![]() |
![]() |
กาบแก้ว![]() |
........ขณะนี้สถานการณ์กำลังตึงเครียดในการที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากัน ด้วยต่างรู้ดีว่าฝ่ายตรงข้ามก็เตรียมพร้อมเช่นเดียวกัน........
ตอน : แผนประจันบาน
ภายในหีบห่อที่บรรจุอยู่ในห้องแคบๆด้านหลังสุสานแท่นหินอ่อนของขุนชำนินาวีประดิษฐ์นั้น เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่ไม่มีราคาค่างวดอะไรมากนัก เป็นการรวบรวมเพื่อจัดเก็บให้มิดชิดเข้าที่เข้าทางเสียมากกว่า ลุงชูบอกว่าเนื่องจากในถ้ำมีความชื้นมากจึงต้องจัดซ้อนหีบห่อให้โปร่งเพื่อที่อากาศจะได้ถ่ายเทได้สะดวกทำให้ห้องแคบๆนั้นดูมีของอยู่เต็มไปหมดแกพาสามสหายย้อนออกมาตามทางเดิม แล้วพาแยกเข้าไปอีกช่องทางหนึ่งที่พวกเขายังไม่เคยได้เข้าไปสำรวจ ปรากฏว่าเป็นทางตันที่ทะลุไปโผล่ที่หน้าผาสูงมองเห็นละอองน้ำแตกกระเซ็นเป็นฝอยจากคลื่นที่สาดซัดขึ้นมากระทบกันพอดี เสียงคลื่นกระแทกหินผาดังก้องกังวานเข้าไปในถ้ำ
นับว่านี่เป็นทางลับเข้าสู่สุสานของขุนชำนินาวีประดิษฐ์อีกทางหนึ่งที่อันตรายมากเพราะไม่มีทางเดินหรือหน้าถ้ำให้เห็นเลยมีแต่หน้าผาสูงชันปากถ้ำถูกปกคลุมด้วยละอองน้ำเป็นฝอยคล้ายหมอกหนาทึบมองเห็นเพียงแสงสว่างคล้ายอยู่เบื้องหลังกระจกฝ้าที่ไม่สามารถมองทะลุให้เห็นทิวทัศน์ภายนอกได้เลย
การสำรวจถ้ำสุสานขุนชำนิฯจึงสิ้นสุดลง ลุงชูนำทางทั้งหมดออกมานอกถ้ำแล้วปิดปากถ้ำไว้ดังเดิม เดินกลับมานั่งพักที่โต๊ะหินตาหมากรุก ทุกคนนั่งลงบนม้าหินทั้งสี่ตัวนั้น
จ้อนนั่งตรงข้ามกับลุงชู
"ตรงที่คุณจ้อนนั่งนั้น เดิมบุญช่วยน้องชายของผมนั่งเล่นหมากรุกกับผมเป็นประจำ" ลุงชูเปิดเผยอดีต ใบหน้าเศร้าสร้อย
"ทำไมต้องมานั่งเล่นหมากรุกที่นี่" จ้อนซัก
"เพื่อพักผ่อนและระลึกถึงท่านขุน หลังจากที่เราได้เข้าไปคารวะและทำความสะอาดสุสานแล้ว" แกอธิบาย
"ระลึกถึงท่านขุน ?" จ้อนทวนคำด้วยความสงสัย
"ใช่ เพราะเดิมทีโต๊ะตัวนี้ท่านขุนให้ทำไว้ตั้งแต่เมื่อท่านยังไม่สิ้น ทุกครั้งที่มาเกาะกาหลง ท่านชอบมานั่งพักผ่อนที่โต๊ะนี้เป็นประจำ"
"ทำไมถึงมีเก้าอี้สี่ตัว" สายัณห์ถามบ้าง
"ก็มากันสี่คน เหมือนเวลานี้" แกว่า
"สี่คน ใครอีกคนละครับ" จ้อนถามอีก
"คุณดวงเนตร ลูกสาวคนเล็กของท่าน" แกตอบ
"แสดงว่าคุณดวงเนตรทราบเรื่องราวเหล่านี้ได้ดี"
