![]() |
![]() |
กาบแก้ว![]() |
...ชายชราร่างใหญ่ยกเท้าซ้ายขึ้นเหยียบไปบนอกของลุงชู จี้ปลายดาบเงาวับนั้นจ่อไปตรงคอหอยของลุงชู หน้าตาถมึงทึงดูน่ากลัว...
ตอน : ปลายเส้นขนาน
หินก้อนโตน้ำหนักไม่ต่ำกว่าก้อนละ 10 กิโลกรัมที่ลุงชูอุ้มลุยน้ำลงมาวางบนเรือหาปลาคู่ชีพที่ทำจากไม้ตะเคียนทองอายุกว่ากึ่งศตวรรษนั้นนับรวมกันแล้วได้เกือบยี่สิบก้อน เรือหาปลาลำน้อยลอยปริ่มน้ำทะเลจวนจะจมมิจมแหล่เมื่อขณะที่ลุงชูเข็นมันลงไปยังช่วงที่น้ำลึกที่สุดภายใต้ถ้ำลอดนั้นแกค่อยๆเอียงกราบเรือเล็กน้อยเพื่อให้น้ำไหลเข้าไปจนเต็มลำ เรือลำน้อยพร้อมเครื่องยนต์ที่เจ้าของรักเป็นหนักหนาก็ค่อยๆจมลงสู่พื้นหินและทรายหยุ่นเบื้องล่าง พ่นพรายน้ำผุดขึ้นเป็นฟอง เพียงครู่เดียวเท่านั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูเงียบสนิทเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ชายวัยดึกวักน้ำทะเลขึ้นลูบหน้าด้วยความโล่งใจที่เหตุการณ์ผ่านไปด้วยดีตามความคาดหมาย แกลอยน้ำเดินลุยแค่คอมาจนเกือบถึงชายฝั่ง เมื่อลุกขึ้นยืนอีกครั้งหนึ่งนั้นน้ำที่เดินลุยมาสูงเพียงแค่เอวเท่านั้นเอง แกมองไปทางทิศตะวันตก แสงสีแดงเรื่อๆอ่อนแสงลงทีละน้อยอย่างรวดเร็ว ท้องฟ้าเริ่มครึ้มยามอาทิตย์อัสดง บัดนี้เป็นเวลาที่ความมืดของรัตติกาลได้คืบคลานใกล้เข้ามาเต็มทีแล้ว
ลุงชูรีบเดินลุยน้ำขึ้นฝั่งเดินอ้อมไปทางด้านหลังเนินเขาที่เป็นหินใหญ่แท่งนั้นมุ่งตรงไปยังใต้ต้นไม้ที่เห็นหนูถ้ำวิ่งออกมาจากริมก้อนหินขนาดเขื่องที่แกได้ทดลองเอาไม้แยงดูเห็นเป็นโพรงข้างใน ซึ่งบัดนี้ด้านล่างที่ติดพื้นดินปนหินและทรายของก้อนหินใหญ่นั้น แกได้ขุดรูพอตัวคนลอดได้ จากนั้นก็รวบรวมเอาสัมภาระของแกทั้งหมดที่มีอยู่ในเรือหาปลาที่ขนขึ้นมาไว้บนปากถ้ำรูหนูนี้ หย่อนทั้งหมดลงไปในถ้ำซึ่งไม่ลึกนัก เพราะเท่าที่แกวัดจากความยาวของเชือกพรวนที่หย่อนโรยสิ่งของลงไปนั้นปรากฏว่าเป็นทางลาดเอียงจากปากถ้ำลงไปลึกไม่เกิน 1.50 เมตร
ฉะนั้นที่เหลืออยู่ก็มีเพียงหย่อนตัวเองลงไปและเอาก้อนหินที่ใหญ่กว่ารูปากถ้ำที่ขุดขึ้นเองนี้ปิดปากถ้ำให้สนิทเช่นเดียวกันกับก้อนหินที่ปิดทางเข้าสู่ถ้ำอันเป็นสุสานของขุนชำนินาวีประดิษฐ์
ซึ่งการนี้แกได้เตรียมก้อนหินขนาดพอดีไว้เรียบร้อยแล้ว โดยแกได้เอาผ้าขาวม้าห่อก้อนหินนั้นมัดติดกับเชือกผูกเงื่อนเป็นไว้ เพื่อสำหรับปลดได้ง่ายและสามารถที่จะดึงเอาผ้าขาวม้าเข้าไปภายในถ้ำเมื่อตัวแกปิดขังตัวเองแล้ว
สิ่งเดียวที่รอขณะนี้ก็คือเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ! ?
