![]() |
![]() |
กาบแก้ว![]() |
........เขายังไม่เคยทราบหรือระแคะระคายมาก่อนเลยว่า มีเรื่องราวแบบนี้ในดินแดนแถบนี้ มันเหมือนเกาะในตำนานแห่งความเพ้อฝัน........
ตอน : ความลับของคนตกปลา
เรือหาปลาลำนั้นลอยลำโล้คลื่นโยนตัวอยู่ไปมาห่างไม่ไกลนักจากเกาะกาหลง ชายบนเรือสวมหมวกสานใบโตบังแดดที่เริ่มร้อนแรงขึ้นทุกทีสายเบ็ดตึงจนคันเบ็ดโก่งงอแสดงว่าปลาฮุบเหยื่อกำลังลากดึง !
คันเบ็ดสั่นพลิ้ว !
ตัวคงโตไม่เบา !
แรงเย่อระหว่างคนกับปลาเป็นกีฬาที่ตื่นเต้นสำหรับนักตกปลาบางคน ที่ถือเอาการตกปลาเป็นกีฬาหรืองานอดิเรก แต่สำหรับนักตกปลาเป็นอาชีพที่แท้จริงแล้วมันคืออาหารและความอยู่รอดของชีวิตครอบครัว
เขาผู้นี้ก็เช่นกัน เขาค่อยๆสาวสายเบ็ดดึงเย่อกับปลาอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ดึงเอาปลามาจนติดกราบเรือ แล้วจึงเกี่ยวปลาด้วยตะขอที่เขาบรรจงทำมันขึ้นมาเองสำหรับเกี่ยวปลาตัวโตโดยเฉพาะ เขาหิ้วมันขึ้นมาบนเรือ ทุบหัวมันด้วยไม้ตะบองดังโป๊กใหญ่ แกะเบ็ดแล้วโยนมันไปรวมไว้ที่ท้องเรือ จัดการเกี่ยวเหยื่อตัวใหม่เหวี่ยงออกไปสุดแรงเหมือนเดิม ตั้งแต่เช้ามานี่เขาได้ปลามาเกือบสิบตัวแล้ว
สายตาของชายตกปลาไม่ได้อยู่ที่คันเบ็ดและสายเบ็ดเสียทีเดียวหรอก หากแต่ขณะที่ตกปลานั้นเขาหันหน้าไปทางเกาะกาหลง สายตาจับจ้องอยู่ตามแนวซอกหลืบโขดหินที่มีอยู่น้อยใหญ่ระเกะระกะ เต็มไปด้วยต้นไม้ร่มครึ้มทึบทะมึนเนื่องด้วยอยู่ติดกับหน้าผาสูงชัน เสียงคลื่นยักษ์สาดซัดกระทบถูกหน้าผาน้ำแตกกระเซ็นเป็นฝอยดังโครมครืนอยู่ตลอดเวลา
เขาออกมาทอดสมอลอยลำตกปลาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้ เขาเพียรพยายามจ้องมองไปที่ซอกหลืบโขดหินรกครึ้มนั้นเป็นเวลานานเหมือนมองหาอะไรสักอย่าง นานๆครั้งเขาจึงจะเอามือล้วงเข้าไปในถุงย่ามที่วางอยู่ใกล้ตัวเสียทีหนึ่ง
ตะวันลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ เขากะว่าตกปลาได้อีกตัวเดียว ก็จะขึ้นไปนั่งพักที่กระท่อมข้างทางขึ้นศาลเจ้ากุหลาบไฟ
เพราะตั้งแต่ออกจากเกาะขนานมาเมื่อคืนจนป่านนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย !
แสงแดดที่เริ่มร้อนแรงทำให้เขาหิวจนตาลาย !
