![]() |
![]() |
กาบแก้ว![]() |
.......เสียงทุ้มนุ่มนวลของชายหนุ่มก็กลับมาร้องท่อนแยกและท่อนสุดท้ายใหม่ เสียงร้องท่อนนี้ผู้ร้องใส่อารมณ์บดขยี้ภวังค์เคลิ้มฝันสุดคำบรรยาย.......
ตอน : สัญญารัก
จันทร์จิราขับรถจี๊ปพาเพื่อนสาวทั้งสามของเธอบึ่งเข้าตลาดเกาะขนานแต่เช้าตรู่ เช้าวันนี้ที่ตลาดเกาะขนานเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน เนื่องจากวันนี้ยังเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์รวมกับวันชดเชยอีกสองวัน นับเป็นวันหยุดลองวีคเอ็นด์ บางคนลาต่ออีกสามวัน ควบกับวันหยุดสุดสัปดาห์ปกติอีกสองวันรวมแล้วได้พักผ่อนเต็มที่ถึงเก้าวันเต็มๆ ทั้งสามสาวเพื่อนของจันทร์จิราก็เช่นเดียวกันที่ฉวยโอกาสลาพักร้อนหยุดช่วงกลางอีกสามวัน นักท่องเที่ยวหลายคนที่มาเที่ยวหลังจากออกเดินทางชมธรรมชาติแล้ว เหน็ดเหนื่อยจากการป่ายปีนเกาะแก่ง ล่องเรือ ดำน้ำและตกปลา จึงนอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ จะมีก็แต่คนพื้นที่เสียเป็นส่วนใหญ่ ที่ต้องรีบตระเตรียมสิ่งของและร้านรวงให้พรักพร้อมสำหรับบริการลูกค้าในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าทั้งสี่สาวตรงไปยังท่าเรือท่าขนาน เพื่อรอรับอาหารสด อาหารแห้งเครื่องดื่มและของใช้ในครัวสำหรับห้องอาหาร เพื่อบริการลูกค้าโดยส่งมาจากชุมพรตามที่ได้สั่งไว้เป็นประจำทุกวัน หากทว่าวันนี้เธอมาแทนนายแดงและแม่ครัว โดยถือโอกาสพาเพื่อนทั้งสามของเธอมาเที่ยวชมตลาดด้วย
เมื่อขนของทั้งหมดขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว เธอจึงนำรถไปจอดที่หน้าร้านเบเกอรี่ใกล้ๆท่าเรือนั่นเอง สี่สาวสั่งกาแฟกับครัวซองและน้ำส้มคั้นมาเพื่อรองท้องและนั่งคุยกันตรงระเบียงที่ยื่นออกไปในทะเลริมหาด พลางชมทิวทัศน์จากหน้าอ่าวท่าเรือไปจนสุดหาดอันยาวเหยียด มีบังกะโลน้อยใหญ่เรียงรายปะปนไปกับหมู่ไม้นาๆพันธ์ และโขดหินเป็นหย่อมๆ แลดูสวยงามมากในยามเช้า โดยเฉพาะอากาศสดชื่นเย็นสบาย สายลมพัดมาเอื่อยๆกำลังดี คลื่นไม่แรงมาก น้ำทะเลสีน้ำเงินพลิ้วเป็นระลอกบางเบา
เสียงเพลง "เสน่ห์นางยวน" จากเครื่องเสียงไฮไฟของร้านเบเกอรี่ ดังก้องโบยบินอย่างนุ่มนวลเป็นเพลงฮิทร่วมสมัยพอดี เสียงร้องกังวานทุ้มมีเสน่ห์ของชายหนุ่มเจ้าของเสียงเพลงเว้าวอน ทำเอาผู้ฟังเคลิบเคลิ้มคล้อยตาม ร่วมอารมณ์ไปกับเสียงร้องและท่วงทำนองอันหวานไพเราะซาบซึ้งกินใจ ช่างเข้ากันกับบรรยากาศในยามรุ่งอรุณเสียเหลือเกิน สี่สาวนิ่งเงียบฟังอย่างตั้งใจ
".....ถึงท่าเรือเร็ว..ปากน้ำชุมพร
คิดถึงบังอร..ที่อยู่ปลายทาง
คอยพี่หรือเปล่า..อยากรู้ใจนาง
ใจพี่อับปาง..ครวญครางคิดถึงแต่นวล
เห็นท่าเรือเร็ว..ปากน้ำคราใด
คิดถึงขวัญใจ..ที่เกาะนางยวน
พาพี่ครุ่นคิด..จิตใจรัญจวน
ใจเจ้าเรรวน..แปรปรวนเหมือนดั่งทะเล
.......ทะเลงาม..ยามถูกมรสุม
ถูกรักเร้ารุม..เนื้อนุ่มเปลี่ยนใจหักเห
หมุนวนปั่นป่วน..ผันผวนรวนเร
ร้ายยิ่งกว่าทะเล..ลืมรักพี่ได้ลงคอ
ถึงเกาะนางยวน..หากน้องยังคอย
คิดถึงเนื้อกลอย..ที่เคยพะนอ
ลืมที่รักเก่า..อิ่มไอรักยังไม่พอ
ใจพี่ยังรอ..เคลียคลอเสน่ห์นางยวน..."