ชาวประมงวัยดึกยกกล้องส่องทางไกลขึ้นส่องตรงไปยังเรือโชคโอฬารท้องฟ้าเริ่มมืดทะมึน เสียงเครื่องยนต์จากเรือตังเกลำใหญ่ดังแว่วมาแต่ไกล ไม่นานนักแสงไฟฟ้าก็สว่างพรึบขึ้นไปทั้งลำ
เมื่อเรือโชคโอฬารเคลื่อนลำแล่นมุ่งตรงมายังเกาะกุระนั้นลุงชูได้ลงไปอยู่ในถ้ำรูหนูและเอาผ้าขาวม้าดึงก้อนหินปิดปากถ้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
กว่าที่คนบนเรือโชคโอฬารจะจัดการเอาเรือกรรเชียงลงเพื่อขนถ่ายสิ่งของสัมภาระและอุปกรณ์ที่จำเป็นลุงชูก็จัดการกับอาหารแห้งที่นำติดตัวมาด้วยตามด้วยน้ำในกระติกสำรองจนท้องตึงและงีบหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย แม้จะมีกลิ่นเหม็นอับอยู่บ้างก็พอทนได้ เพราะปากถ้ำด้านล่างลงไปสู่ถ้ำลอดที่นานๆจะมีลมแรงกระโชกพัดผ่านถ้ำลอดดูดเอาลมผ่านวูบลงมาจากด้านบนเหนือถ้ำบริเวณที่แกนอนอยู่ขึ้นไปแสดงว่าต้องมีช่องที่ลมลอดได้อยู่ด้านบนถ้ำรูหนูนี้
ขณะที่กำลังนอนหลับลุงชูฝันเห็นชายชราผมขาว หนวดโง้ง เครายาวถูกตัดแต่งไว้อย่างได้รูปทรง โพกผ้ามัดมวยไว้ข้างหลังคล้ายโจรสลัด สวมเสื้อคอกลมผ้าป่านสีชมพูอ่อนๆ ที่คอคล้องสร้อยทองคำเส้นโต เครื่องรางที่แขวนโผล่ออกมานอกเสื้อมองดูคล้ายเขี้ยวหมูป่าเลี่ยมทองคำเหลืองอร่าม สวมกางเกงแพรสีหมากสุกคล้ายกางเกงจีนคาดเข็มขัดเส้นโต ท่าทางแข็งแรงเดินตรงมาที่ลุงชูนอนอยู่ ชักดาบใหญ่เกือบเท่าใบพายออกมา เสียงดาบที่ชักออกมานั้นดังราวกับเหล็กกล้าที่กรีดไปบนร่องหินซึ่งได้ยินแล้วทำให้รู้สึกเสียวฟัน แต่ที่มองเห็นแล้วกลับกลายเป็นว่าเสียวคอหอยมากกว่าเสียวฟันก็คือคมดาบที่เงาวับยามตระหวัดขึ้นลง
ชายชราร่างใหญ่ยกเท้าซ้ายขึ้นเหยียบไปบนอกของลุงชู จี้ปลายดาบเงาวับนั้นจ่อไปตรงคอหอยของลุงชู หน้าตาถมึงทึงดูน่ากลัว
"เอ็งเป็นใครวะ ?" เสียงที่ถามนั้นแหบพร่า
"ฉันชื่อชู...บุญชู"
"เอ็งมาทำไมที่นี่ เอ็งต้องการอะไร ?"
"ฉันมาหาที่หลบภัยจ๊ะ ฉันมาดี" ลุงชูตอบเหมือนคนยุคคุณปู่อย่างรู้สัมมาคารวะ
"อย่ามาโกหกข้า ! เอ็งมาค้นหาสมบัติของข้าใช่ไหมวะ ?"