ปลาเริ่มตอดเหยื่ออีก เขาปล่อยให้มันกระตุกคันเบ็ดลากสายไปไกลก่อนที่จะถูกเขากรอรอกสาวสายเบ็ดกลับมาอย่างชำนาญ คราวนี้ได้ปลาสากตัวโต เมื่อโยนปลารวมกันไว้ที่ท้องเรือแล้ว เขาจึงค่อยๆถอนสมอ ติดเครื่องเร่งเรือเบาๆเข้าหาฝั่ง ตรงไปที่ชายหาดหน้าทางขึ้นศาลเจ้ากุหลาบไฟ
พอเรือเกยตื้นริมหาดเขาก็เหวี่ยงสมอเรือโยนขึ้นไว้บนพื้นทรายกันเรือลอยหนียามน้ำขึ้น เขาหยิบถุงย่ามและสัมภาระขึ้นสะพายหลัง กระโดดลงจากเรือ มีปลาที่ตกได้หิ้วติดมือไปด้วยสองตัว เดินตรงดิ่งไปยังกระท่อมร้างนั้น
เขาถอดหมวกออกเผยให้เห็นผมสีดอกเลา หนวดเคราขึ้นหร็อมแหร็มเดินหลังงุ้มเล็กน้อย มีแต่ตาสีเหล็กเท่านั้นที่ฉายแววเด็ดเดี่ยวมั่นคง
ลุงชูเจ้าของสำนวนนักเลงเก่านั่นเอง ! !
แกก่อไฟที่เตาหินก้อนเส้าในกระท่อม ล้วงเอาข้าวสารออกมาจากถุงสองฟายมือใส่ในหม้อเหล็ก เติมน้ำจากขวดที่เอาใส่ถุงมาด้วยพอท่วม ยกขึ้นตั้งไฟปิดฝา
ขณะที่รอข้าวเดือดก็จัดการควักไส้ขอดเกล็ดปลา บั้งเป็นริ้วทั้งสองตัวราดน้ำปลาหมักไว้ พอข้าวที่หุงแบบไม่เช็ดน้ำสุกระอุได้ที่ ก็ตั้งกระทะทอดปลาด้วยน้ำมันพืชที่นำมาด้วยเสียงดังฉ่า...า..า
โชยกลิ่นหอมฉุย !
ก่อนที่แกจะพลิกปลากลับข้างทอด ลุงชูก็หยิบวิสกี้ออกจากย่าม จ่อปากกระดกขวดกรึ๊บเรียกน้ำย่อยสองอึก
ทอดปลาเสร็จแทนที่แกจะรีบกินด้วยความหิว แกกลับคดข้าวใส่จานวางทับด้วยปลาทอดตัวโตพร้อมขวดน้ำและแก้วจากในย่ามเดินไปตามทางขึ้นสู่ศาลเจ้ากุหลาบไฟ นำสิ่งของทั้งหมดวางบนแท่นบูชา จุดธูปเทียนแล้วก้มลงกราบสามครั้งก่อนที่จะหันหน้าไปคำนับเรือโบราณ
ขณะที่เดินลงกลับกระท่อมช่วงเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ไม่ไกลจากกระท่อมนักมีกลิ่นเหม็นเหมือนซากสัตว์ลอยตามลมมา แกชะโงกไปดูใกล้ๆ
ซากงูที่ถูกโซ้ดฆ่าเพื่อช่วยชีวิตลูกลิงไว้นั่นเอง !
ด้วยความหิวแกรีบผละเดินเลยลงไปที่กระท่อมด้านล่าง กะว่าจะขึ้นมาขุดหลุมฝังซากงูภายหลัง.....
