![]() |
![]() |
กาบแก้ว![]() |
........น้ำตาของผู้เป็นบิดาไหลเป็นทางหยดลงไปบนแก้มของหญิงสาวที่กำลังแหงนหน้าขึ้นมองชายชราด้วยความห่วงใยอยู่พอดี !........
ตอน : พบพ่อ
"แอนนามารี...แอนนามารี"เสียงแหบพร่าร้องเรียกชื่ออยู่ข้างหู
แอนนามารีค่อยๆเผยอเปลือกตาลืมตาขึ้น
ภาพที่เธอเห็นรางเลือนเริ่มแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
เธอเห็นใบหน้าของชายชรา หนวดเครารุงรัง ผมสีดอกเลาเกือบขาวโพลนยาวเป็นกระเซิง ยามต้องแสงตะเกียงคล้ายสีเงินยวง ดวงตาที่กำลังก้มลงมองดูเธอนั้นมีแววอ่อนโยนดูคุ้นตาเหมือนเคย มีน้ำตาคลอเอ่อล้นอยู่ในดวงตาคู่นั้น
ภาพที่เห็นทำให้แอนนามารีตื่นจากภวังค์
เธอนอนลืมตาโพลง
แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
"ป๊ะ ป๋า !"
เธอลุกขึ้นโผกอดร่างนั้น ซบหน้ากับซอกคอแน่นน้ำตาไหลพราก เธอสะอื้นไห้ด้วยความปิติเป็นล้นพ้น
แอนนามารีได้ยินเสียงโลหะกระทบกับพื้นหินดังกรุ๊งกริ๊ง เมื่อก้มลงมองดูหัวใจเธอเหมือนจะวูบดับลง
อา..า..เธอเห็นขาของบิดาข้างหนึ่งถูกพันธนาการไว้ด้วยโซ่เส้นยาวที่โยงมาจากผนังถ้ำ
ความปลื้มปิติยินดีที่ได้พบกับผู้บังเกิดเกล้ามลายหายไปหมดสิ้น ความรันทดหดหู่ เศร้าเสียใจเข้ามาทดแทนที่โดยฉับพลัน น้ำตาที่เอ่อล้นไหลพรากด้วยความดีใจเมื่อครู่ กลับพรั่งพรูออกมาอีกคำรบ หากแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
"เราอยู่ที่ไหนกันค่ะ ป๋า" เธอถามผู้เป็นบิดาด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น
"อยู่ในถ้ำลูก"
"ป๋าถูกจับเป็นเชลยหรือ" เธอพูดพลางมองเท้าของบิดาที่ถูกล่ามโซ่ด้วยดวงตาโศกสลด
"ใช่ลูก แอนน์ด้วยเราทั้งสองคนนั่นแหละ"
น้ำตาของผู้เป็นบิดาไหลเป็นทางหยดลงไปบนแก้มของหญิงสาวที่กำลังแหงนหน้าขึ้นมองชายชราด้วยความห่วงใยอยู่พอดี !