***************
เสียงดนตรีคั่นด้วยแซ็กโซโฟนและไวโอลินสลับกัน ดังกังวานรับกับเสียงคลื่น เมื่อจบเสียงเอื้อนของดนตรีแล้ว เสียงทุ้มนุ่มนวลของชายหนุ่มก็กลับมาร้องท่อนแยกและท่อนสุดท้ายใหม่ เสียงร้องท่อนนี้ผู้ร้องใส่อารมณ์บดขยี้ภวังค์เคลิ้มฝันสุดคำบรรยาย
"ซาบซึ้งจริงๆนะเพลงนี้ ตัวว่าไหมจันทร์" น่านนทีเอ่ยขึ้นทันทีที่เพลงจบลง
"ฮื่อ...เสียงนักร้องขยี้อารมณ์เหลือเกิน" จันทร์จิราคล้อยตาม
"ที่จริงเพลงนี้เพื่อนสนิทของคุณพ่อ ชื่อลุงปิงเป็นคนแต่งให้เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักของคุณพ่อและคุณแม่ของฉันนะเธอ" จันทร์จิราอธิบาย
"เรื่องมันเป็นอย่างไรละจันทร์ ?" น่านนทีซักเกือบจะทันควัน
"คือเดิมทีแม่ฉันอาศัยอยู่ที่เกาะนางยวน ชื่อลำดวนก่อนที่จะมาเปลี่ยนเป็นรัญจวนอย่างเดี๋ยวนี้ ส่วนพ่ออยู่เกาะเต่าทำประมงเดิมชื่อเผด็จ และมาเปลี่ยนเป็นกำนันใจเด็ดเมื่อย้ายมาอยู่เกาะขนานในภายหลัง ท่านทั้งสองพบรักกันที่เกาะนางยวนแห่งนี้เมื่อยี่สิบกว่าปีมาแล้ว"
จันทร์จิราอธิบายต่ออย่างยืดยาวถึงอดีตเรื่องราวของความรักของผู้บังเกิดเกล้า
"แล้วมันเกิดเป็นเพลงที่ไพเราะเพราะพริ้งนี้ได้อย่างไรกันละจันทร์" เรวดีซักขึ้นบ้าง
"คือลุงปิงกับพ่อเป็นเพื่อนรักกัน แกเอาเรื่องของพ่อกับแม่ไปเขียนเป็นกวีนิพนธ์เรื่อง "เสน่ห์นางยวน" ดังระเบิดอยู่ขณะนี้ในเว็บศาลานกน้อย เธอไม่เคยเปิดอ่านบ้างหรือจ๊ะยายเร ?" จันทร์จิราตอบเหมือนจะพ้อนิดๆ
"เคยเปิดอ่านเหมือนกันแว็บๆ เพราะฉันสนใจเปิดดูแต่พวกสารคดีท่องเที่ยวรูปภาพสวยๆของคุณ "รจนา ณ เจนีวา" "Pilgrim" หรือ "พญาไฟ" และเปิดครัวรจนาเป็นต้น อ้อแล้วก็เรื่อง "ปลายทางมายา" ของพ่อ "ยังวัน" ก็กำลังสนุกเชียว เรื่องโคลงกลอนก็เพียงผ่านตาเท่านั้น เห็นท่าว่ากลับไปที่บังกะโลต้องรีบเปิดอ่านคำกลอนเรื่องราวของ "เสน่ห์นางยวน" เสียหน่อยแล้ว"
เรวดีพูดพร้อมกับส่ายหน้าน้อยๆ
พอดีเป็นจังหวะเดียวกันกับที่พี่ศรีนวลเจ้าของเบเกอรี่ผู้ซึ่งรู้จักกับครอบครัวของจันทร์จิราดีได้เปิดเพลง "เสน่ห์นางยวน" ซ้ำให้ฟังอีกครั้งหนึ่งอย่างรู้ใจ