**********
เสียงเครื่องยนต์ของเรือเร็วที่แกคุ้นหู แล่นมาจอดที่หน้าชายหาดใกล้กับเรือหาปลาของแก ลุงชูกำลังอร่อยอยู่กับอาหารเช้าตอนเพลเพราะขณะนั้นสิบเอ็ดนาฬิกาแล้วแกจึงเคี้ยวข้าวตุ้ยๆต่อจนหมดจานก่อนที่จะเดินออกมาดูนอกกระท่อม แกเห็นจ้อน โซ้ดและสายัณห์กำลังเดินลุยน้ำขึ้นมาพอดี สามสหายเดินตามลุงชูเข้าไปในกระท่อม
"เห็นเรือก็รู้แล้วว่าต้องเป็นลุง" จ้อนพูดขึ้นก่อน
"คนที่ใช้กระท่อมก็คือลุงนี่เอง" สายัณห์ว่า
"แถวนี้ปลาชุม" ลุงชูบอก
"แสดงว่าลุงมาที่นี่บ่อยซิ" โซ้ดถามบ้าง
"ข้ามาเฉพาะข้างแรมนะโซ้ด" แกบอก "ข้างขึ้นข้ากลัว โดยเฉพาะคืนเดือนเพ็ญ"
"ลุงก็กลัวเป็นเหมือนกันเรอะ" สายัณห์ถามคล้ายสงสัย
"อ้าว...ข้าก็เป็นคนเหมือนกันนี่"
"นึกว่าลุงกลัวไม่เป็น ผมไม่เห็นลุงกลัวใครเลย ยกเว้นป้า..."
"พอ..ๆ ห้ามพูดต่อ" ลุงชูโบกมือหรา "เดี๋ยวจะขัดใจกันเปล่าๆ พูดเรื่องอื่นดีกว่า"
แกรีบเบรคอย่างรู้ทันว่าสายัณห์กำลังจะพูดอะไรต่อ ถ้าไม่ใช่เรื่องเมียคู่ทุกข์คู่ยากของแก กิตติศัพท์ของแกกับป้าเพ็ญดังข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลหลายหมู่เกาะ
"ผมกำลังจะบอกลุงว่า ยกเว้นปลาฉลาม" สายัณห์เลี่ยงไปเฉียดฉิวอย่างรู้ใจ
"อย่าพูดเป็นลาง" แกว่า
"เออ..เมื่อตะกี้ข้าเห็นซากงูตัวเบ้อเริ่มอยู่ที่ใต้ต้นไม้โน่น ไม่รู้เป็นอะไรตาย ข้ากำลังหิวเลยไม่ทันได้ดู"
"อ๋อ..ไอ้โซ้ดมันแหวะเพื่อเอาลูกลิงออกจากปากมันนะครับลุง" จ้อนบอก
"แอบมากันตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมไม่บอกให้ลุงรู้บ้างละคุณจ้อน" แกถามชายหนุ่ม
"เมื่อวานซืนนี้ พวกเราออกมาช่วยคุณแอนน์ตามหาคุณพ่อเธอที่หายไปไงล่ะครับ"
"หนูแอนน์" ลุงชูทวนคำ
"ใช่เราคุยกันเรื่องเกาะกาหลงเมื่อคืนนี้ก่อนไฟไหม้ แล้วหนูแอนน์ก็หายไปหลังไฟไหม้ ใช่ไหม" แกถาม
"ลุงรู้ได้ยังไงว่าคุณแอนน์หายไป ยังไม่มีใครบอกลุงเลย" จ้อนสงสัย
"เมื่อเช้าพวกเราตามหาลุงจนทั่ว ป้าเพ็ญบอกว่าลุงเข้าไปเอาของในบ้านตอนไฟไหม้แล้วหายตัวไปเลย"
"เรื่องมันยาว ลุงเห็นพวกคุณกำลังวุ่นเรื่องญี่ปุ่นตื่นไฟกันอยู่เลยตัดสินใจคนเดียว"
"ตัดสินใจคนเดียว" จ้อนทวนคำ
"ใช่ เมื่อคืนลุงยืนยันแล้วยังไงว่าจะสานต่อ"
"จริงของลุง" จ้อนพยักหน้ายอมรับ