อาเม้งยืนมองดูภาพที่ปรากฏตรงหน้าด้วยดวงใจสะท้อนรันทด แม้เขาจะเป็นคนโหดร้ายสักปานใดก็ตามที เขาก็ไม่สามารถที่จะฝืนมองดูภาพอันสะเทือนใจภายในกรงเหล็กที่เห็นต่อหน้าต่อตานี้ได้ เขาเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่งเพื่อซ่อนความรู้สึก
เสียงฝีเท้าหนักๆเดินเข้ามาจากหน้าถ้ำ ฉับพลันสีหน้าของอาเม้งก็ปรับเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวบึ้งตึงนัยตาดุ กรามขบกันจนเป็นสันนูนเพื่อข่มอารมณ์
"พอแล้ว เลิกสำออยกันเสียที"
อาเม้งพูดตะโกนเหมือนคำราม ทำเอาแอนนามารีตกตะลึงกับเสียงขู่ตะคอกนั้น เธอกอดแขนบิดาไว้แน่น
"เอาละ อาหัง ลื้อยอมบอกความจริงเขาไปดีกว่า" อาเม้งพูดเสียงดัง
"เรื่องอะไรคะ ป๊ะป๋า"
"เขาอยากรู้เรื่องที่ซ่อนลายแทงน่ะ" มร. ฮันส์ กุลลิคเซ่น ตอบผู้เป็นบุตรีเบาๆ
"ใช่แล้วหนู" เสียงทุ้มใหญ่เนิบนาบดังกังวานขึ้น
โกหลก หรือนายดิลก ยงสุรพันธ์พงษ์ เจ้าพ่อบางมะขามนั่นเอง
"พ่อหนูน่าจะบอกเราเรื่องที่ซ่อนลายแทงมหาสมบัติ"
"มีการเข้าใจผิดกันหรือเปล่าคะ" แอนนามารีถามอย่างกังขา
"ไม่หรอกหนู นี่ไงลายแทงส่วนที่ฉันมีอยู่"
พูดจบเขาก็กางแผ่นกระดาษคลี่ออก ยื่นเข้าไปในกรงเหล็ก กระดาษแผ่นนั้นเป็นสำเนาที่ถ่ายมาจากลายแทงตัวจริง แต่ภาพเด่นที่อยู่ตรงกลางหน้ากระดาษด้านบนนั้น เป็นรูปสมอเรือวางซ้อนทับอยู่บนภาพดอกกุหลาบดอกใหญ่ดอกหนึ่ง คล้ายเป็นกุหลาบเมืองหนาว เหมือนกันกับหินสลักรูปดอกกุหลาบ ที่หน้าศาลเจ้ากุหลาบไฟนั่นเอง
ด้านล่างต่ำลงมาเป็นแผนผังคร่าวๆ เขียนด้วยหนังสือตัวโตกำกับอยู่บนรูปเกาะ ๔ เกาะ ลากเส้นโยงไปมา มีเกาะขนาน เกาะเต่า เกาะนางยวน และเกาะกาหลง
ที่เกาะกาหลงจะมีรูปกากะบาดคั่นอยู่ตรงกลางระหว่างดอกกุหลาบและสมอเรือ !
ด้านล่างสุดของภาพเขียนไว้ว่า
แผ่นที่ ๑
"นี่เป็นลายแทงแผ่นที่หนึ่ง"
โกหลกพูดพร้อมกับเดินมายืนที่หน้าประตูกรงเหล็กนั้น
"แสดงว่ามีแผ่นที่สองซีคะ"
"ใช่แล้วหลานสาว"
เขาหน้าบึ้งตึงชี้มือมาทางมร. ฮันส์ กุลลิคเซ่น
"แผ่นที่สองอยู่กับพ่อของเธอ ฉันอยากรู้ว่าขณะนี้มันอยู่ที่ไหน"
ประโยคหลังเขาพูดตะเบ็งเกือบเป็นเสียงตะโกน
แอนนามารีหันไปมองหน้าบิดา เธอเห็นเขาส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงอันแหบพร่า