"สมบัติอะไร ท่านมีสมบัติซุกซ่อนไว้ด้วยหรือ ?" ลุงชูย้อนถาม
"เออซีวะ ข้าย้ายมันมาจากเกาะกาหลง"
"ท่านย้ายมาเก็บไว้ในถ้ำนี้นะหรือ ?"
"เออ !"
"อยู่ที่ไหน ฉันไม่เห็นมีเลย ?"
"ข้าไม่บอก"
"ฉันก็ไม่อยากได้ของท่าน สมบัติโจรสลัด"
"สมบัติโจรสลัดเป็นยังไงวะเอ็งถึงได้รังเกียจ ?"
ลุงชูรู้สึกว่าขณะที่แกได้ยินชายชราผมขาวเอ่ยความสงสัยออกมานั้นปลายดาบที่จ่อคอหอยอยู่พลันทิ่มลึกเข้าไปกระทบลูกกระเดือกดังกึ้ก !
"เดี๋ยวก่อนครับท่าน ฟังผมก่อน" ลุงชูโบกมือโวยวาย
"ทำไมวะ ?"
ชายชราถามพร้อมกับยกปลายดาบพ้นไปจากคอหอยของลุงชู ทำเอาลุงชูถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก เพราะว่าคำพังเพยโบราณที่ว่าเปรียบชีวิตเหมือนอยู่บนปลายหอกปลายดาบนั้น เป็นชีวิตที่ล่อแหลมต่ออันตราย
เห็นจะจริงดังคำโบราณว่า !
"คืออย่างนี้ท่านผู้อาวุโส"
ลุงชูอารัมภบท
"ฉันนั้นไม่ได้รังเกียจสมบัติของท่านดอกเพียงแต่ฉันอยากจะบอกท่านว่า ตัวฉันเองไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่นที่ไม่ใช่ของตัว เพราะว่าอันกิเลสนั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่เป็นมงคลแก่ชีวิตผู้ใดทั้งสิ้น"
"เอ็งพูดเหมือนพระ"
"ฉันก็จำคำพระมาพูดดอก ท่านผู้อาวุโส"
"เอาเป็นอันว่า เอ็งไม่ต้องการสมบัติของข้าแน่นะ ?"
"แน่สิท่าน !"
"เอ็งกล้าสาบานไหมล่ะ ?"
"สาบาน ?" ลุงชูทวนคำ
"เออ !"
"ตกลง...ฉันขอสาบาน !"
"ถ้าอย่างนั้น เอ็งก็กล่าวคำสาบานออกมาซีวะ"
"ข้าไอ้ชู...ขอสาบานต่อดินฟ้ามหาสมุทรและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นี้ว่า ข้าไอ้ชูจะไม่แตะต้องทรัพย์สมบัติใดๆของท่านผู้อาวุโสที่ยืนอยู่เบื้องหน้าข้าบัดนี้ ไม่ว่าต่อหน้าและลับหลัง ไม่ว่าทรัพย์สมบัตินั้นจะอยู่ที่ใดมากน้อยเท่าใด ข้าจะไม่ยอมแตะต้องแม้เพียงเท่าขี้เล็บ หากข้าไอ้ชูผิดคำสาบานนี้วันใดขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายดังกล่าวข้างต้นแล้วนั้น จงลงโทษให้ข้าต้องตายด้วยคมอาวุธไม่ได้ตายดี หากยังมีชีวิตอยู่ก็ขอให้อยู่อย่างทรมานแสนสาหัส"
"เออ..ตกลงข้ายอมเชื่อแล้วว่าเอ็งบริสุทธิ์ใจจริงๆ"
ชายชราผมขาวยอมรับพร้อมกับเก็บดาบเข้าฝักดังเดิม !
"ถ้าอย่างนั้นท่านก็ต้องอวยพรให้ฉันบ้างซี ท่านผู้อาวุโส" ลุงชูพูดเหมือนหนังจีนกำลังภายใน
"เอาซิ ข้าผู้ซึ่งครอบครองทรัพย์สมบัติมหาศาลอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ขออวยพรให้ไอ้ชูผู้นี้จงปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง และขอให้อำนาจอาวุธใดๆอย่าได้แผ้วพาน ปรารถนาสิ่งใดจงประสบผลสำเร็จมีโชคมีชัยตลอดไป"
"สาธุ !" ลุงชูยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว
"และหากวันใดเอ็งพบสมบัติของข้าทั้งหมด ข้าอยากจะขอร้องให้เอ็งช่วยนำไปถวายวัดเพื่อเป็นกุศลทดแทนบาปที่ข้าได้กระทำไว้แต่หนหลัง"
"ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าสมบัติทั้งหมดของท่านอยู่ที่ใด ?"
