![]() |
![]() |
กาบแก้ว![]() |
........พระพุทธองค์ท่านจึงได้ปราบมารอย่างไรเล่า มารที่ท่านปราบก็คือมารในจิตใจซึ่งเป็นรากเหง้าของมารสังคมนั่นเอง เมื่อสังคมมีแต่คนดีๆ ไม่มีคนชั่วปะปน สังคมนั้นก็เจริญรุ่งเรืองสงบสุข........
ตอน : ตามนาง
กว่าที่จ้อนและโซ้ดกับทุกคนจะรู้ว่าแอนนามารีหายตัวไป ก็ต่อเมื่อปาร์ตี้จบลง ซึ่งดึกมากโขอยู่เลยเวลาสองยามไปแล้ว ขณะนั้นทุกคนมารวมตัวกันที่คอฟฟี่ช็อพก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน แรกทีเดียวจันทร์จิรานึกว่าสาวผมบลอนด์แอบกลับไปงีบก่อนจึงให้คนตามไปดู ปรากฏว่ากุญแจห้องยังล็อกอยู่ จึงเกิดการโจษขานตามหากันขึ้นคืนนั้นจ้อนและโซ้ดตามหาจนทั่วเกาะ ก็ไม่พบแม้แต่วี่แวว !
จ้อนได้แจ้งความคนหายไว้ที่สถานีตำรวจภูธรตำบลเกาะขนาน ซึ่งมีตำรวจอยู่เพียงสองคนเท่านั้นโดยมีนายดาบตำรวจบุญเที่ยงเป็นหัวหน้าสถานี ส่วนอีกคนคือสิบตำรวจตรีประทิว คืนนั้นทั้งคู่อยู่ประจำที่โรงพักพอดี เพราะบ้านพักของตำรวจทั้งสองอยู่ติดโรงพักนั่นเอง ดาบบุญเที่ยงรีบวิทยุแจ้งไปยังหน่วยเหนือทันที แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ดีกว่านี้
จ้อนเป็นทุกข์เป็นร้อนมากกว่าผู้ใดทั้งหมด เพราะเขาได้รับการฝากฝังจากปีเตอร์ ทอปป์แห่งสถานทูตนอร์เวย์เพื่อนรักเกลอเก่าของเขาให้คอยช่วยดูแลและอำนวยความสะดวกแก่แอนนามารีในการติดตามหาบิดาของเธอที่หายสาบสูญไปกว่าสองเดือนแล้ว ทีนี้เขาจะกล้าส่งข่าวบอกกับเพื่อนของเขาได้อย่างไรว่า......
แอนนามารีก็พลอยมาหายสาบสูญไปด้วยอีกคนหนึ่ง !
เป็นไปได้อย่างไรกัน ! !
เหตุการณ์มันเกิดขึ้นซ้ำซ้อนกันภายในเวลาเพียงแค่สองเดือนกว่าๆเท่านั้นเอง !
คืนนั้นจ้อนกับโซ้ดนั่งปรึกษากันอย่างเคร่งเครียดในห้องทำงานของจ้อนจนเกือบฟ้าสาง เขางีบหลับไปบนโซฟาตอนค่อนรุ่งโดยมารู้สึกตัวตื่นเอาอีกครั้งก็เกือบแปดโมงเช้า ขณะที่เขาตื่นนั้นโซ้ดยังคงหลับอยู่บนเก้าอี้นวมตัวหนึ่งโดยเท้าพาดอยู่บนสตูลกลมอีกตัว
แต่ทันทีที่จ้อนขยับตัวลุกขึ้นจากโซฟา โซ้ดก็ลืมตาตื่นขึ้นพอดี เขารีบลุกขึ้นยืนเดินมาตบไหล่เพื่อนรักที่เป็นทั้งเจ้านายและเพื่อนสนิทสามารถปรับทุกข์และสุขกันได้ตลอดเวลาทุกเรื่อง อาจเป็นเพราะว่าทั้งคู่ยังเป็นโสดเหมือนกันก็ได้
"ขอไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนเดี๋ยวค่อยเจอกันที่ห้องกาแฟ" โซ้ดเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
***************
น่านนทีนั่งรอชายหนุ่มอยู่ก่อนนานแล้วในคอฟฟี่ช็อพตรงโต๊ะตัวเดิมที่เธอนั่งคุยอยู่กับจ้อนและแอนนามารีเมื่อวานนี้ เธอกำลังแหงนหน้ามองดูภาพจิตรกรรมสีน้ำมันรูปชาวประมงกำลังปะชุนแหอวนอยู่ข้างโขดหินที่แขวนบนผนังห้องด้วยความสนใจ เธอเคยเห็นภาพเขียนมาเยอะแล้ว แต่สำหรับภาพนี้แล้วยิ่งดูยิ่งเหมือนมีชีวิตชีวาสามารถจับต้องได้ด้วยสายตา อาจเป็นเพราะว่าเธอรู้จักตัวบุคคลในภาพเคยได้สัมผัสพูดคุยด้วยก็เป็นได้ จึงทำให้ภาพนี้ดึงดูดใจเธออยู่เสมอ
จ้อนเปิดประตูเดินเข้ามาในคอฟฟี่ช็อพ เขาเดินตรงไปนั่งที่โต๊ะเดียวกับน่านนที เธอมองดูดวงตาอันมีร่องรอยความอิดโรยของชายหนุ่ม แสดงให้เห็นว่าเขาวุ่นอยู่กับการตามหาแอนนามารีจนแทบไม่ได้นอนทั้งคืน
น่านนทีรู้สึกเห็นใจชายหนุ่มมาก
เพราะเธอรู้ดีว่าเขาต้องรับผิดชอบในการหายตัวไปของแอนนามารีอย่างเต็มที่ น่าสงสารแอนนามารีมากที่เธออุตส่าห์มาตามหาบิดาจากโพ้นทะเลไกล แต่กลับต้องเอาชีวิตตัวเองเข้ามาเสี่ยงกับภยันตรายทั้งหลายแหล่ที่ถาโถมเข้ามาตลอดเวลานับตั้งแต่เธอเริ่มต้นค้นหาบิดาของเธอ น่านนทีอยากจะออกไปช่วยตามหาแอนนามารีอีกแรง แต่ก็จนใจไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดีเพราะเธอเป็นคนใหม่ที่นี่ ไม่รู้จักสถานที่ ไม่รู้จักผู้คน ทั้งยานพาหนะที่จะออกติดตามก็ไม่มี รังแต่จะเป็นภาระผู้อื่นเปล่าๆ เธอจ้องหน้าชายหนุ่มนิ่งอยู่เป็นเวลานานกว่าที่จะพูดออกมาได้
"เมื่อคืนนี้ไม่ได้นอนเลยหรือคะพี่จ้อน"
"งีบไปนิดหนึ่งตอนค่อนรุ่ง" เสียงเขาตอบอย่างเพลียๆ "ตามหาเกือบทั้งคืนจนทั่วเกาะ"
"ได้ร่องรอยบ้างไหมคะ"
"ไม่ได้เลย ทางตำรวจเขาช่วยวิทยุสะกัดบริเวณโดยรอบหมู่เกาะตลอดเส้นทางทั้งสองจังหวัด"
"เมื่อคืนนี้ตอนไฟไหม้ น่านยังเห็นเธอวิ่งไปทางบังกะโลของเธอเลย"
"หลังจากนั้นน่านเห็นเธออีกหรือเปล่า" เขาถามอย่างสนใจ
"ไม่เห็นคะ" น่านนทีส่ายหน้า "ก็นึกว่าเธอกลับไปพักผ่อนเลยไม่ได้สนใจอีก จนกระทั่งจันทร์เขาให้คนไปตามถึงได้รู้กัน"
"ป่านนี้เป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้" เสียงของชายหนุ่มบ่นเหมือนรำพึงกับตัวเองพลางถอนหายใจ
"วันนี้พี่จ้อนจะไปตามเธอที่ไหนต่อ" หญิงสาวถาม