"ถ้าผมมีลายแทง ก็ขุดเอาสมบัติไปหมดแล้วสิ"
"ถึงคุณมีก็ยังไม่สามารถหาสมบัติเจอ" โกหลกพูดเสียงดัง
"ทำไม" ฮันส์พูดถามเหมือนไม่เชื่อ
"เพราะว่าลายแทงแผ่นเดียวไม่สามารถบอกที่ซ่อนสมบัติได้นะซี" โกหลกพยายามอธิบายซ้ำซาก
"ต่อเมื่อเอาลายแทงมาประกอบกันทั้งสองแผ่นถึงจะสมบูรณ์"
"อ๋อ แสดงว่ามีความลับระหว่างลายแทงทั้งสองแผ่น"
"ใช่" โกหลกยอมรับ
"มีแผ่นใดแผ่นเดียวก็ไม่มีความหมาย"
"แน่นอน" โกหลกยืนยัน
"แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าลายแทงอีกแผ่นหนึ่งอยู่ที่ผม" ฮันส์ถาม
"ถึงแม้คุณไม่บอกผมก็รู้" โกหลกคุยเขื่อง "เพราะว่าคุณจ้างเรือมาค้นหาอะไรบางอย่างที่นี่"
"ผมอาจมาเพราะอยากดูเรือไวกิ้งโบราณกับกุหลาบหินก็ได้" ฮันส์ว่า
"เป็นไปไม่ได้ คุณถามหาสมอเรือด้วยว่าวางอยู่ตรงไหน ซึ่งไม่เคยมีอยู่ที่นี่มาก่อนเลย" โกหลกพูดเหมือนกำลังซักพยาน
ฮันส์ กุลลิคเซ่น นิ่งอึ้งคล้ายยอมจำนนต่อคำพูด เขาถามหาสมอเรือจริงตามที่โกหลกว่า เพราะว่านั่นมันเป็นส่วนหนึ่งที่ระบุอยู่บนลายแทงที่เขาได้รับช่วงจาก กัปตันโอลาฟ กุลลิคเซ่น บิดาของเขา ลายแทงฉบับจริงของเขาเก็บซ่อนไว้ในที่มิดชิด แต่ฮันส์ได้บันทึกไว้ในสมองเขาจนแทบว่าจะวาดลายแทงขึ้นมาใหม่จากความจำนั้นได้
"และอีกอย่างหนึ่ง" โกหลกชี้ที่ข้อมือตนเอง
"รอยสักรูปสมอเรือบนดอกกุหลาบสีแดงบนข้อมือคุณ มิสเตอร์ฮันส์คุณหลอกผมไม่ได้หรอก มันตรงกันกับเครื่องหมายบนลายแทง" โกหลกสรุป
"ถ้ามีผมก็คงได้สมบัติไปหมดแล้ว"
ฮันส์พูดพร้อมกับไอหอบจนตัวโยน แอนนามารีรีบประคองบิดาให้นั่งพิงผนังถ้ำ เอาผ้าห่มคลุมร่างไว้
"ยังไม่มีผู้ใดได้สมบัติไปแน่นอน" โกหลกยืนยันอีก "คนของผมเฝ้าอยู่ที่นี่มากว่าสิบปีแล้ว"
"อย่าลืมว่า..รอยสักที่ข้อมือนี้ผมมีมันมาตั้งแต่อายุสิบขวบผ่านมาเกือบห้าสิบปีแล้วเหมือนกัน" ฮันส์พูดพร้อมกับไอโขลกเบาๆขึ้นมาอีก
"ลายแทงนี้มีผู้ครอบครองอยู่ด้วยกันสองตระกูล" นายดิลกพูดต่อเหมือนจะเล่าถึงตำนานประวัติลายแทง "ต่างพยายามเก็บกันเป็นความลับ"
"อะฮะ" ฮันส์ กุลลิคเซ่น พยักหน้า
นายดิลกสั่งให้อาเม้งไขกุญแจเปิดประตูกรงขังออก เขายกเก้าอี้เดินเข้าไปนั่งตรงหน้าสองพ่อลูก
"ตระกูลของผมทางเชื้อสายคุณตา เป็นพวกโจรสลัดระดับหัวหน้าคนหนึ่งเป็นมลายูผสมจีน" นายดิลกเริ่มเล่าถึงบรรพบุรุษ