"ใช่ เธอมากับเราบ่อยมากตั้งแต่เธอยังเพิ่งจะรุ่นสาว ท่านขุนรักลูกสาวคนนี้มาก ใบหน้าหวาน ตาคม สวยเหมือนนางฟ้า" แกบรรยายลักษณะลูกสาวอดีตเจ้านายผู้ล่วงลับไปแล้วด้วยดวงตาเป็นประกาย
"ตอนนี้คุณดวงเนตรอยู่ที่ไหนละครับ"
"อยู่ที่เกาะสมุย แต่งงานกับลูกชายโกหล่วนหุ้นส่วนที่เคยลงทุนค้าขายทางเรือสำเภาด้วยกันก่อนถูกโจรสลัดปล้นทำลายเรือจนอับปางลงกลางทะเลลึก เธอแต่งงานก่อนท่านสิ้นเพียงไม่กี่วัน" พูดถึงตรงนี้ใบหน้าลุงชูสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาที่เป็นประกายเมื่อครู่พลอยเศร้าหมองลงด้วย
"ท่านขุนเสียชีวิตเพราะเหตุใดหรือครับ"
"ฆ่าตัวตาย" แกตอบพลางยกผ้าขาวม้าขึ้นซับน้ำตาที่ไหลย้อยเป็นทางลงมานองแก้มโดยอัตโนมัติ
"ฆ่าตัวตาย" จ้อนทวนคำอย่างฉงน "ด้วยอะไรและเหตุใดละครับ ?"
"ด้วยปืน 9 มม.ประจำตัวของท่านเอง ทุกคนลงความเห็นว่าท่านยิงตัวตายเพราะท่านไม่อาจทนทรมานกับโรคประจำตัวของท่านได้อีกต่อไป"
"ท่านมีโรคประจำตัวอะไรหรือครับ" จ้อนซัก
"มะเร็งในสมอง แต่ระยะหลังท่านปวดหัวและเครียดเป็นประจำก่อนที่คุณดวงเนตรจะแต่งงานไม่นาน ซึ่งผมว่าสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้มาจากเรื่องโรคประจำตัวหรอก หากเนื่องมาจากการบีบคั้นเกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานของลูกสาวมากกว่า" ลุงชูอธิบายและวิเคราะห์สาเหตุให้ฟัง
"เรื่องการแต่งงานของลูกสาว ?" จ้อนกังขา
"ครับเรื่องที่คุณดวงเนตรจะเข้าพิธีแต่งงานนี้เป็นการบีบคั้นจากข้อตกลงเดิมซึ่งท่านเคยให้สัญญาไว้กับโกหล่วนหุ้นส่วนของท่าน ซึ่งเป็นการตกลงที่ท่านถือว่าท่านได้ทำผิดพลาดอย่างมหันต์ เพราะเมื่อคุณดวงเนตรมีอายุครบยี่สิบปีจะต้องยกให้แต่งงานกับนายดิลกลูกชายของโกหล่วนทันที ท่านขุนฯเคยปรารภกับผมและน้องชายว่าท่านคบคนผิด คบกับโจรที่เป็นมิตรอำพราง แต่สัญญาก็คือสัญญา ท่านเสียใจมากที่มารู้เอาทีหลังเนื่องด้วยคุณดวงเนตรเปรียบเสมือนแก้วตาขวัญใจของท่านทีเดียว"
ลุงชูหยุดพักหายใจด้วยการหยิบเอาขวดแบนเล็กของสุราไทยออกมากระดกกรึ๊บผ่านลำคอสองอึกก่อนที่จะเล่าต่อ