"เดี๋ยวคงต้องปรึกษากับโซ้ดอีกที แต่ที่แน่ๆต้องไปรับสายัณห์ที่เกาะเต่าช่วยกันออกติดตามอีกแรง" เขาบอกหล่อน
"ให้น่านไปด้วยได้ไหมคะ น่านอยากไปช่วยแอนน์เธอน่าสงสารมากอุตส่าห์มาตามหาพ่อกลับต้องมาลำบาก" เธอพูดพลางมีน้ำใสๆเอ่อที่เบ้าตา
"อย่าให้พี่ต้องเป็นห่วงน่านอีกคนเลย น่านอยู่ช่วยจันทร์ทางนี้เถอะ"
ไม่ทันที่จ้อนจะกล่าวสิ่งใดต่อโซ้ดก็เดินเข้าประตูมาอีกคน คราวนี้เขาแต่งตัวเตรียมพร้อมราวกับเป็นนักสำรวจหรือนักท่องไพร เขาสวมกางเกงขาสั้นสีกากีแบบนักเดินป่าสวมเสื้อยืดสีเทาเข้มคลุมทับด้วยเสื้อกั๊กสีขี้ม้า สวมหมวกผ้าหลุบหน้า ที่คอคล้องกล้องส่องทางไกล สะพายถุงย่ามผ้าใบบรรจุของเต็ม เข็มขัดที่เอวเขาคาดมีดพกประจำตัวคมกริบด้ามเดิมที่ใช้สังหารงูยักษ์เมื่อวันก่อน แต่ที่มองดูแล้วรู้แน่ว่าเขาเอาจริงคือที่เอวด้านหลังของเขามีปืน .44 แม็กนั่มเหน็บตุงเตรียมพร้อมเต็มอัตรา
"เตรียมลุยเต็มที่เลยนะวันนี้" จ้อนเอ่ยทัก
"ก็กะว่าจะตามล่ามันเลยล่ะ คิดว่าคงเป็นพวกเมื่อคืน ไม่พลาดแน่" โซ้ดพูดด้วยท่าทางขึงขังเอาจริงเอาจัง
"พวกไหนกันคะ เมื่อคืนไม่เห็นมีใครพูดถึงเลย" น่านนทีถามขึ้นอย่างสงสัย
"อ๋อ..มีพวกแอบมาซุ่มอยู่ข้างโขดหินที่ชายเขาเหนือหาดขึ้นไปเมื่อคืนตอนหัวค่ำก่อนไฟไหม้น่ะ" จ้อนรีบบอก "แต่ไม่ต้องห่วงเราพอรู้ตัวพวกมันบางคนแล้ว วันนี้จะพยายามสืบดูอีกที"
ขณะที่พูดจ้อนเหลือบสายตาขึ้นไปมองยังภาพสีน้ำมันรูปชาวประมงซึ่งกำลังนั่งอยู่ริมโขดหิน ภาพนั้นสะกิดใจชายหนุ่มแวบ
ลุงชู...! ! เขานึกถึงลุงชูขึ้นมาทันที
ตั้งแต่ไฟไหม้เมื่อคืนเขายังไม่ได้คุยกับลุงชูอีกเลย
ลุงชูไม่โผล่หน้ามาให้เห็นเลยจนกระทั่งบัดนี้
เขาลืมลุงชูนักเลงเก่าเสียสนิท ทั้งๆที่เมื่อคืนแกยังพูดว่าจะไม่ยอมทิ้งพวกพ้องยามหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้
"ข้าขึ้นแล้วต้องสานต่อ"
จ้อนจำได้ดีว่าแกพูดออกมาจากใจอย่างนั้นพูดอย่างนักเลงเก่า และที่สำคัญเมื่อคืนนี้เองหลังจากกลับจากสอดแนมพวกวายร้ายทั้งห้าคนนั้น แกยังกระซิบว่าแกแอบเทคะแนนให้น่านนทีเกินครึ่งสำหรับหัวใจรักของเขาระหว่างน่านนทีและแอนนามารี
"น่านเห็นลุงชูบ้างไหมเช้านี้" จ้อนถามหญิงสาว
"ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไม่เห็นแกอีกเลยค่ะ" เธอตอบเขา แต่ในใจยังนึกกระดากไม่หายที่ลุงชูบังเอิญมาเจอเธอกับจ้อนยืนพิงเรือกอดกันอยู่ เธอเหลือบสายตาขึ้นไปมองภาพเขียนบนผนังอีกครั้งหนึ่ง
"เอ็งล่ะโซ้ด เห็นลุงชูบ้างหรือเปล่าวะเช้านี้" เขาหันไปถามโซ้ดบ้าง
"ไม่เห็นเลยว่ะ"
"ถ้าอย่างนั้น ประเดี๋ยวกินกาแฟเสร็จเราไปบ้านลุงชูกัน"
ข้าวต้มปลาร้อนๆ ควันหอมฉุยถูกนำมาเสริฟเป็นอาหารเช้า ตามด้วยกาแฟดำสำหรับโซ้ด และเช่นเคยคาปูชิโน่สองถ้วยสำหรับสำหรับจ้อนและน่านนที
***************
ป้าเพ็ญกำลังซักผ้าอยู่เมื่อสองหนุ่มเดินไปถึงหน้ากระท่อม แกรีบวางมือจากกะละมังซักผ้า หยิบเอาผ้าขี้ริ้วมาปัดที่แคร่หน้ากระท่อมแล้วเชิญให้ทั้งสองนั่ง
"เมื่อคืนนี้ไฟไหม้น่ากลัวจัง ลุกโชนเชียว" แกเอ่ยขึ้นก่อน
"ลุงชูอยู่ไหมป้า" จ้อนเอ่ยถามบ้าง
"อ้าวก็เห็นเตรียมตัวไปกับคุณจ้อนเมื่อคืน วิ่งแจ้นกลับมาตอนไฟไหม้ ค้นหาอะไรกุ๊กกิ๊กแล้วก็วิ่งออกไปอีก นึกว่านอนที่รีสอร์ตกับคุณจ้อนเสียอีก" ป้าเพ็ญสาธยาย
"ไม่เห็นนี่...ผมนึกว่าแกกลับมานอนที่กระท่อมแล้ว" จ้อนชักเริ่มสงสัยและเป็นห่วงชายต่างวัย
"เอายังงี้ก็แล้วกันป้า..เดี๋ยวถ้าแกกลับมาให้ไปพบผมหน่อย" เขาบอก
"ค้า...ป้าจะบอกให้ถ้าหายเมาแล้วคุยกันรู้เรื่อง" ป้าเพ็ญรับคำอย่างรู้ซึ้งถึงกำพืดนักเลงเก่าดี
"ป่านนี้ไปเมาหลับอยู่ซอกมุมไหนก็ไม่รู้"
"เมื่อคืนนี้ลุงชูแกแวะมาเอาอะไรเหรอป้า" โซ้ดถามขึ้นบ้าง
"ไม่รู้ซีป้าไม่ทันได้ดู มัวแต่สนใจเรื่องไฟไหม้ เห็นค้นอะไรดังกุ๊กกิ๊กแล้วก็วิ่งออกไปอีก ป้าก็นึกว่าไปช่วยดับเพลิง อ้อ..นึกออกได้อย่างหนึ่งกลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งไปทั้งตัวเลย" ป้าเพ็ญจาระไน
"ไม่เป็นไรป้าเดี๋ยวผมสองคนกลับกันก่อน" จ้อนบอกลา
"อ้อ..คุณจ้อนคะ บอกคุณจันทร์ด้วยว่าวันเดินทางกลับกรุงเทพฯบอกป้าด้วยนะคะ ป้าทำปลากุเลาเค็มไว้แยะเชียว จะฝากไปให้คุณรัญจวน"
"โอ้โฮ..ของโปรดคุณแม่เลยฝีมือป้าเพ็ญ ไม่ลืมแน่ๆเลยป้า ขอบคุณล่วงหน้าแทนคุณแม่ด้วย"
***************
จันทร์จิราและเพื่อนสาวทั้งสามของเธอนั่งรอจ้อนและโซ้ดอยู่ก่อนแล้วที่ห้องอาหาร เธอให้แดงไปตามจ้อนที่เรือเร็วขณะที่ทั้งสองกำลังจะลงเรือเล็กเพื่อกรรเชียงออกไปยังเรือเร็ว แดงวิ่งหอบแฮ่กมาทันสองหนุ่มพอดี
"คุณจันทร์ให้มาตามครับ" หนุ่มน้อยแดงรายงาน
"มีเรื่องอะไรรึ" จ้อนถาม