"แล้วอีกตระกูลล่ะคะ" แอนนามารีถามบ้าง
"อีกตระกูลหลบไปอยู่ที่เกาะขนาน ทำสวนและประมง เป็นนักเดินเรือรับจ้างเดินเรือและนำร่องทั่วไป เดิมเป็นกัปตันเรือโจรสลัด"
"เกาะขนาน"
แอนนามารีอุทานด้วยความตื่นเต้น เธอนึกถึงสามสหายที่ช่วยเหลือเธอมาตลอดตั้งแต่เธอมาถึงเกาะขนานเพื่อตามหาบิดา
อาจเป็นไปได้ว่าใครคนใดคนหนึ่งในสามคนเป็นคนในตระกูลของอดีตกัปตันเรือสลัด อาจเป็นได้ทั้ง จ้อน โซ้ด และสายัณห์
"ใช่ เกาะขนานที่คุณไปพักนั่นแหละ" โกหลกเล่าต่อ
"ลูกชายคนโตของตระกูลนี้ บังเอิญเป็นลูกเรือเดินทะเลของชาวตะวันตก เดินทางไปกับเรือนั้นและหายสาบสูญไปไม่ส่งข่าวคราว คงเหลือคนรุ่นหลานในปัจจุบัน ซึ่งไม่รู้รายละเอียดอะไรเลยเกี่ยวกับลายแทงนี้"
"น่าจะมีคนในตระกูลที่รู้เรื่องบ้าง" แอนนามารีตั้งข้อสังเกต
"เพราะลายแทงติดไปกับคนที่ไปกับเรือเดินทะเล คนในตระกูลจะถือเป็นความลับ ลูกหลานบางคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองสืบเชื้อสายมาจากโจรสลัด"
"คุณรู้จักพวกเขาไหม" ฮันส์ ถามเสียงสั่นด้วยความหนาวเพราะไข้ขึ้น
"รู้จักซี รู้จักดีด้วย" โกหลกตอบพร้อมเสียงหัวเราะหึๆด้วยความสบายใจที่ได้เล่าถึงตำนานบรรพบุรุษของเขา "เพราะผมสืบความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา แต่พวกเขาไม่มีลายแทงแน่นอน"
"คุณเลยสรุปเอาว่าลายแทงต้องอยู่ที่ผม"
"ใช่" นายดิลกตอบอย่างมั่นใจ
อาเม้งยกถาดใส่ถ้วยกาแฟหอมฉุย ควันกรุ่นมาวางตรงหน้าบุคคลทั้งสาม เขาหยิบกาแฟยื่นให้คนละถ้วย มร. ฮันส์และแอนนามารีกล่าวขอบคุณเบาๆ ก่อนที่จะยกขึ้นดื่ม กาแฟร้อนๆทำให้อาการของ มร. ฮันส์ดีขึ้นมาก
"ผมจะมีลายแทงของพวกคุณได้อย่างไรในเมื่อผมมาจากกรุงออสโล"
กาแฟช่วยทำให้ฮันส์พูดเสียงใสขึ้น
"เหมือนกับรูปสลักเรือไวกิ้งโบราณ และดอกกุหลาบไฟบนศาลทำไมถึงได้มาอยู่ที่เกาะกาหลงนี้ได้ คุณตอบผมได้ไหมล่ะ" นายดิลกพูดพลางจ้องหน้า มร. ฮันส์ กุลลิคเซ่น เขม็งเหมือนรู้คำตอบอยู่แล้วในใจ
"คุณคิดว่าอย่างไรล่ะ" ฮันส์ย้อนถามบ้าง
"นายระชด ที่หายสาบสูญอาจมอบลายแทงให้พวกคุณคนใดคนหนึ่งไว้ก่อนเขาตายก็ได้ ใครจะรู้"