ได้ยินเสียงเพลงอีกครั้งเรวดีก็ทำตาลอยฟังเพลง "เสน่ห์นางยวน" ด้วยความซาบซึ้งต่ออย่างตั้งอกตั้งใจ
"ลุงปิงเลยแต่งเพลงนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักให้เพื่อนแกอีกคนเป็นคนเรียบเรียงเสียงประสาน เอามาร้องเปิดตัวที่เกาะนี้ โดยนักร้องคนนี้ เสียงของเขานุ่มมากเลยนะเธอ" จันทร์จิรากล่าวต่อ ประโยคหลังเธอหันหน้ามาทางสุภาวิไล
"ยิ่งนั่งฟังที่เกาะอย่างนี้ด้วย ฉันละอยากจะร้องไห้ซบหน้ากับอกใครสักคน" สุภาวิไลว่าพร้อมกับเอียงหน้ามาพิงไหล่ของน่านนที
"เธอละยายเร...นั่งตาลอยเชียว คิดถึงแฟนเหรอ" จันทร์จิราพูดพร้อมกับเอามือโบกที่ใบหน้าเรวดีอยู่ไปมา
"ฉันอยากเป็นสาวคนที่นั่งรออยู่ที่เกาะนางยวนจังเลย" เรวดีพูดพลางเอามือทั้งสองทาบอกทำตาลอย "ฉันอยากมีเสน่ห์เหมือนสาวเกาะนางยวน"
"เธอคงต้องอยู่ที่นี่ต่อสักพัก" จันทร์จิราบอก
"ให้ฉันอยู่ทำไมยะ?" เรวดีซัก
"อ้าว...ก็เธอจะได้มีโอกาสโปรยเสน่ห์ไง" จันทร์จิราว่า
"เสน่ห์ของฉันไม่ต้องโปรยหรอกเธอ มันกระจายไปเองโดยอัตโนมัติ"
"อ้อ..ขอโทษ ขอถอนคำพูด เธอจะได้รอให้เสน่ห์กระจายไปให้ทั่วทั้งเกาะก่อนยังไงล่ะจ๊ะ" จันทร์จิรารีบแก้
"แหม..ทำอย่างกับว่าเสน่ห์ของฉันเป็นน้ำหอมอย่างนั้นแหละยายจันทร์เอ๊ย"
"อ้าว..ก็เธอบอกเองอยู่แหม็บๆ" จันทร์จิราว่า
"ก็ได้ กระจายก็กระจาย" เรวดีค้อน
"ทีนี้ล่ะนะ หนุ่มเกาะขนานคงหลงไหลเธอไปทั้งเกาะแน่ๆยายเร..กลัวแต่ว่าเธอจะรีบแจ้นกลับกรุงเทพฯไปก่อนละไม่ว่า" จันทร์จิราแซวเพื่อนสาว
"แต่ถ้าเป็นฉันนะจันทร์" น่านนทีพูดด้วยสีหน้าขึงขัง
"ถ้าเป็นเธอแล้วยังไงเหรอ"
"ก็ถ้ามีคนที่รักฉันจริงจังอย่างในเพลงที่เขาร้องละก็...ฉันจะไม่มีวันหนีเขาไปไหนหรอก" น่านนทีพูดพลางออกท่าทางจริงจังจนสามสาวหัวเราะขึ้นพร้อมกัน
"ฉันว่าเธอน่าจะอยู่เป็นชาวเกาะนะน่าน" จันทร์จิราให้ความเห็น
"ฉันนะเหรอ อยู่เป็นชาวเกาะ" น่านนทีทวนคำเพื่อนสาว