"ไม่ทราบครับ แต่เห็นบอกว่ามีเรื่องด่วน" แดงบอก
"โอเค เดี๋ยวพี่จะตามไป"
เมื่อจ้อนและโซ้ดไปถึงจันทร์จิรารีบรายงานพี่ชายด้วยความตื่นเต้น พร้อมทั้งยื่นผ้าแพรต่วน ซึ่งเป็นพันคอพื้นสีฟ้าอ่อนลายดอกกุหลาบสีแดงสดให้ทั้งสองดู
"นี่คือผ้าพันคอที่แอนน์เขาใช้พันคออยู่เมื่อคืน มีคนงานของเราไปพบที่ข้างบังกะโลของแอนน์เมื่อเช้านี้เอง"
"ใครเป็นคนพบ" จ้อนถาม
"ป้าหอมแม่ครัว แกเดินจะมาทำงานพบเข้าจำได้ เพราะเมื่อคืนแอนน์เขามาช่วยแม่ครัวที่ในครัวแต่หัวค่ำเดินเข้าออกจนงานเริ่ม" จันทร์จิราอธิบาย
"ไหนเรียกป้าหอมมาหน่อยซิ" เขาหันไปบอกแดง
"ป้าอยู่นี่คุณจ้อน" เสียงป้าหอมดังมาจากประตูห้องครัว
"ป้าเห็นผ้าพันคอผืนนี้ที่ไหน" จ้อนถาม
"ที่ใต้ต้นกุระตรงข้างร่องน้ำหน้าบังกะโลหนูแอนน์พอดี" แกหมายถึงต้นกุระหรือสมอทะเลต้นไม้ขนาดเขื่องที่เมื่อหักมียางขาวเต็มไปหมด ผลกลมเมื่อแก่จัดแยกออกเป็นสามซีก ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ชอบขึ้นตามที่ลุ่มน้ำขังหรือริมคลองน้ำกร่อย
"ต้นกุระ" จ้อนทวนคำ
"ก็ต้นสมอทะเลไงละ ต้นกุระเป็นชื่อภาษาท้องถิ่นทางใต้ของเราเอ็งจำไม่ได้รึ" โซ้ดอธิบาย
"ไหนป้าพาไปดูสถานที่หน่อยซิ" จ้อนบอกป้าหอม
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุที่ใต้ต้นไม้ขนาดกลางใบดกกำลังออกผลกลมๆเต็มไปหมด ต้นสมอทะเลหรือต้นกุระนั่นเอง ที่ใต้ต้นกุระมีแท่นหินขนาดใหญ่ตั้งวางอยู่ริมคูน้ำ มีคนมือบอนสลักรูปสมอเรือไว้ตรงกลาง นักท่องเที่ยวชอบมานั่งเล่นกันที่นี่เพราะสงบร่มเย็นดี จ้อนและโซ้ดพยายามสังเกตดูร่องรอยของการต่อสู้ ปรากฏรอยเท้าคนย่ำหลายรอย มีรอยเท้าหนักๆเดินเป็นทางออกไปทางด้านหลังซึ่งตรงนี้สามารถเดินทะลุไปได้หลายทาง มีทางลัดเล็กๆทางหนึ่งมุ่งตรงไปวัดเกาะขนานซึ่งเป็นวัดเดียวประจำเกาะ
จ้อนสนิทกับท่านอธิการอ้นหรือหลวงพ่ออ้นเจ้าอาวาสวัดเกาะขนานดี เขาบอกให้จันทร์จิราพาเพื่อนๆไปรอที่รีสอร์ตดีกว่า ส่วนเขาและโซ้ดพากันเดินดุ่มๆไปที่วัดเกาะขนาน
เมื่อเข้าไปนมัสการอาจารย์อ้นนั้น กำลังปลอดคนพอดีเพราะปกติท่านจะมีแขกมาร่วมสนทนาธรรมอยู่เป็นประจำ
"ไปไหนมาละโยมจ้อน" หลวงพ่ออ้นรีบเอ่ยทักเขาก่อนอย่างใจดีและมีอัธยาศัย
"ผมมาเยี่ยมหลวงพ่อนะครับ และเอ้อมีบางอย่างจะเรียนถามหลวงพ่อด้วยว่า...."