"คุณต้องการอะไรจากผมอีกนอกจากลายแทงนั่น" ฮันส์ถามต่อเพื่อหาข้อสรุป เพราะเขารู้ดีว่าขณะนี้นายดิลกเป็นต่อเขาทุกประตูที่จับลูกสาวของเขาไว้ด้วยเสมือนประหนึ่งเป็นตัวประกัน ทำให้สามารถบีบให้เขาไม่อาจบิดพลิ้วได้อีกต่อไป
"ความจริง" นายดิลกพูดพร้อมกับเอานิ้วชี้จิ้มไปที่อกด้านซ้ายของ มร. ฮันส์ กุลลิคเซ่น
"ความจริง" ชายผู้เป็นเชลยทวนคำ
"ความจริงทั้งหมด"
"ถ้าผมบอกคุณจะปล่อยผมและลูกสาวไหม" ฮันส์ ขอคำสัญญา
"ปล่อย"
"คุณมีอะไรเป็นประกัน ผมจะเชื่อคุณได้อย่างไร"
"ผมมีสัจจะ" นายดิลกยืนยัน "ผมจะปล่อยคุณสองคนทันทีที่ผมได้ลายแทงอีกแผ่น และความจริงบางอย่างจากปากคุณ"
"ความจริงอะไรจากผมอีก" ฮันส์กังขา
"ความจริงเรื่องที่นายระชดบอกพวกคุณตอนมอบลายแทงก่อนที่จะตายละซี" โกหลกอธิบายข้อกังขา
"รู้ได้อย่างไรว่าเขาตายไปแล้ว" ฮันส์ถามอีก
"คุณนึกว่าผมไม่รู้เรื่องอะไรของพวกคุณละซี" โกหลกย้อนบ้าง
"รู้เรื่องอะไรของพวกผม" ฮันส์ทำหน้างง
"ผมจะบอกให้" โกหลกว่า "นายระชดกับโกหล่วนพ่อผมติดต่อกันตลอด ตอนที่เขาทำงานอยู่บริษัทเดินเรือของพ่อคุณ"
"พ่อผมได้รับจดหมายฉบับสุดท้ายจากเขา บอกว่าตอนนี้เขากำลังป่วยหนัก เป็นปอดบวมหรืออะไรนี่แหละ"
โกหลกซดกาแฟหมดถ้วย ยื่นคืนให้อาเม้งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ แล้วพูดต่อ
"บอกว่าลายแทงฉบับนั้นอยู่ที่เขา ถ้าเขาเป็นอะไรไปหากติดตามคืนได้ให้นำไปมอบให้ลูกชายเขาด้วย"
"เขามีลูกชาย" ฮันส์พูดเหมือนคำถามด้วยความสนใจ
"ใช่...ลูกชายเขาขณะนี้อยู่ที่เกาะขนาน"
"เขาทำอะไร เดินเรือหรือ" ฮันส์เริ่มงงกับเรื่องที่กำลังใกล้ถึงบทสรุปเต็มที
"ไม่..ลูกชายนายระชดเป็นชาวประมงและทำสวนเหมือนคนอื่นๆในตระกูลของเขา"
"คุณตกลงจะคืนลายแทงให้ลูกชายของตระกูลนายระชดจริงๆหรือ" ฮันส์ถามด้วยความอยากรู้ความจริง
"ขั้นตอนนั้นเป็นเรื่องของผมที่จะพิจารณาเอง" โกหลกตอบ
ฮันส์รู้ได้ทันทีจากคำตอบของนายดิลกว่าเขาไม่ได้คิดที่จะคืนลายแทงให้แก่คนในตระกูลของนายระชดอย่างจริงจังเลย มันเป็นเพียงภาพลวงเท่านั้น เพราะทันทีที่นายดิลกได้ลายแทง ฮันส์คิดว่าทุกคนคงถูกฆ่าสังเวยลายแทงหมดแม้แต่ตัวเขาเอง เขาคิดหาทางออกเพื่อให้แอนนามารีลูกสาวของเขาปลอดภัยก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป
สมบัติมหาศาลนั่นเองคือสิ่งที่นายดิลกต้องการ !