"ผมและบุญช่วยน้องชายได้พยายามหาทางช่วยแก้ปัญหาให้ท่าน เพราะพวกเราสืบรู้มาว่าที่แท้โกหล่วนก็คือหัวหน้าโจรสลัดนั่นเอง ถึงแม้ว่าหน้าฉากจะเปลี่ยนอาชีพมาเป็นพ่อค้าวาณิช แต่เบื้องหลังของโกหล่วนก็คือหัวหน้าโจรสลัดที่มีชุมโจรที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของภาคใต้ทีเดียว ช่วงนั้นเราทำการปรับปรุงสุสานกันใกล้เสร็จแล้ว ท่านขุนฯสั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้ผู้ใดรู้นอกจากเราสามคนและคุณดวงเนตรโดยให้ถือเป็นความลับ แต่โกหล่วนมันฉลาดจัดการแต่งงานใหญ่โตเป็นการรวบรัด โดยจับเอาตัวคุณนายเดือนแม่ของคุณดวงเนตรภรรยาของท่านขุนฯไว้เป็นตัวประกันที่บ้านของโกหล่วนเอง โดยมันอ้างว่ารับไปเพื่อรักษาตัว เพราะมันรู้แล้วว่าท่านขุนฯวางแผนที่จะพาลูกสาวหนีเข้ากรุงเทพฯเพื่อหลีกเลี่ยงการแต่งงาน ด้วยความที่รักแม่มากคุณดวงเนตรจึงยอมแต่งงานกับนายดิลกหรือโกหลก และสุดท้ายท่านขุนฯก็ถูกฆาตกรรม"
"อ้าว...ไหนบอกว่าท่านขุนฯฆ่าตัวตาย" จ้อนติง
"เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะฆ่าตัวตาย เพราะท่านเคยบอกผมว่าท่านสืบรู้ที่ซ่อนสมบัติของท่านที่ถูกโจรสลัดปล้นไปแล้ว"
"แสดงว่าท่านถูกโจรสลัดฆ่า"
"ก็ทำนองนั้นแหละ เพราะท่านไปพบที่ซ่อนสมบัติเข้าโดยบังเอิญในวันแต่งงานลูกสาว"
"ในวันแต่งงาน ?" จ้อนตลึง
"ใช่ โกหล่วนมันฉลาดมาก มันพยายามรวบรัดโดยจัดทำพิธีแต่งงานทั้งหมดในคฤหาสถ์ของมันที่บางมะขาม เพราะที่นั่นสามารถที่จะต้อนรับแขกได้ทั้งอำเภอ"
"ท่านไปพบสมบัติได้อย่างไร" จ้อนซักอย่างอยากรู้
"ขณะที่กำลังทำพิธีกันท่านหลบไปเข้าห้องน้ำข้างหลังบ้าน บังเอิญเดินหลงเข้าไปในห้องลับซึ่งเป็นคลังสมบัติมหึมาหลายชิ้นในนั้นท่านจำได้ว่าเคยเป็นสมบัติของท่าน โดยคราวนั้นกัปตันบอกว่าอับปางไปพร้อมกับเรือทั้งสิ้น ถึงตอนนั้นท่านจึงไม่มีข้อสงสัยใดๆเลยว่าโกหล่วนก็คือตัวการที่หักหลังกันเองอย่างเลือดเย็น"
ลุงชูหยุดถอนหายใจ แกนั่งหลับตาคล้ายกับพยายามที่จะลำดับภาพในอดีต
"สมบัติทั้งหมดในอดีตของท่านขุนฯมันซ่อนอยู่ในบ้านโกหล่วนนั่นเอง แม้ครึ่งหนึ่งจะเป็นของโกหล่วน แต่ครึ่งหนึ่งก็คือของท่านๆมีสิทธิ์ที่จะทวงคืนซึ่งท่านก็ทวงคืนกับโกหล่วนจริงๆในวันรุ่งขึ้นหลังจากคุณดวงเนตรแต่งงาน พอวันที่ห้าท่านกำลังเตรียมตัวจะมาที่เกาะกาหลงกับผม ในตอนเช้าขณะที่พวกเราคือผมและนายบุญช่วยน้องชายซึ่งเตรียมตัวเสร็จแล้วกำลังรอท่านขุนฯเพื่อออกเดินทาง พวกเราก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นในห้องของท่าน นายดิลกซึ่งเป็นลูกเขยท่านได้ห้าวันก็โผล่หน้าต่างตะโกนลงมาจากบนบ้านว่าท่านขุนฯยิงตัวตาย แล้วหมอก็ชัณสูตรลงความเห็นว่าท่านขุนฯฆ่าตัวตายเพราะท่านถือปืนของท่านเองอยู่ในมือ"