"พอไฟไหม้เสียงเจี๊ยวจ๊าวโกลาหลไปหมด ตอนนั้นลุงตกตลึงวิ่งตามเขาไปด้วยเหมือนกัน ลุงเห็นไอ้คนตัวโตกะไอ้ชายวิ่งปนไปกับพวกเราไปทางบังกะโล แต่แทนที่มันจะไปยังบังกะโลหลังที่กำลังติดไฟ มันกับพวกพากันวิ่งไปอีกทาง" ลุงชูเริ่มบรรยายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
"พอดีลุงเห็นหนูแอนน์วิ่งไปทางบังกะโลของเขาทางนั้นด้วย ลุงจำได้จึงรีบตามไป แต่ก็ไม่ทันเพราะลุงเห็นพวกมันกำลังเอามืออุดปากหนูแอนน์ คงเป็นยาสลบ แล้วพวกมันก็แบกเธอหายไปทางด้านหลัง ลุงตามพวกมันไปจนถึงเรือที่พวกมันจอดซุ่มไว้ที่ริมโขดหินใหญ่ข้างท่าเรือวัดเกาะขนาน ลุงแอบลงแช่น้ำคลานเข้าไปใกล้จนได้ยินเสียงมันพูดกันว่าไปเกาะกาหลงเจ้านายรออยู่ที่ถ้ำ ลุงรอดูจนพวกมันออกเรือไป" แกเล่าพลางหยุดถอนหายใจ ยกขวดน้ำขึ้นดื่มก่อนที่จะเล่าต่อ
"พอพวกมันออกเรือไปกันแล้ว ลุงก็กลับไปที่บ้าน เห็นพวกคุณวุ่นวายอยู่กับการดับไฟ โกลาหลไปหมดทั้งฝรั่งทั้งญี่ปุ่น จึงเข้าบ้านขนเอาข้าวของลงเรือออกติดตามมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้เลย"
"ใช่นี่ลุงยังใส่ชุดเดิมอยู่เลยนี่" จ้อนว่า
"ยังมีกลิ่นเหล้าโชยมาตุ่ยๆ" โซ้ดผสมโรงพลางทำท่าสูดจมูกฟุดฟิด
"เฮ่ย..กลิ่นมันหมดไปตั้งแต่ตอนข้าแช่น้ำแล้วละว่ะ"
"ลุงตามมานี่เจอพวกมันบ้างหรือเปล่า" สายัณห์ถามบ้าง
"เมื่อคืนนี้ก่อนถึงเกาะข้าดับเครื่องแต่ไกลลอยเรือดูอยู่ห่างๆ พอจวนใกล้รุ่งก็ได้ยินเสียงเรือ ไม่รู้ว่ามันโผล่ออกมาจากตรงไหน เห็นมันแล่นมาจากทางหน้าผานั่น บังเอิญตอนนั้นข้าลอยลำอยู่ไกลมาก มองเห็นไม่ถนัด พวกมันพากันไปที่เรือใหญ่ที่มันจอดทอดสมอรออยู่อีกด้านหนึ่ง สักพักใหญ่พวกมันก็ออกเรือมุ่งหน้าไปทางเกาะสมุย ข้าเลยแกล้งเลื่อนขยับเรือเข้ามาลอยตกปลาสังเกตการณ์ดูอยู่ตั้งแต่ตอนเช้ามืด จนกระทั่งหิวข้าวถึงได้ขึ้นมาหุงข้าวกินนี่แหละ ก็พอดีพวกเอ็งกับคุณจ้อนมา" พูดจบลุงชูก็สูดหายใจลึกๆอีกครั้งหลังจากเล่าต่อยาวเหยียด
"พวกเอ็งรออยู่นี่ ข้าขอเวลาขึ้นไปเก็บของบนศาลเจ้าก่อน กะเดี๋ยวข้าลงมา" ลุงชูบอกสามสหาย
"เก็บของอะไรหรือลุง" สายัณห์ถาม
"เครื่องเซ่นไหว้บูชาน่ะ ข้าจะขึ้นไปลาเครื่องเซ่น เอาลงมาล้างเก็บ" พูดจบชายวัยดึกทำท่าออกเดิน