ฮันส์จะไม่ยอมให้ลูกสาวของเขาต้องเป็นอันตรายจากน้ำมือของคนผู้นี้เช่นที่เขาได้เคยโดนมาแล้ว
"ถ้าคุณต้องการลายแทงคุณต้องปล่อยลูกสาวผมกลับไปก่อน" ฮันส์เริ่มต่อรองตามความคิดของตัวเอง
"ผมบอกแล้วว่าผมมีสัจจะ ผมบอกคุณว่าจะปล่อยก็ต้องปล่อย ผมพูดคำไหนคำนั้น" นายดิลกเริ่มมีสีหน้าไม่สู้ดี
"คุณมีลูกสาวไหม" ฮันส์ถามนายดิลกตรงๆ
"มี...สองคนด้วย" นายดิลกตอบ "ถามทำไม"
"ถ้าลูกสาวคุณอยู่ในภาวะเดียวกับลูกสาวผมคุณจะทำอย่างไร คุณไม่คิดที่จะให้เธอไปอยู่ยังที่ปลอดภัยหรือ"
"ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกสาวของผมปลอดภัย" โกหลกตอบสวนทันควัน "คนที่ทำร้ายลูกสาวผม จะได้รับการตอบแทนอย่างสาสม"
"ผมก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันกับคุณ" ฮันส์รีบฉวยโอกาสทองทันที
"ผมก็อยากให้ลูกสาวของผมอยู่ในที่ๆปลอดภัย ถึงเวลานั้นผมจะบอกคุณทุกอย่างที่คุณอยากรู้"
"คุณมีแผนการณ์อย่างไรบอกมา อย่าตุกติกก็แล้วกัน" โกหลกว่า
"ข้อที่หนึ่ง ก่อนอื่นส่งลูกสาวผมกลับไปที่เกาะขนาน"
"แล้วยังไงต่อ"
"ข้อที่สอง ให้เธอยืนยันกลับมาทางวิทยุว่าเธอปลอดภัยแล้ว ผมจะทำตามที่คุณต้องการ คุณดิลก" ฮันส์เสนอเงื่อนไข
"ถ้าคุณบิดพลิ้วหรือเบี้ยวเหมือนเดิมล่ะ มิสเตอร์ฮันส์" นายดิลกถาม
"ผมยังอยู่ในเงื้อมมือคุณ จะทำอย่างไรก็ได้"
"เอาละถ้าคุณเบี้ยว ผมจะไม่จับลูกสาวคุณมาที่นี่อีก แต่คุณจะไม่มีโอกาสได้พบหน้าเธออีกต่อไปชั่วชีวิต" นายดิลกขู่สำทับ "โอเคไหม"
"โอเค" ฮันส์ตอบรับ
"ไม่ได้นะคะป๋า แอนน์จะอยู่ที่นี่กับป๋า" แอนนามารีพูดพลางเขย่าแขนผู้เป็นบิดาเชิงอ้อนวอน
"ไปเถอะลูก ป๋าดูแลตัวเองได้" ฮันส์บอกลูกสาว
"แต่ป๋าไม่สบายนะคะ ป๋ากำลังต้องการหมอ"
"ป๋าไม่เป็นไรหรอกแอนนามารี ลูกกลับไปเถอะ"
"เป็นตายยังไงแอนน์ก็จะขออยู่เคียงข้างป๋า จะไม่ยอมหนีไปเพื่อเอาตัวรอดเพียงคนเดียวเด็ดขาด" แอนนามารียืนยันหนักแน่น
"ไม่ใช่ให้ลูกเอาตัวรอด หากแต่เพื่อแก้ไขให้สถานะการณ์มันดีขึ้น เชื่อป๋าเถอะ" ฮันส์เตือนสติบุตรสาว
"แอนน์กลัวว่าจะไม่มีโอกาสได้พบหน้าป๋าอีก" แอนนามารีรำพึงรำพันกับบิดา แววตาเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