"ทำไมลุงถึงไม่เชื่อว่าท่านยิงตัวตาย" จ้อนซักต่อด้วยความสนใจ
"ก็ผมเป็นคนสนิทของท่าน ทำไมจะไม่รู้ ธรรมดานั้นท่านเป็นคนถนัดยิงปืนด้วยมือซ้าย ทุกครั้งที่ไปด้วยกันไม่ว่าจะซ้อมยิงหรือออกล่าสัตว์ แต่วันที่ท่านเสียชีวิต นายดิลกอ้างว่าท่านยิงตัวตาย แต่ทำไมปืนถึงได้อยู่ในมือขวา"
"มือขวา" สามสหายอุทานออกมาพร้อมกัน
"แถมรอยกระสุนยังทะลุเข้าทางขมับขวาด้วย" ลุงชูอธิบายพร้อมยกนิ้วชี้ทำท่ายิงให้ดู
"ลุงสงสัยใครละครับ" จ้อนถาม
"นายดิลกลูกเขยท่านขุนฯ เพราะเช้าวันนั้นผมไม่เห็นมีคนอื่นอีกเลย"
"ลุงให้การกับเจ้าหน้าที่หรือเปล่า"
"ไม่"
"ทำไมละครับ"
"ผมสงสารคุณหนูดวงเนตรและคุณนายเดือนกลัวว่าทั้งสองจะอยู่ในอันตราย อีกอย่างตอนนั้นผมกำลังคิดหาทางกับคุณดวงเนตรว่าทำอย่างไรจึงจะย้ายร่างท่านขุนฯมาไว้ยังสุสานนี้โดยไม่ให้มีผู้ใดรู้ได้" ลุงชูขยายความ
"คงลำบากน่าดู" สายัณห์ว่า
"ก็ทุลักทุเลมากพอสมควร พวกเราจ้างสัปเหร่อในตอนกลางคืนให้หาร่างมาเปลี่ยนใส่โลงไว้แทนท่านขุนฯ เราย้ายร่างท่านขุนมาในคืนนั้นเลยโดยผมแล่นเรือมาสองคนกับน้องชายจากเกาะสมุยมาถึงที่เกาะกาหลงนี่ในตอนไกล้รุ่งกว่าจะจัดการธุระเสร็จก็บ่าย รีบเดินทางกลับถึงเกาะสมุยโดยไม่ทันมีใครสังเกต เนื่องจากส่วนใหญ่ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับงานศพที่จัดอย่างใหญ่โต เพราะว่าท่านขุนฯเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอดีต"
"ทำไมคุณดวงเนตรถึงไม่หนีไปจากเกาะสมุย" จ้อนถามชายชรา
"เพราะเธอให้เหตุผลว่าเป็นห่วงคุณแม่ กอปรกับต้องการอยู่ดูความหายนะของพวกโจรสลัดขี้ฉ้อ และจะพยายามทวงเอาสมบัติของท่านขุนฯคืนให้หมดแม้จะต้องอุทิศชีวิตทั้งชีวิตก็ยอมโดยเธอตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยว อันเป็นเหตุผลที่ผมไม่อาจปฏิเสธได้ เธอสั่งให้ผมไปรับเธอมาคารวะท่านขุนฯที่สุสานนี้ทุกๆสามเดือน" ลุงชูสรุป
"ลุงเลยหนีไปอยู่เกาะขนาน ?"