"เกาะขนาน !"
"เกาะขนาน ?" ลุงชูอุทานออกมาด้วยความฉงน
"ใช่เกาะขนาน ณ ปลายเส้นขนาน !"
ชายชราผมขาวพูดเป็นปริศนาก่อนที่จะก้าวถอยหลัง แล้วร่างสูงใหญ่นั้นก็พลันเลือนหายวับไป
ลุงชูตกใจตื่นขึ้นทันทีที่เห็นร่างนั้นหายไป เหงื่อแตกพลั่กไหลโซมกาย เสื้อที่สวมอยู่เปียกโชก
แกรู้แล้วว่าเรื่องราวที่แกยังจำได้ติดหูติดตาเมื่อครู่นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในความฝัน !
ใช่แกฝันไปนั่นเอง !
ลุงชูนึกลำดับเหตุการณ์ของเรื่องราวที่โต้ตอบกันนั้นตั้งแต่คำสาบาน คำอวยพร คำขอร้องและปริศนาของที่ซ่อนสมบัติมหาศาล
ณ ปลายเส้นขนาน !
ปลายเส้นขนาน ! สมบัติทั้งหมดอยู่ที่เกาะขนาน !
เส้นขนานที่ว่านั้นคืออะไร ?
เส้นขนานรีสอร์ตกระนั้นหรือ ?
แล้วปลายล่ะ !
ที่ใดถึงจะเป็นปลาย ?
ลุงชูที่เคยสมองไว กลับงงเป็นไก่ตาแตก !
แกคิดไม่ออกจริงๆว่า ปลายเส้นขนานนั้นคือที่ใดกันแน่ ?
เอาไว้ให้รอดพ้นจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไปให้ตลอดรอดฝั่งเสียก่อนเถิด แล้วค่อยคิดหาหนทางค้นหาสมบัติกันใหม่
ลุงชูกระพริบตาให้เคยชินกับความมืดอยู่ครู่หนึ่งจึงค่อยคลานขึ้นไปบนปากถ้ำที่แกเอาก้อนหินอุดไว้ แสงไฟลอดมาตามรอยแยกเว้าของดินที่ขอบก้อนหินนั้น ลุงชูเอาใบหน้าแนบก้อนหินเพ่งสายตามองออกไปภายนอก ก็เห็นเงาคนเดินวูบวาบอยู่เบื้องบนแต่ไม่เห็นตัวเพราะก้อนหินนั้นอยู่ติดพื้นด้านล่างที่ใต้โคนต้นไม้ แม้คนภายนอกก็ยากที่จะสังเกตเห็น
ลุงชูแนบหูกับก้อนหินเพื่อฟังเสียงพูดคุยกันซึ่งก็ได้ยินเพียงแผ่วเบาเนื่องจากเสียงที่พูดคุยกันนั้นอยู่ไกลจากก้อนหินที่ปิดปากถ้ำรูหนูนั้นมากไปหน่อย แต่ลุงชูก็พอที่จะหยั่งรู้ได้ด้วยจิตสำนึกและการคาดคะเนได้ว่าพวกข้างบนนั้นกำลังค้นหาทรัพย์สมบัติของท่านผู้เฒ่าในฝันอยู่อย่างขมักเขม้นกันนั่นเอง
ลุงชูจำไม่ได้ว่าแกแนบหน้าเอาหูแอบฟังอยู่นานเท่าใด เพราะเมื่ออยู่ในอิริยาบถท่าเดียวกันนิ่งๆเป็นเวลานานๆสมองเริ่มมึนงง พาจิตเข้าสู่ภวังค์คล้ายกับจะงีบหลับไป
แกมารู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อหูของแกแว่วได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัดติดๆกัน คล้ายมีคนกำลังยิงต่อสู้กันข้างบน
"คุณจ้อน !" ลุงชูรำพึงออกมาเบาๆ
ใช่แล้วคงเป็นคุณจ้อนกับโซ้ดและพรรคพวกที่เป็นกำลังเสริมมาช่วยจากเกาะขนานอย่างแน่นอน !