"ผมจะขึ้นไปช่วยถือ"
ไม่แต่เพียงพูดเท่านั้น สายัณห์ก้าวตาม
"ไม่ต้องหรอก ของไม่มาก เดี๋ยวข้าก็ลงมา รอที่นี่แหละ"
สักครู่ลุงชูก็ลงมาพร้อมเครื่องเซ่นไหว้ แกรวบรวมแก้ว จาน ชาม ช้อน หม้อและกระทะ เอาลงไปล้างน้ำทะเลที่ริมหาดข้างเรือแล้วเอาขึ้นมาคว่ำวางเก็บไว้ในกระท่อมตามเดิม
"ไปช่วยกันฝังงูก่อนดีกว่าคุณจ้อน"
ลุงชูพูดพร้อมกับหยิบชะแลงที่แกเตรียมมาด้วยจากเรือ ออกเดินนำหน้าไปทางซากงูซึ่งอยู่ใต้ต้นไม้ถัดไปใกล้ๆกันนั้น
"จะได้ไม่อุจาดตา"
แกพูดเหมือนเทศมนตรี
หลังจากขุดหลุมฝังซากงูเสร็จเรียบร้อย จ้อนก็ชวนชายวัยดึกออกเดินไปตามทางเดินลับหลังกระท่อม แกทำท่าคล้ายสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร ลุงชูหยิบย่ามขึ้นสะพายแล้วเดินตามไป สายัณห์เดินตามเป็นคนต่อมา ส่วนโซ้ดเดินระวังอยู่รั้งท้าย โดยเฉพาะโซ้ดนั้นเขาได้ตระเตรียมสัมภาระมาพร้อมตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว เพื่อเผชิญหน้ากับเหตุร้ายในทุกสถานการณ์ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
เมื่อขณะเดินผ่านโต๊ะหินตาหมากรุกนั้น ลุงชูหยุดยืนมองนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะออกเดินตามต่อไป
ทั้งสี่คนช่วยกันเอาเสาไม้ท่อนเดิมงัดหินที่ปากถ้ำให้เปิดออกได้โดยไม่ยากนัก โซ้ดหยิบไฟฉายที่เตรียมมายื่นให้จ้อน เขาส่องไฟฉายนำทางพาทั้งหมดเดินเข้าไปตามทางเดิมที่เคยเข้ามาเมื่อวันก่อน จนกระทั่งถึงแท่นหินอ่อนที่มีหีบศพตั้งวางอยู่ ชายหนุ่มทำท่าจะเดินนำเข้าไปในซอกที่เขาเคยเห็นถุงหีบห่อวางซ้อนกันอยู่เต็ม แต่แล้วเขาก็ต้องหยุดชะงัก
ลุงชูผู้ที่เดินตามหลังเขามาติดๆ ยืนนิ่งอยู่ต่อหน้าหีบศพนั้น แกก้มศีรษะลงคำนับทำความเคารพ แล้วค่อยๆย่อกายคุกเข่าลงตรงหน้าหีบศพ พร้อมกับก้มลงกราบแสดงความคารวะ
"ท่านขุนที่เคารพ ไอ้ชูมาขอกราบใต้เท้า" ลุงชูกล่าวออกมาเสียงดังกังวานก้องถ้ำ
"ท่านขุน" จ้อนทวนคำคล้ายรำพึงกับตัวเองเบาๆ
หนุ่มโซ้ดทำหน้าฉงน !
สายัณห์ยืนนิ่งเหมือนถูกมนต์สะกด !
"ข้าขออภัยที่ไม่ได้มาเยี่ยมเยียนใต้เท้าเสียหลายวัน" แกพูดต่อ
ได้ยินชัด !
ทั้งจ้อน โซ้ดและสายัณห์งงเหมือนโดนค้อนทุบ !
ศาลเจ้ากุหลาบไฟ !
กระท่อม !
ถ้ำ !
ท่านขุน !
แล้วก็ลุงชู ! !