"เนื่องจากผมสนิทและนับถือในน้ำใจท่านกำนันใจเด็ดคุณพ่อของคุณจ้อนผมกับแม่เพ็ญจึงได้พากันอพยพไปอยู่เกาะขนานเป็นการถาวรตราบจนทุกวันนี้"
จากคำพูดของลุงชูที่เล่ามาทำให้จ้อนชักเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆได้ลางๆ
เหตุการณ์ทั้งหมดเชื่อมโยงกันทั้งสิ้น
สมองของชายหนุ่มกำลังลำดับภาพที่เกิดขึ้นตลอดเวลาสามวันที่ผ่านมาว่ามีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันบ้าง
นับจากวันแรกที่พบแอนนามารี ออกตามหาพ่อของเธอที่เกาะกาหลง เผชิญงูเหลือมยักษ์ พบถ้ำลึกลับบนเกาะ
ที่งานปาร์ตี้ของกรุ๊ปทัวร์ญี่ปุ่นมีลูกน้องโกหลกตามไปเผาบังกะโลเพื่อลักพาตัวแอนนามารี โดยมีลุงชูติดตามมาล่วงหน้าอย่างกระชั้นชิดจนกระทั่งถึงเกาะกาหลง แสดงว่าแอนนามารีถูกจับมาที่นี่ พวกนั้นขึ้นเรือใหญ่กลับไปทางเกาะสมุย ฉะนั้นแอนนามารีอาจจะยังอยู่บนเกาะนี้หรืออยู่บนเรือใหญ่ที่กำลังแล่นไปทางเกาะสมุย พ่อของเธอถ้าถูกจับก็อาจจะยังอยู่ด้วยกันหรือตายไปแล้ว
ถ้ำลึกลับคือสุสานของขุนชำนินาวีประดิษฐ์นักต่อเรือผู้ตามหาสมบัติของตนที่ถูกโจรสลัดปล้นไปจนพบและสุดท้ายถูกโกหลกลูกชายโจรสลัดที่เป็นลูกเขยฆ่าตาย เมียโกหลกก็คือคุณดวงเนตรลูกสาวท่านขุนชำนินาวีประดิษฐ์อดีตเจ้านายเก่าของลุงชู โกหลกคือลูกชายของโกหล่วนหัวหน้าแก๊งโจรสลัดที่ปล้นแม้กระทั่งหุ้นส่วนของตนเอง
คุณดวงเนตรยอมแต่งงานกับโกหลกเพื่อรอเวลาที่จะยึดเอาสมบัติทั้งหมดคืนมาและแก้แค้นแทนท่านขุนชำนินาวีประดิษฐ์ผู้เป็นบิดา
*********
จนบัดนี้จ้อนยังเดาไม่ออกเลยว่ามร.ฮันส์ กุลลิคเซ่นถูกจับไปที่ใด ทำไม แอนนามารีลูกสาวก็ถูกจับไปด้วยเพราะเหตุใด
ใครคือตัวการ ?