เนื่องจากที่แกอยู่ในถ้ำที่ถูกปิดด้วยก้อนหินเกือบสนิทนั้น เสียงที่ลอดเข้าไปจึงไม่ดังกังวานน่าหวาดเสียวเหมือนกับอยู่บนพื้นเดียวกันในที่โล่ง
หลังจากเสียงปืนดังก้องกังวานกันอยู่ครู่ใหญ่ ลุงชูก็สังเกตเห็นว่าแสงไฟฟ้าที่สว่างไสวนั้นเกิดดับวูบลงโดยฉับพลัน !
***************
โซ้ดนำเรือรัญจวนใจแล่นฝ่าคลื่นมาด้วยความเร็วเต็มสปีด เมื่อแลเห็นเกาะกาหลงอยู่ลิบๆจ้อนก็บอกให้เขาดับไฟบนเรือทุกดวง โซ้ดเบาเครื่องแล่นมาเอื่อยๆในความมืด แต่ขณะที่แล่นเข้าใกล้จนเกือบถึงเกาะกาหลงนั้น ทั้งจ้อนและโซ้ดก็พลันใจหายวาบด้วยความตกตลึง เพราะบนเกาะเล็กๆที่ชื่อเกาะกุระที่พวกเขาทิ้งลุงชูไว้คนเดียวเพื่อสอดแนมดูการเคลื่อนไหวของพวกขบวนการร้ายของโกหลกและเรือโชคโอฬารนั้น บัดนี้กลับสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้า สว่างโล่งไปทั้งเกาะ
พวกเขาเห็นเรือโชคโอฬารทอดสมอจอดอยู่ไม่ห่างจากเนินหินสูงที่ภายใต้มีถ้ำลอดที่ลุงชูจอดเรือหาปลาลำน้อยไว้ข้างใต้นั้นเท่าใดนัก จากความสว่างของแสงไฟฟ้าทั้งบนเรือตังเกและบนเกาะ มองเห็นได้ถนัดชัดเจนราวกับกลางวัน
"ลงอีรูปนี้ละก็ ข้าว่าลุงชูคงเสร็จมันแล้วอย่างแน่นอน" โซ้ดเอ่ยขึ้นก่อนอย่างอ่อนแรง
"เอ็งอย่าเพิ่งประมาทลุงชูแกนะโว้ยโซ้ด" จ้อนว่า
"ทำไมวะ ก็มันออกสว่างโล่งราวกับกลางวันอย่างนี้ ลุงชูแกจะมีปัญญาไปซุกอยู่ที่ไหนวะ เกาะเล็กเท่าแมวดิ้นแค่นี้" โซ้ดพูดพร้อมกับขบกรามแน่นจนเป็นสันนูน
จ้อนร้อนผ่าวที่ดวงตาขึ้นมาทันที เมื่อคิดว่าเขาไม่ควรตามใจชายชาวประมงวัยดึกปล่อยให้แกอยู่แต่ลำพังเพียงผู้เดียวเลย อย่างน้อยเขาควรอยู่เป็นเพื่อนคู่คิดของแกซึ่งอาจผ่อนหนักให้เป็นเบาได้บ้าง
"นี่เรามาช่วยลุงชูช้าไปหรือเปล่า คุณจ้อน ?" นายดาบตำรวจบุญเที่ยงเอ่ยถามจ้อนเรียบๆ
"ผมคิดว่าคงไม่ เพราะตามธรรมดาแล้วลุงชูแกเอาตัวรอดได้เกือบทุกสถานการณ์อยู่เสมอ" จ้อนตอบไปราวกับพูดปลอบใจตนเองไปในตัว
"เราจะทำอย่างไรกันต่อไปดีครับ ?" ด.ต. บุญเที่ยงถามต่อ
"ถึงอย่างไรเราก็ต้องเข้าไปช่วยลุงชูออกมาให้ได้ก่อน แต่เราเอาเรือเข้าไปใกล้เกาะกุระไม่ได้แน่ เพราะมันสว่างเกินไป" จ้อนให้ความเห็น
"อย่างนั้นเราก็ต้องหาวิธีอื่นที่จะต้องเข้าไปใกล้เกาะกุระนั่นให้ได้ พวกมันเปิดไฟกันสว่างออกอย่างนั้น เราสามารถที่จะเห็นพวกมันได้อย่างชัดเจน แต่พวกมันไม่สามารถมองเห็นเราหรอกครับเพราะเราอยู่ในที่มืด" ด.ต.บุญเที่ยงออกความเห็นบ้าง