"ถ้าเธอตกลงใจที่จะอยู่จริงๆละก็ เกาะขนานยินดีต้อนรับด้วยความเต็มใจเลยนะจะบอกให้" จันทร์จิราเย้าเพื่อนรักทีเล่นทีจริง เพราะรู้ว่าอย่างน้อยน่านนทีก็มีความสนใจในตัวนายจ้อนพี่ชายของเธออยู่ไม่น้อยเหมือนกัน ถ้าเป็นจริงเธอยินดีสนับสนุนเต็มที่
"ตกลงเถอะน่าน....เจ้าของเกาะเขายินยอมแล้วนี่" สุภาวิไลเสริมส่ง
"ก็ดีเหมือนกันน่าน" เรวดีว่า "พี่จ้อนจะได้หายเหงาเสียที"
"ไปกันใหญ่แล้วเธอสามคนนี่" น่านนทีหน้าแดงทำหน้ากระเง้ากระงอดกับเพื่อนสาว
"ก็หรือไม่จริงเล่า" เรวดีแหย่
"จริงยังไง" น่านนทีเริ่มรู้สึกอึดอัด
"มองพี่จ้อนปร๊าดเดียวก็รู้ว่าเขาสนใจเธอ" เรวดีย้ำ
"เจ้าตัวเขายังไม่เห็นพูดอะไรเลย พวกเธอยุยงส่งเสริมกันดีจริงนะ" น่านนทีพูดพร้อมทำหน้าน้อยใจ
"อะไรกัน แค่ฉันดูหน้าพี่จ้อน เวลาเขาพูดกับเธอ ฉันก็พอรู้ว่าเขามีอะไรอยู่ในใจ" สุภาวิไลว่า
"แหมพวกเธอมากันแค่วันเดียว อ่านใจคนออกทะลุปรุโปร่งขนาดนี้เชียวเหรอ" น่านนทีค่อนแคะ
"ก็มันเรื่องจริงนี่นา" สุภาวิไลยืนยัน
"เซี้ยวจริงพวกเธอเนี่ย" น่านนทีรู้สึกว่าใบหน้าของเธอเริ่มร้อนผ่าว
"จะบอกอะไรให้ น่านนทีเพื่อนรัก การที่เราจะหาคนที่สนใจและรักเราจริงจังสักคนนั้น หายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรอีกนะจ๊ะ" สุภาวิไลพูดปลอบโยน
"ฉันขอแจมด้วยอีกคน" เรวดีเอ่ยบ้าง "คนดีๆอย่างพี่จ้อนนี้ สมควรสนับสนุนให้พบกับยอดยาหยีที่แสนดีอย่างเธอ"
"เอาละ..ฉันไม่พูดแล้วเข้าตัวตลอด พวกเธอเอาเปรียบฉันนี่ กระเซ้าฉันอยู่คนเดียว" น่านนทีสรุปงอนๆ
"อ้าว...ก็ด้วยความหวังดีดอกนะน่านเพื่อนรัก" สุภาวดีพูดอ่อยๆ
"โถ..ๆ..ๆ ใจน้อยเป็นพี่จ้อนอีกคนแล้ว ล้อเล่นหน่อยเดียว" จันทร์จิราพูดพลางยกมือขึ้นโอบไหล่เพื่อนรัก
"แต่ถ้าเป็นจริงได้ก็ดี ฉันหมายความตามที่พูดจริงๆนะน่าน"
น่านนทีหน้าแดงด้วยความขวยอาย แม้จะเป็นเพื่อนสนิทกันก็ตาม แต่นี่ผู้ที่ถูกกล่าวถึงคือพี่ชายของจันทร์จิราเอง เธอรู้แก่ใจตัวเองดีว่าใจจริงแล้วเธอเองก็มีความสนใจในตัวชายหนุ่มพี่ชายของเพื่อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วไม่น้อยเลย เธอจะกล้าบอกเพื่อนออกไปได้อย่างไรว่าเธอเองก็มีใจให้กับพี่ชายของเพื่อนเหมือนกัน น่านนทีจึงนั่งนิ่งไม่กล้าที่จะกล่าวอะไรออกมาอีก เธอเสแสร้งชวนเพื่อนกลับเพราะกาแฟหมดถ้วยพอดี