ขณะเดียวกันกับที่จ้อน โซ้ด สายัณห์และลุงชูกำลังนั่งวางแผนการณ์ในการติดตามค้นหาแอนนามารีสาวผมบลอนด์และบิดาของเธอต่อไปอยู่ที่โต๊ะหินตาหมากรุกนั้น ที่หน้าอ่าวก็ปรากฏเรือโชคโอฬารตังเกลำใหญ่ของเล่าเปาะหยีทอดสมอจอดอยู่ ณ ริมโขดหินสีเทาก้อนมหึมาที่เดิม หากบนเรือไม่ได้มีเพียงเล่าเปาะหยีและลูกน้องเท่านั้น นายดิลกเจ้าพ่อบางมะขามหรือโกหลก พร้อมสมุนทั้งห้าก็อยู่บนเรือตังเกลำนั้นด้วย
เรือเล็กถูกหย่อนลงน้ำอีกครั้ง คราวนี้เล่าเปาะหยีลงเรือไปพร้อมด้วยไอ้ทองสุขและไอ้มินอ่อง ส่วนลูกน้องของโกหลกที่ลงไปด้วยก็มีไอ้สมชาย ไอ้จี่และไอ้อู๊ดทั้งหมดหกคน โดยนายดิลกไม่ได้ลงไปด้วย คราวนี้เรือแล่นเข้าไปจอดเทียบตีคู่อยู่กับเรือเร็วรัญจวนใจ ไอ้มินอ่องกระโดดขึ้นไปสำรวจภายในเรือเร็วรัญจวนใจชั่วครู่เดียวมันก็ออกมาส่ายหน้า
"ไม่มีเลยสักคนครับเจ้านาย"
"อืม..ม..พวกมันต้องซ่อนตัวอยู่ที่ใดสักแห่งบริเวณนี้ อาจจะหลบอยู่ในกระท่อมก็ได้" เล่าเปาะหยีบ่นงึมงัม
"คืนก่อนผมกับไอ้มินอ่องเดินตามหาพวกมันตั้งนานทั้งที่ในกระท่อมและบนศาลเจ้ากุหลาบไฟ วนหาอยู่หลายรอบก็หาพวกมันไม่เจอ ผมว่าพวกมันอาจเจอซอกหินหรือถ้ำที่ใดสักแห่งเป็นที่หลบซ่อน เราถึงหาพวกมันไม่เจอ เจอะแต่ซากงูยักษ์ที่ใต้ต้นไม้ข้างกระท่อม วันก่อนมีแหม่มผมบลอนด์มากับพวกมันคนหนึ่ง" ไอ้ทองสุขสาธยาย
"อีแหม่มผมบลอนด์นั่นนะเหรอ โดนพวกข้าฉุดมาไว้ในถ้ำกาหลงตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว" ไอ้ชายบอกอย่างโอ้อวด
"ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นไอ้มินอ่องเอ็งเฝ้าเรืออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน นอกนั้นขึ้นบกไปกับข้า" เล่าเปาะหยีออกคำสั่ง
ปืนสั้นทั้งหกกระบอกถูกชักออกมาเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติการ โดยมิต้องให้ใครสั่ง เล่าเปาะหยีเดินนำลูกสมุนทั้งหมดลุยน้ำขึ้นฝั่งมุ่งตรงไปยังกระท่อมชาวประมงร้างนั้นทันที
***************
ลุงชูหูดีกว่าเพื่อน แกได้ยินเสียงเครื่องยนต์เรือครางกระหึ่มมาจอดที่หน้าหาด แกรีบให้สัญญาณบอกพรรคพวก
"มีเรือมาจอดที่หน้าหาด อาจเป็นพวกมัน แยกย้ายกันซ่อนตัวดีกว่าคุณจ้อน"