"ขอโทษเถอะครับลุง"
จ้อนกังขา
"ลุงรู้จักท่านผู้นี้หรือครับ"
"ฮื่อ" แกรับคำแต่ยังก้มหน้านิ่งอยู่
"ท่านเป็นใครกันครับ"
สักครู่แกจึงเงยหน้าขึ้นมองดูภาพที่แขวนอยู่บนผนังถ้ำ ยกมือขึ้นไหว้อีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะหันมาเจรจากับชายหนุ่ม
"ท่านคือเจ้านายเก่าของลุง"
"เจ้านายเก่า" จ้อนทวนคำเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี
"ใช่...ผมรับใช้ท่านมาแต่เด็กจนกระทั่งท่านเสีย"
ลุงชูพูดตาลอยเหมือนคนละเมอ
"แสดงว่าลุงมาที่นี่เป็นประจำ"
"ครับ ผมมาดูแลทำความสะอาดในถ้ำนี้ให้ท่านเสมอ"
"เมื่อตะกี้ก่อนเข้ามา ทำไมลุงไม่บอกก่อน"
จ้อนถามเหมือนคนกำลังอยู่ในความฝัน
"ก็คุณไม่ได้ถาม"
ลุงชูตอบพลางทรุดกายลงนั่งบนแท่นหินอ่อนนั้น
"ลุง..กรุณาช่วยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกผมฟังหน่อยเถอะครับ"
จ้อนเดินเข้ามาใกล้หย่อนก้นลงนั่งติดกับชายต่างวัย
เขามองหน้าชายผู้สูงวัยกว่าอย่างใคร่รู้ถึงเรื่องราวอันลี้ลับนี้ เพราะว่าชั่วชีวิตตั้งแต่เด็กจวบจนบัดนี้ เขายังไม่เคยทราบหรือระแคะระคายมาก่อนเลยว่า มีเรื่องราวแบบนี้ในดินแดนแถบนี้ มันเหมือนเกาะในตำนานแห่งความเพ้อฝัน ถ้าเขาอยู่ที่นี่เพียงผู้เดียวเขาคงคิดว่าเขากำลังฝันไปแน่ๆทีเดียว แต่นี่เพื่อนรักของเขาอีกสองคนก็อยู่ที่นี่ด้วย ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาคิดอยู่เสมอว่า
เขารู้จักลุงชูผู้นี้ดี ! !
แต่ไม่ใช่ ! !
ลุงชูได้กลับกลายเป็นบุรุษผู้ลึกลับไปแล้วสำหรับเขา ! !
ยังมีอะไรอีกที่เป็นปริศนาลี้ลับที่เขายังไม่รู้ ! !
ทั้งสายัณห์และโซ้ดนั่งลงกับพื้นหินตรงหน้า คอยฟังเรื่องราวจากปากของชายต่างวัยอย่างสนใจ
ลุงชูเดินไปที่ซอกหินเล็กๆข้างผนังถ้ำ เอื้อมมือล้วงหยิบเอาตะเกียงโป๊ะไขลานแบบโบราณออกมา จุดไฟแช็กจ่อเข้ากับไส้ตะเกียงติดพรึบ แกเร่งแสงไฟให้สว่างขึ้น แสงสีนวลกระจายไปทั่วห้อง แกร้องบอกให้จ้อนปิดไฟฉายเสีย พร้อมกับเดินกลับมานั่งข้างชายหนุ่มเหมือนเดิม ดวงตาสีเหล็กเป็นประกายเมื่อแกเริ่มเล่าถึงเรื่องราวในอดีต
***************
ขุนชำนินาวีประดิษฐ์เดิมชื่อวีเป็นช่างต่อเรือที่มีฝีมือมากผู้หนึ่งในเขตอ่าวไทย เขาสามารถต่อเรือต่างๆได้ทุกชนิดแม้กระทั่งเรือสำเภาไม่แพ้ชาวจีนโพ้นทะเล เป็นที่เลื่องลือไปไกลจนกระทั่งได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นขุนชำนินาวีประดิษฐ์
ต่อมาได้แต่งสำเภาไปค้าขายต่างแดนกับพวกแขกและฝรั่งทางมลายูและสิงคโปร์ ถูกโจรสลัดปล้นสดมภ์จนเรืออับปางลงกลางทะเลทรัพย์สินเสียหายสิ้น ตัวขุนชำนิฯและบ่าวไพร่จึงอพยพจากชุมพรลงไปอยู่เกาะสมุย
เลิกอาชีพต่อเรือหันไปทำสวนมะพร้าว !
จนชราภาพ !