"กลับกันเถอะพวกเรา เดี๋ยวแม่ครัวคอยแย่" น่านนทีเอ่ยชวน
"เออ..จริงซีนะ มัวแต่ฝอยเพลิน" จันทร์จิราคล้อยตาม
หลังจากเช็คบิลแล้ว ทั้งสี่สาวก็ขึ้นรถออกเดินทางจากท่าเรือกลับสู่"เส้นขนานรีสอร์ต" ทันที
ตลอดเวลาที่นั่งมาในรถด้วยกัน น่านนทีนั่งนิ่งจิตใจเลื่อนลอยนึกถึงคำพูดของเพื่อนๆที่กระเซ้าเย้าแหย่เธอที่ร้านกาแฟเมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมานี้ ทำให้เธออดคิดถึงใบหน้าคมคาย ผิวคล้ำ ผมปรกหน้าปลิวล้อลม ยามพูดยิ้มแย้มเปิดเผยของผู้ถูกกล่าวถึงไม่ได้เลย เธออยากรู้เหลือเกินว่าในใจของชายหนุ่มนั้นเขาคิดอย่างไรกับเธอบ้าง เวลาสามวันที่ผ่านมาเธอคิดอย่างเข้าข้างตัวเองเสมอว่าเขาสนใจในตัวเธอ แม้ว่าจันทร์จิราเพื่อนรักของเธอจะเคยเล่าถึงความเป็นมาในอดีตของเขาเรื่องความรักความผิดหวังให้เธอฟัง เธอกลับยิ่งรู้สึกเห็นอกเห็นใจในความรู้สึกของเขา ถึงแม้ว่าเขานั้นจะไม่เคยแสดงออกให้เธอเห็นเลยก็ตามที
น่านนทีรู้ตัวเธอเองดีว่าทุกครั้งที่เธออยู่ใกล้เขา เธอจะมีความรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด อยากเดินเคียงคู่กับเขาเลาะไปตามชายหาด ท่ามกลางแสงแดดสายลมและเสียงคลื่น อยากพูดคุยกับเขา ฟังเสียงนุ่มๆของเขาปลอบโยนให้กำลังใจ
จิตใจของเธอล่องลอยไปไกลเหมือนตกอยู่ในภวังค์
นี่เธอกำลังตกอยู่ในห้วงของความรักหรืออย่างไรกัน?
เธอคิดเรื่อยเปื่อยไปอย่างเคลิ้มฝัน ราวกับว่าเธอกำลังนั่งคิดคำนึงอยู่คนเดียว จนกระทั่งรถหยุดกึกลง เธอจึงสะดุ้งรู้สึกตัวตื่นจากภวังค์แห่งความรักในความนึกคิดนั้น
ถึงปลายทางที่เส้นขนานรีสอร์ตแล้วนั่นเอง
เธอมองเห็นเขาเป็นคนแรก เหมือนตื่นจากความฝันก็พลันเจอบุคคลในฝัน อย่างนี้นี่เองชายในฝัน แต่นี่เป็นฝันกลางวันแท้ๆ จะเป็นไปได้ไหมหนอแท้ที่จริงแล้ว...
เขาก็คือชายในดวงใจของเธอ ?!
