ้าตกลงอย่างนั้น..โกหลก..โปรดสั่งให้ลูกน้องของคุณถอยกลับไปที่เรือของคุณให้หมด แล้วปล่อยน้องสาวของผมและตัวประกันทั้งหมด ผมจะเดินไปพร้อมกับคุณ" พูดจบจ้อนก็กระตุกปืนออกจากเอวโยนทิ้งไปข้างๆ
"ตกลง...เฮ้ย ! เบิ้มปล่อยสี่สาวนั่นกลับไป แล้วบอกพวกเราให้ถอยกลับไปที่เรือทั้งหมด"
เจ้าพ่อบางมะขามตะโกนบอกสมุนตัวเอ้ด้วยเสียงดังกังวาน !
***************