พูดจบแกก็ลุกขึ้นยืนเดินย่องไปทางต้นตะเคียนคู่ข้างทางเดินเข้ามายังกระท่อมเพื่อแอบดู จ้อนเดินตามแกมาติดๆ ส่วนโซ้ดและสายัณห์แยกไปหลบอีกทางหนึ่งสองสหายหลบบังอยู่ในพุ่มไม้หนาทึบหลังก้อนหินที่ซ้อนกันอยู่เรียงราย โดยทั้งสี่สามารถมองลอดออกไปเห็นเหตุการณ์ที่กระท่อมได้อย่างชัดเจน
"มันขึ้นมากันห้าคน" จ้อนกระซิบบอกลุงชูในขณะที่เขาเห็นพวกมันเดินตรงมายังกระท่อม จ้อนดูไปพลางนับไปพลาง
"เห็นแล้วครับ" แกกระซิบตอบ
"มันมากันครบเลย พวกเมื่อคืนมาสามคนมีไอ้ชาย ไอ้จี่และไอ้อู๊ด ที่เดินรั้งท้ายตัวใหญ่ๆสองคนนั่นคนหัวเถิกคือเล่าเปาะหยีส่วนอีกคนเป็นลูกน้องชื่อไอ้สุข"
"ดูเหมือนจะยังรออยู่บนเรืออีกคน" จ้อนบอก
"พวกมันกำลังตามหาพวกเรา ดูท่าทางว่าจะไม่ได้มาดีแน่ ถือปืนกันให้ว่อนเชียว เตรียมพร้อมไว้ดีกว่าคุณจ้อน"
พูดจบลุงชูก็ล้วงมือเข้าไปในย่ามหยิบเอาปืนลูกโม่ขนาด 9 มม.ออกมาสองกระบอก แกยื่นให้จ้อนกระบอกหนึ่งพร้อมกล่องกระสุนราวกับคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า
"ผมมันมีสมญาว่าไอ้ชูปืนคู่ ผมพกสองกระบอกตลอดเวลาเผื่อขาดเผื่อเหลือ" แกกระซิบกระซาบกับชายหนุ่มเบาๆ
จ้อนรับปืนมาจากชายต่างวัยอย่างนึกขอบคุณ เขาเองน่าจะเตรียมการณ์ให้ดีกว่านี้ในการผจญภัยกรณีเช่นนี้ สำหรับโซ้ดนั้นไม่ต้องห่วงเขาเตรียมอาวุธมาด้วยเต็มอัตราศึกอยู่แล้ว
สายัณห์ก็เช่นเดียวกันหลังจากทราบจากเพื่อนรักว่าสาวนอร์วีเจี้ยน แอนนามารีนั้นถูกลักพาตัวไป เมื่อมาติดตามอย่างนี้จึงจำเป็นอยู่เองที่เขาต้องพกอาวุธประจำกายมาด้วย
ขณะนี้สถานการณ์กำลังตึงเครียดในการที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากัน ด้วยต่างรู้ดีว่าฝ่ายตรงข้ามก็เตรียมพร้อมเช่นเดียวกัน
เล่าเปาะหยีเดินมาหยุดยืนจังก้าคุมเชิงอยู่ที่หน้าประตูกระท่อมชาวประมงร้างพลางบงการให้ไอ้ชายกับไอ้จี่เข้าไปตรวจดูข้างในอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันนั้นนัยตาเล็กเรียวยาวอันเฉียบคมคล้ายตาเหยี่ยวของเล่าเปาะหยีก็กราดไปทั่วบริเวณ ไปหยุดกึกอยู่ที่ต้นตะเคียนคู่ทางออกสู่ลานหินโต๊ะหมากรุก
ฉับพลันสายตาของเล่าเปาะหยีเหลือบขึ้นไปบนยอดไม้เห็นนกคู่หนึ่งกำลังโฉบบินถลาเข้ามาเกาะที่กิ่งตะเคียนต้นนั้น แต่เกาะยังไม่ทันไรมันก็ส่งเสียงร้องเรียกคู่ของมันออกบินถลาไปยังต้นไม้อื่นไกลออกไป
ด้วยสัญชาตญาณระแวงภัยอันเป็นสมบัติประจำตัวของเหล่ามิจฉาชีพอย่างเล่าเปาะหยีเตือนให้เขารู้ได้ทันทีว่ามีสิ่งไม่ชอบมาพากลหลบซ่อนอยู่ที่ใต้ต้นตะเคียนคู่นั้นแน่นอน