"ฉันจะปล่อยพ่อเธอ เมื่อได้ทุกสิ่งทุกอย่างครบตามข้อตกลง พ่อเธอจะไม่เป็นอะไร ฉันขอสัญญา" นายดิลกกล่าวขึ้นบ้างเมื่อเห็นว่า เหตุการณ์จะไม่ดำเนินไปง่ายดายอย่างที่คิด
"ตราบใดที่เธอไม่คิดหักหลังฉัน โดยเอาเรื่องนี้ไปแจ้งตำรวจ"
"แอนน์จะดูอาการป๋าอีกหนึ่งวัน ถ้าอาการป๋าดีขึ้นแอนน์ถึงจะยอมไปเกาะขนาน" แอนนามารีตกลงแบบมีเงื่อนไข
"แล้วถ้าหากว่าป๋าไม่ตามไปภายในยี่สิบสี่ชั่วโมง แอนน์ก็จะไม่รักษาสัญญา โดยจะถือว่าคุณผิดสัญญาข้อนี้ด้วย"
"ตกลง" นายดิลกรับคำ
"ฉันให้เวลาเธอหนึ่งวัน คืนพรุ่งนี้ฉันจะให้คนของฉันมาพาเธอกลับไปเกาะขนาน เธอมีเวลากลางวันพรุ่งนี้ทั้งวันที่จะดูแลพ่อของเธอ นี่ก็จวนสว่างแล้วฉันจะกลับไปก่อน...โชคดีนะสาวน้อย"
พูดจบนายดิลกก็ลุกขึ้นยืนก้าวออกจากกรงเหล็กนั้นเดินไปทางหน้าถ้ำทันที อาเม้งปิดประตูเหล็กคล้องกุญแจล็อกดังคลิ้กก่อนที่จะเดินตามเจ้านายออกไป
"ขอบคุณพระเจ้า ที่ยังทรงพระเมตตา"
แอนนามารีพึมพำได้ยินกันเพียงสองคนพ่อลูก
*********
สักครู่เดียวเสียงเครื่องยนต์เรือก็ครางกระหึ่มขึ้น เสียงเร่งเครื่องยนต์แล้วค่อยๆเงียบหายไป
อาเม้งเดินกลับมายืนที่หน้ากรงเหล็กอีกครั้งหนึ่ง ในมือถือขวดเหล้าบรั่นดีพร้อมด้วยแก้วหนึ่งใบ ส่งลอดเข้าไปในกรงเหล็กยื่นให้แอนนามารีแล้วพูดขึ้นว่า
"นี่บรั่นดีแก้หนาว อั๊วเอายาแก้ไข้มาให้อาหังเตี่ยลื้อด้วย ขวดน้ำอยู่ข้างประตู ให้เตี่ยลื้อกินซะ"
"ขอบคุณค่ะ"
แอนนามารีเอื้อมมือรับขวดบรั่นดีและแก้วพร้อมยาแก้ไข้มาอย่างรู้สึกขอบคุณในน้ำใจของชายตาลึกแก้มตอบท่าทางน่ากลัวผู้นี้ เธอรินบรั่นดีค่อนแก้วส่งให้ผู้บังเกิดเกล้า เขายกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว จากนั้นเธอจึงหยิบยาแก้ไข้ขึ้นมาดูฉลากยาก่อนที่จะฉีกเม็ดยาออกจากแผงยื่นให้บิดาสองเม็ด เขารับไปใส่ปากตามด้วยน้ำในแก้วที่แอนนามารีรินจากขวดพลาสติกที่อาเม้งวางไว้ให้ข้างประตู
เธอรินบรั่นดีให้ตัวเองแก้วหนึ่ง แล้วจึงทรุดกายลงนอนข้างบิดา อาเม้งโยนผ้าห่มเข้ามาให้อีกหนึ่งผืน เธอห่มผ้าขดตัวซุกอยู่ในอ้อมกอดบิดาหลับไหลไปด้วยความอ่อนเพลียภายในถ้ำกาหลงนั้นเอง !
***************