แต่ด้วยวิญญาณของนักเดินเรือ ขุนชำนิฯกับลูกน้องคู่ใจอีกสองคน ได้ใช้เรือที่เขาต่อเองออกสืบเสาะหาแหล่งที่ซ่อนของโจรสลัด
จนกระทั่งมาถึงเกาะกาหลงพบศาลเจ้ากุหลาบไฟและเรือรูปทรงประหลาด จึงออกสำรวจรอบๆ พบถ้ำลึกลับนี้เข้าถูกใจ ท่านขุนชำนิฯมีความตั้งใจที่จะยึดเอาเป็นสุสาน หลังจากนั้นขุนชำนิฯและลูกน้องทั้งสองจึงได้ตบแต่งสุสานบนแท่นหินอ่อนธรรมชาติ และให้ช่างวาดรูปเหมือนของท่านมาแขวนไว้เหนือหีบศพ ซึ่งภายในหีบบุด้วยตะกั่วแน่นหนา
เมื่อท่านสิ้นลงตามอายุขัย !
อันที่จริงมันคืออุบัติเหตุ !
บ่าวไพร่หรือลูกน้องคนสนิททั้งสองคนอันได้แก่นายบุญชูและนายบุญช่วยสองคนพี่น้องจึงดูแลสุสานและรักษาเป็นความลับเสมอมาตามพินัยกรรมของท่านขุนชำนิฯเอง
ต่อมานายบุญช่วยได้หายสาบสูญไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่นัดกันไว้ว่าจะมาพร้อมกันทุกวันธรรมสวนะหรือวันพระเพื่อช่วยกันดูแลปัดกวาดสุสาน นายบุญชูตามหาน้องชายจนทั่วทุกเกาะแก่ง ก็ไม่สามารถสืบเสาะข่าวคราวใดๆได้เลย จึงเลิกติดตามเพราะคิดแล้วว่ายากที่จะตามหาเจอ ลุงชูจึงปฏิบัติหน้าที่ต่อมาแต่เพียงผู้เดียว
***************
ทั้งสามสหายนั่งนิ่งฟังเรื่องราวอันเปรียบเสมือนนิยายลี้ลับนั้นเหมือนต้องมนต์ จ้อนสังเกตเห็นน้ำตาของชายต่างวัยไหลลงอาบแก้มเป็นทางทั้งสองข้าง แกเอาผ้าขาวม้ายกขึ้นซับน้ำตาตลอดเวลาที่เล่า
เป็นภาพที่ประทับติดตรึงอยู่ในดวงใจของสามหนุ่มสุดที่จะบรรยาย !
ความซื่อสัตย์ที่มีต่อผู้มีพระคุณ ! !
การที่สามารถรักษาความลับได้ตลอดมาเป็นเวลาช้านาน ! !
"พวกผมต้องขอโทษลุงด้วย ที่ได้เข้ามาทำลายสิ่งดีงามทั้งหมด"
จ้อนเอื้อมมือไปบีบแขนชายต่างวัยและยกมือพนมกราบลงบนอกของแกอย่างคนสำนึกในความผิด
สายัณห์และโซ้ดก็เช่นเดียวกัน ทั้งคู่ลุกขึ้นเกือบพร้อมกันคุกเข่าก้มลงกราบขอขมาที่เข่าของชายชราคนละข้าง
ชายต่างวัยยกมือซ้ายตบไหล่จ้อนด้วยความเมตตา ส่วนมือขวาแกลูบหัวสองเกลอที่ก้มกราบอยู่บนเข่าทั้งสองข้างของแกด้วยความเอ็นดูเช่นกัน เพราะแกรู้จักสามสหายมาตั้งแต่ยังเด็ก แกรักทั้งสามเสมือนลูกหลานของแกเอง
นี่คือสาเหตุหนึ่งที่แกมาอยู่ที่นี่พร้อมสามหนุ่มในวันนี้
นั่นคือ.....
น้ำใจ.....
ที่หาได้ยากในสังคมปัจจุบัน
ไม่มีขายในท้องตลาด....หาซื้อไม่ได้
หากเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
ธรรมชาติแห่งน้ำใจ !
***************