เขากระดิกนิ้วส่งสัญญาณเรียกไอ้ทองสุขให้เข้าไปใกล้พลางกระซิบแผ่วเบาพอได้ยินกันสองคน
"ไอ้สุขมึงเห็นต้นตะเคียนสองต้นนั่นไหมวะ"
"เห็นครับเสี่ย ทำไมหรือครับ"
"กูสงสัยว่าจะมีพวกมันบางคนแอบหลบซ่อนอยู่ที่ใต้ต้นตะเคียนคู่นั่นแน่ๆว่ะ"
"เจ้านายเห็นมันเรอะ"
"เห็นมันกูก็เป่าพวกมันกลิ้งไปแล้วซีวะไอ้สุข มึงนี่ช่างซักเสียจริงโว้ยไอ้ห่า.." เขากระซิบดุลูกน้องด้วยความเคยชิน
"ขอโทษที..เจ้านาย จะเอายังไงดีละครับ"
"มึงหาทางอ้อมวกไปทางด้านหลังต้นไม้นั่น เจอแล้วคุมตัวพวกมันไว้ ถ้ามึงเห็นท่าไม่ดีก็จัดการเก็บพวกมันได้เลย"
"โอเคครับเสี่ย เดี๋ยวสวยแน่"
ไอ้ทองสุขอมยิ้มกัดฟันกรอด เดินย่องจากไปทางด้านหน้ากระท่อมแล้วเดินวกขึ้นเนินไปตามทางขึ้นสู่ศาลเจ้ากุหลาบไฟ
เล่าเปาะหยีปล่อยให้ไอ้อู๊ดยืนเฝ้าที่หน้าประตูกระท่อมแต่เพียงผู้เดียวส่วนตัวเขานั้นเดินเข้าไปสมทบกับไอ้ชายและไอ้จี่ที่ในกระท่อม เขาเรียกทั้งสองคนมาสั่งถึงแผนการณ์ที่จะจู่โจมเข้าทางต้นตะเคียนให้รับทราบ การดำเนินงานตามแผนจึงเริ่มขึ้นเมื่อทั้งหมดออกมารวมกันที่หน้าประตูกระท่อมอีกครั้งหนึ่ง
*********
ฝ่ายลุงชูเมื่อเห็นเล่าเปาะหยีมองเพ่งตรงมาทางต้นตะเคียนแล้วกระซิบกระซาบกับไอ้ทองสุขจนทำให้ไอ้ทองสุขเดินวกขึ้นไปทางศาลเจ้ากุหลาบไฟ แกก็พอที่จะเดาออกได้ทันทีตามประสานักเลงเก่าว่าไอ้สุขคงเดินอ้อมวกลงกลับมาตีตลบหลัง ทันทีที่แกเห็นเล่าเปาะหยีเดินเข้าไปในกระท่อม แกก็จูงมือกระชากจ้อนให้รีบย้ายที่หลบไปทางเดียวกันกับที่โซ้ดและสายัณห์หลบซ่อนอยู่ เนื่องจากทางด้านนี้เป็นแถบที่มีชัยภูมิในการตั้งรับที่ดีกว่าเพราะมีทั้งก้อนหินสลับซับซ้อน ต้นไม้ใหญ่รวมทั้งพุ่มไม้หนาทึบ
ณ ที่นั้นเห็นมีสายัณห์พร้อมปืน 11 มม.อาวุธคู่มือ แอบหลบซ่อนอยู่แต่เพียงผู้เดียว ไม่ปรากฏร่างของโซ้ดเลย ทำให้ทั้งลุงชูและจ้อนอดสงสัยไม่ได้ แกคลานเข้ามาใกล้พลางกระซิบถามสายัณห์
"ไอ้โซ้ดไปไหนวะ สายัณห์"
สายัณห์บุ้ยปากไปทางเนินเขาด้านหลังและกระซิบตอบแผ่วเบา
"ไปคอยต้อนรับไอ้ยักษ์สุข"
***************
เมื่อวันที่ : ๑๖ เม.ย. ๒๕๕๐, ๒๒.๑๓ น.
โห...ลุงปิง....ผูกเรื่องได้น่าอ่านมากเลยค่ะ.....ไม่พิศดารพันลึกจนเกินไป...แต่ก็มีเงื่อนงำสอดประสานกันอย่างแนบเนียน...แม้จะตัวละครเยอะ...แต่ก็ติดตามได้ ไม่หลงงงงันไปเสียก่อน
ให้ลุงปิงค่ะ
มอบ