น่านนทีไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครยืนอยู่กับจ้อนบ้าง ในกลุ่มคนหลายคนนั้น เธอเห็นร่างของจ้อนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นจุดสนใจ เสมือนหนึ่งภาพต่างๆที่ปรากฏอยู่ต่อหน้า เป็นเพียงภาพฉากประกอบเบลอๆเท่านั้น เธอเห็นเขารีบเดินตรงมาที่รถจี๊ปตอนหน้าทางด้านที่เธอนั่ง ซึ่งเธอนั่งคู่มากับจันทร์จิราผู้เป็นคนขับ
ชายหนุ่มเอื้อมมือมาเปิดประตูให้เธอด้วยความเคยชิน เธอก้าวลงจากรถพร้อมกล่าวคำขอบคุณเบาๆ
"ขอบคุณค่ะ พี่จ้อน"
"อิจฉาจังเลย" เสียงเรวดีเอ่ยขึ้นดังๆ มาจากเบาะนั่งตอนหลัง
"ไม่เห็นมีใครเปิดประตูให้เราบ้างเลย" พูดจบเธอก็เปิดประตูก้าวลงจากรถพร้อมสุภาวิไล
จ้อนตีหน้าเหรอหราเมื่อได้ยินสามสาวหัวเราะกันคิกคัก โดยเขาไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จนกระทั่งเขาหันไปเห็นน่านนทียืนหน้าแดงด้วยความขวยอายที่ถูกเพื่อนสาวกระเซ้าเย้าแหย่ จึงพอสรุปเค้าได้ลางๆว่า ทั้งหมดคือตัวเขาเองเป็นต้นเหตุ ชายหนุ่มเหลือบสายตาไปทางหญิงสาวอีกครั้งหนึ่ง เขาเห็นเธองอนเพื่อนเดินหายเข้าไปทางคอฟฟี่ช็อพ
ชายหนุ่มเองนั้นมีความสนใจในตัวน่านนทีตั้งแต่แรกพบกันที่กรุงเทพฯเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา เขาได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับเธอตลอดเวลา ยิ่งกระชับความสัมพันธ์เพิ่มมากขึ้นโดยที่เขาเองแทบไม่รู้ตัว พอมีคนมาพูดสะกิดใจ จึงทำให้ชายหนุ่มพลอยเขินไปด้วย เขาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แสร้งตีหน้าเฉย ตรงไปช่วยดูแลบงการคนงานให้ขนสัมภาระทั้งหมดลงจากรถ
จันทร์จิราเดินมาเกาะไหล่พี่ชายพลางโน้มกายเอาใบหน้าไปชิดข้างหูซ้าย กระซิบเบาๆพอได้ยินกันสองคน
"น่านเขาโดนพวกเราแซว"
"แซวเรื่องอะไรเหรอ"
"ก็เรื่องน่านกับพี่จ้อนนั่นแหละ"
"ทำไม พี่ทำอะไร" จ้อนซักเบาๆ
"ก็เรื่องที่พี่จ้อนสนใจยายน่านเป็นพิเศษนะซี" จันทร์จิราเผยความลับ
"ก็เขาเป็นเพื่อนรักของจันทร์นี่ ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน"
"พี่จ้อนไม่ต้องมาทำไก๋ จันทร์รู้นะว่าพี่จ้อนเองก็แอบชอบยายน่านเหมือนกัน" จันทร์จิราอำพี่ชาย
"พวกเธอก็เลยแซวจนเพื่อนอายม้วนไปเลยสิ" จ้อนดุน้องสาว
"ใช่พวกเราบอกน่านว่าพี่จ้อนแอบชอบเธอ ทำเอาน่านอายใหญ่"
"อายหรือโกรธกันแน่" ชายหนุ่มยังหวั่นใจ
"ที่จริงแล้วน่านเขาก็แอบชอบพี่อยู่เหมือนกันนะ"
"เขาบอกแกเหรอ"
"เปล่า..แต่ผู้หญิงด้วยกันมองแวบเดียวก็รู้ นี่พี่จ้อนที่รักอย่ามัวโอ้เอ้อยู่เลย น่านเขาหลบเข้าไปในคอฟฟี่ช็อพตั้งนานแล้ว พี่ช่วยตามไปปลอบหน่อย ประเดี๋ยวจันทร์กับเรและยายสุจะเข้าไปดูความเรียบร้อยในครัว วันนี้จะมีปาร์ตี้อีกราวสิบโต๊ะ ของกรุ๊ปทัวร์ญี่ปุ่น"
พูดเสร็จจันทร์จิราก็บีบไหล่พี่ชายเป็นเชิงให้กำลังใจ ก่อนที่จะเดินนำเพื่อนสาวทั้งสองเข้าไปในครัวของห้องอาหาร
***************
ก้าวแรกที่เขาก้าวเข้าไปในคอฟฟี่ช็อพ ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ ทั้งๆที่ทุกวี่ทุกวันเขาเดินเข้าออกอยู่เป็นประจำ เมื่อเช้านี้เองแท้ๆเขายังเข้ามาดูแลความเรียบร้อยด้วยตนเอง จ้อนแปลกใจที่ทันทีทันใดความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายของเขาพลันเปลี่ยนแปลงไป เป็นเอามากทีเดียว
นี่เขากำลังจะมีความรักอีกแล้วหรือ ?