"จะมีอีกวิธีก็คือเราลงเรือกรรเชียงเล็กไปกัน" จ้อนว่า
"ถ้าอย่างนั้นก็วิเศษสิครับคุณจ้อน" นายตำรวจชั้นประทวนมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
"เฮ้ยโซ้ด..ข้าว่าเราเอาเรือไปจอดหลบที่โขดหินใหญ่ด้านข้างเกาะกาหลงเยื้องหาดทรายขาวหน้าศาลเจ้ากุหลาบไฟก่อนดีกว่า" จ้อนบอกเพื่อนรักพร้อมชี้มือไปทางโขดหินดังกล่าว
"ตกลงเพื่อน"
โซ้ดวาดหัวเรือหักตรงไปยังโขดหินมหึมาก้อนนั้น พลางหย่อนสมอลงน้ำอย่างช้าๆและนิ่มนวลด้วยระบบไฮดรอลิคจนแทบไม่ได้ยินเสียง
"ให้ผมดำน้ำไปซุ่มดูพวกมันก่อนดีไหมครับ หัวหน้า" ส.ต.ต. ประทิวเอ่ยขึ้นเพื่อขอความเห็นจาก ด.ต. บุญเที่ยงผู้เป็นหัวหน้าของเขา
"ดีเหมือนกันหมู่" ด.ต. บุญเที่ยงเห็นด้วยเพราะเขาทราบดีว่าหมู่ประทิวผู้นี้ชำนาญในการดำน้ำชนิดหาตัวจับยากแม้กระทั่งฟิลลิปที่เป็นครูสอนดำน้ำยังทึ่งในความสามารถของนายสิบตำรวจตรีหนุ่ม
"บนเรือของคุณนี้ผมเห็นมีชุดประดาน้ำไม่ใช่หรือคุณจ้อน ?" ประโยคหลังเขาหันมาถามจ้อน
"มีอยู่ชุดหนึ่งครับ เตรียมไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน"
"บัดนี้ถึงกรณีฉุกเฉินแล้วคุณจ้อน" ด.ต. บุญเที่ยงเอ่ยย้ำ
"พี่ดาบแน่ใจนะว่าจะให้หมู่ประทิวเป็นคนสวมชุดประดาน้ำ ?" จ้อนเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
"แน่ใจสิครับ เพราะที่หมู่ประทิวได้มาอยู่เกาะขนานก็เพราะเชี่ยวชาญในเรื่องดำน้ำโดยเฉพาะเลยล่ะครับ ผมจะให้หมู่ประทิวสวมชุดประดาน้ำนี้ออกไปสำรวจดูลาดเลาก่อนที่พวกเราจะขึ้นฝั่งกัน"
"ด้วยความยินดีเลยครับพี่ดาบ ชุดประดาน้ำอยู่ในตู้เก็บของ ขอเชิญหมู่ทางนี้เลยครับ"
จ้อนเดินนำหมู่ประทิวเข้าไปยังตู้เก็บสัมภาระที่อยู่ภายในห้องที่ทำเป็นเก๋งด้านล่าง
เมื่อ ส.ต.ต.ประทิวสวมชุดประดาน้ำเสร็จแล้วเดินออกมา ก็พอดีกันกับที่โซ้ดได้จัดการตระเตรียมเรือกรรเชียงไว้แล้วอย่างพร้อมมูลเช่นกัน
เรือกรรเชียงบรรทุกคนทั้งสี่ที่เตรียมพร้อมไปด้วยอาวุธและกระสุนอย่างครบครัน โดยมีจ้อนกับโซ้ดกรรเชียงหน้าและหลัง
ผู้หมู่ประทิวทิ้งตัวลงสู่ผืนน้ำด้วยความชำนาญจนแทบไม่ได้ยินเสียงเพราะวิธีการหย่อนตัวของเขา สามารถทำให้เสียงที่เกิดขึ้นนั้นกลมกลืนไปกับเสียงธรรมชาติรอบๆตัว