"ขอบใจโยมที่มาเยี่ยม แต่เอ..ดูท่าทางโยมราวกับมีธุระร้อนอย่างนั้นแหละ มีอะไรไม่สบายใจหรือโยม" นี่คือพระที่สนใจความรู้สึกของชาวบ้าน
"ครับหลวงพ่อ" จ้อนรับคำ
"มีอะไรหรือโยม บอกอาตมาเถอะ อาตมาอาจชี้ทางสว่างได้บ้าง" หลวงพ่ออ้นเป็นพระที่พยายามเข้าใจถึงปัญหาของชาวบ้านจริงๆ
"นมัสการหลวงพ่อคืออย่างนี้ เมื่อคืนนี้มีคนแอบลักพาตัวแขกที่มาพักที่รีสอร์ตไปคนหนึ่ง ผมตามรอยมันมาปรากฏว่ามันมาทางหลังวัด ไม่ทราบว่าเมื่อคืนหลวงพ่อเห็นสิ่งผิดปกติบ้างหรือเปล่าครับ" จ้อนถาม
"เอ..ตอนหัวค่ำเห็นมีเรือมาจอดข้างวัดอยู่สามสี่ลำ พอดึกหน่อยก็ออกเรือกลับกันไปหมด เมื่อคืนนี้ได้ข่าวว่าไฟไหม้บังกะโลที่รีสอร์ตคุณโยมไม่ใช่หรือ"
"ครับ ก็พวกนี้แหละเป็นต้นเหตุที่ลักพาตัวคนที่ผมว่าไป" เขาบอก
"อืม..ม เดี๋ยวนี้มันเล่นกันแรงถึงเพียงนี้เจียวหรือโยม คนสมัยนี้มันเลวมากกว่าดี อาตมาว่าก็พวกยาเสพติดและอบายมุขทั้งหลายทั้งปวงนี่แหละคือต้นเหตุ เกาะขนานเราสงบสุขมาช้านานแล้ว สมัยหนุ่มๆก่อนบวชตัวอาตมาเองและเฒ่าชูกับพ่อคุณโยมกำนันใจเด็ด พวกเราสามคนจัดการกับพวกนี้ไม่มีเหลือ พวกเลวๆอย่างนี้ไม่มีให้เห็นในเกาะหรอก" หลวงพ่อสาธยายอดีตเสียยืดยาว
"พวกมันมาจากที่อื่นกันนะครับหลวงพ่อ" โซ้ดเอ่ยขึ้นบ้าง
"นั่นแหละพวกมันจะมาจากที่ไหนก็ช่าง แต่พวกเราต้องเด็ดขาดกับมันพวกคนเลวๆนี่ อย่าให้มีคนเลวในสังคม เมื่อสังคมของเราปราศจากคนเลวแล้วไซร้ ทุกคนก็อยู่กันอย่างสงบสุข พระพุทธองค์ท่านจึงได้ปราบมารอย่างไรเล่า มารที่ท่านปราบก็คือมารในจิตใจซึ่งเป็นรากเหง้าของมารสังคมนั่นเอง เมื่อสังคมมีแต่คนดีๆ ไม่มีคนชั่วปะปน สังคมนั้นก็เจริญรุ่งเรืองสงบสุข"
เทศน์กัณฑ์นี้ท่านกล่าวเหมือนอย่างกับว่าตัวท่านกำลังระบายความรู้สึกของตนเองที่มีต่อสังคมปัจจุบันให้ฟัง
"ผมก็กำลังจะไปปราบมารที่ว่านี่อยู่แล้วครับหลวงพ่อ" โซ้ดพูดพร้อมก้มลงกราบท่าน
"ดีแล้วโยมโซ้ด อาตมาขออำนวยพรให้โยมทั้งสองจงโชคดีประสพผลสำเร็จด้วยเถิด" หลวงพ่ออ้นอวยพร
**********
จ้อนและโซ้ดบึ่งเรือเร็วไปรับสายัณห์ที่เกาะเต่า คราวนี้เขาไม่ได้วิทยุบอกสายัณห์หากแต่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่หรือมือถือสื่อสารกันเป็นความลับเพราะทั้งคู่ต่างตั้งเสารับคลื่นสัญญาณเป็นพิเศษ
สายัณห์ให้น้องชายของเขาเอาเรือเล็กมาส่งที่นอกฝั่ง เมื่อขึ้นบนเรือเร็ว "รัญจวนใจ" แล้ว สามสหายก็ปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียด การวางแผนตามหาสาวผมบลอนด์ได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นขั้นตอนและรอบคอบอย่างยิ่ง เพราะทั้งสามรู้แล้วว่าพวกเขากำลังเผชิญกับขบวนการร้ายหรือขบวนการผิดกฏหมายอะไรสักอย่างหนึ่ง เพราะตามที่ลุงชูได้บอกเล่าตั้งแต่เมื่อคืนทำให้พวกเขาพอทราบถึงที่มาของบุรุษลึกลับทั้งห้าคนว่าพวกมันทั้งหมดเป็นคนของโกหลกเจ้าพ่อบางมะขามแห่งเกาะสมุย จุดหมายแรกที่พวกเขาทั้งสามจะต้องเริ่มต้นค้นหาก็คือ ต้องตามหาไอ้ชายหรือสมชายให้เจอ
จากประวัติที่สายัณห์รู้มาก็คือเดิมไอ้ชายเป็นชาวเกาะสมุยพื้นเพเดียวกันกับโกหลกหรือนายดิลก ยงสุรพันธ์พงษ์เจ้าของกิจการโรงแรมและรีสอร์ตหลายแห่งทั้งที่เกาะสมุย เกาะพงันและเกาะเต่า นอกจากนี้เขายังเป็นเจ้าของสัมปทานจัดเก็บรังนกนางแอ่นที่เกาะนกเล็กแต่เพียงผู้เดียวอีกด้วย
ญาติของสายัณห์คนหนึ่งเคยอาศัยอยู่บนเกาะนกเล็กมาก่อน เก็บรังนกนางแอ่นขายพร้อมชาวบ้านอยู่เป็นประจำก่อนที่จะมีคนขอสัมปทาน ชาวบ้านหลายคนถูกยิงตาย บ้างก็หายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอย ที่เหลือก็ถูกข่มขู่จนไม่มีผู้ใดกล้าอาศัยอยู่บนเกาะนกเล็กอีกต่อไป รวมทั้งญาติของสายัณห์คนนั้นด้วย
โกหลกจึงได้สัมปทานรังนกแต่เพียงผู้เดียว !