ตำรวจภูธรนักประดาน้ำคนเก่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติหายเงียบไปท่ามกลางความมืดของราตรี เขามุ่งตรงไปทางเกาะกุระที่กำลังโกลาหลไปด้วยลูกเรือสมุนของโกหลกที่ทำการค้นหาร่องรอยของสมอเรือและสมบัติมหาศาลตามลายแทงที่ร่างขึ้นโดย ฮันส์ กุลลิคเซ่นไวกิ้งชรา ผู้ที่เกือบเอาชีวิตมาทิ้งเป็นอาหารของฉลามเพชฌฆาตเพื่อสังเวยอาถรรพ์แห่งเกาะกาหลง
เขาเข้าไปสำรวจที่ใต้ถ้ำลอดก่อนที่อื่นใดทั้งหมด เพื่อค้นหาเบาะแสของลุงชูและเรือหาปลาของชาวประมงวัยดึกผู้มีน้ำใจเด็ดเดี่ยวผู้นี้
ณ จุดต่ำสุดของผืนน้ำใต้ถ้ำลอดนั้นทำเอาเขาตกตลึงจนตัวชา เมื่อพบซากเรือในตอนแรก เขาคิดว่าลุงชูชาวประมงขี้เมาแห่งเกาะขนานที่เขารู้จักดีได้สิ้นชีวิตไปกับซากเรือคู่ชีพของแกเสียแล้ว !
แต่เมื่อเขาเข้าไปสำรวจใกล้ๆถึงได้รู้ความจริงอย่างถ่องแท้ว่าแท้ที่จริงแล้วเจ้าของเรือนั่นเองที่จมเรืออย่างจงใจ เพราะสังเกตได้จากสัมภาระและสิ่งของบนเรือไม่เหลือให้เห็นเลยสักชิ้นเดียว แม้แต่เบ็ดตกปลาหรือถังน้ำมันสำรองและกระติกน้ำดื่ม มีเพียงเรือกับเครื่องยนต์เท่านั้นที่จมอยู่ใต้ผืนน้ำแห่งนี้
ตามทฤษฎีแล้วหากแกเห็นจวนตัวก็สามารถขับเรือหนีออกจากที่ซ่อนได้โดยไม่ยากอะไร หรือหากแกเกิดถูกจับได้จริง พวกนั้นคงไม่จำเป็นที่จะต้องขนหินขนาดเกือบเท่ากันตั้งยี่สิบก้อนวางเรียงอย่างมีระเบียบจนเกือบเต็มลำเรือเช่นนี้
ที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือเชือกที่ใช้ล่ามสมอเรือก็ไม่มีซากให้เห็นเลย นี่แสดงว่าเจ้าของเรือขนขึ้นไปซุกซ่อนไว้ ณ ที่ลี้ลับอันปลอดภัยแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นแน่แท้
ผู้หมู่หนุ่มนักประดาน้ำแห่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติค่อยๆเร้นกายไปตามมุมมืดของโขดหินที่ส่วนหนึ่งจมอยู่ในน้ำ ซุกซ่อนตัวแอบสังเกตการณ์ดูอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่จะเคลื่อนกายลงไปใต้ผืนน้ำอันมืดมิด เพื่อกลับไปรายงานผลให้พรรคพวกบนเรือกรรเชียงที่ลอยลำรออยู่อยู่กลางทะเลได้รับทราบ
จ้อนดีใจเป็นที่สุดเมื่อรู้ว่าลุงชูยังมีชีวิตอยู่ !
***************
เมื่อวันที่ : ๑๕ พ.ค. ๒๕๕๐, ๐๔.๑๗ น.
ว้าว....ดีใจจังลุงชู....เอ๊ย....ลุงปิงกลับมาพร้อมกับลิขิตเส้นขนานแล้ว...ยิ่งอ่านยิ่งตื่นเต้นเร้าใจค่ะ
ให้ลุงปิงเช่นเคย
มอบ