"ข้าว่าเราเอาเรือไปจอดที่อ่าวโฉลกบ้านเก่าก่อนดีกว่า ข้าจะขึ้นฝั่งไปสืบดูว่าพวกไอ้ชายมันยังอยู่หรือเปล่า" สายัณห์บอกพรรคพวก
"ข้าไปด้วย" จ้อนบอก
"ไม่ต้อง ข้าไปคนเดียวจะได้ไม่เป็นที่สังเกต ข้ากลัวว่าพวกมันจะรู้แกวว่าเรารู้เบาะแสของพวกมันแล้ว" สายัณห์ให้ความเห็น
"ข้าให้เวลาเอ็งครึ่งชั่วโมง" โซ้ดบอก "เอ็งขอยืมรถมอเตอร์ไซค์ใครขี่ไปบ้านไอ้ชาย ข้าว่าไม่เกินห้านาทีก็รู้เรื่องแล้ว"
"ถ้าอย่างงั้นเอ็งจอดเรือที่หน้าโขดหินหัวแหลมนี่ เดี๋ยวข้าเอาเรือเล็กลงกรรเชียงไปเอง" สายัณห์ว่า
โซ้ดขับเรือเข้าไปจอดที่หัวแหลมปากทางเข้าอ่าวโฉลกบ้านเก่า สายัณห์ลงเรือกรรเชียงลำเล็กที่โซ้ดนำมาด้วย เขากรรเชียงเรือไปจอดที่หาดหน้าพรรีสอร์ต แล้วขอยืมรถมอเตอร์ไซค์ขี่หายไปพักใหญ่จึงกลับมาที่เรือเล็กแล้วกรรเชียงเรือกลับมาที่เรือเร็วรัญจวนใจอีกครั้งหนึ่ง
"ไม่อยู่ว่ะ มันหายไปตั้งแต่เมื่อคืนยังไม่กลับ" เขาบอกเพื่อนทั้งสองหลังจากขึ้นมาบนเรือเรียบร้อยแล้ว
"ข้าสงสัยเรือใหญ่ที่จอดอยู่นอกเกาะกาหลง ในคืนที่เรากลับจากถ้ำลึกลับนั่น ตอนที่ข้าตีวงโค้งก่อนกลับคืนนั้นข้าเห็นเรือมันทอดสมออยู่ มันคงแอบดูเราอยู่นานแล้วข้าว่า มันอาจให้คนสะกดรอยตามเราไปก็ได้" โซ้ดให้ข้อสังเกต
"โอเค เราไปที่เกาะกาหลงกันอีกรอบ" จ้อนออกคำสั่ง
"ลุย" โซ้ดตะโกน
อีกครั้งที่เรือเร็วพุ่งปร๊าดตัดคลื่นน้ำทะลแตกกระจายมุ่งตรงไปยังเกาะกาหลง เกาะแห่งหน้าผาสูงโต้คลื่นที่สาดซัดอยู่โครมครืนและตำนานอันลี้ลับ !
เกาะกินคน !
ดินแดนแห่งศาลเจ้ากุหลาบไฟ !
***************