ขณะที่เขาตื่นเต้นกับการที่จะได้เข้าไปปลอบใจน่านนทีนั้น
แวบหนึ่งในความคิดคำนึงนั้นเขานึกถึงใบหน้าหวานคมมีเสน่ห์ ดวงตาสีฟ้ากลมโต ขนตางอน จมูกเชิดเป็นสันรับกับใบหน้า ยามยิ้มเหมือนดอกไม้บานครารับอรุณ แอนนามารีสาวนอร์วีเจี้ยนผมบลอนด์ร่างระหงนั่นเอง
น่านนที เธอต่างหากที่ทำให้เขาใจเต้นอยู่ขณะนี้ ไม่ใช่แอนนามารี !
ร่างเพรียวสูงโปร่ง ผมยาวสลวย ใบหน้ารูปไข่ นัยตาหวานซึ้งนั้นยืนหันหลังให้เขาขณะที่ชายหนุ่มเดินเข้าไปในคอฟฟี่ช็อพ น่านนทีกำลังแหงนหน้าขึ้นมองดูภาพเขียนที่แขวนอยู่เหนือโต๊ะ ชายหนุ่มเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่เบื้องหลัง
"คนเขียนภาพนี้เป็นเพื่อนผมเอง" จ้อนบอกหญิงสาว เขาพยายามทำสำเนียงให้เป็นปกติ ทั้งที่รู้สึกประหม่าใจเต้นโครมคราม
"ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติดีจังเลยนะคะพี่จ้อน" เธอพูดบ้าง
"เขาเขียนในขณะดื่มเหล้านะน่าน"
"เหรอคะ"
"วันนั้นเราไปนั่งกินเหล้ากับชาวประมงที่โขดหินด้านโน้น เขียนรูปไปคุยกันไป" จ้อนชี้มือไปทางโขดหินไกลออกไปทางชายหาดด้านซ้ายมือหน้าเส้นขนานรีสอร์ตพร้อมกับอธิบายพลางสูดหายใจลึก เขาได้กลิ่นหอมอ่อนๆเร้ารัญจวนอารมณ์จากกายเธอ
"แต่ยังไงภาพก็ดูดี มีชีวิตชีวา โดยเฉพาะรูปชาวประมงกับแหอวนของเขา เหมือนจับต้องได้ด้วยสายตา"
"ไม่ยักรู้ว่าน่านเป็นนักวิจารณ์ภาพเขียน"
"แหมพี่จ้อนเนี่ย จะชมก็ไม่บอกล่วงหน้าก่อน น่านชักเขินแล้วนะ" เธอพูดพลางหัวเราะ
"เขาเขียนรูปไปกินเหล้าไป ซึ่งเขาบอกว่าเขียนตอนนั้นมันให้อารมณ์และมุมมองที่แปลกดี ชาวประมงที่อยู่ในรูปเขียนนี้ชื่อลุงชูเป็นเพื่อนรักอีกคนหนึ่งของคุณพ่อ ยังคงเอาปลาที่ตกได้มาส่งเราทุกวัน" จ้อนบรรยายภาพเขียนสีน้ำมันภาพนั้นเหมือนกำลังระลึกถึงอดีต
"อ๋อ..จำได้แล้วลุงที่เอาปลามาส่งตอนบ่ายๆทุกวันนั่นเอง ใช่ไหมพี่จ้อน" พูดจบหญิงสาวก็หันหน้ามาสบตาชายหนุ่ม
เขาพยักหน้ารับคำ แต่แววตาที่จ้องมานั้น ทำเอาหนุ่มจ้อนใจเต้นขึ้นมาอีก เขามองดูสองพวงแก้มและริมฝีปากอิ่มเอมนั้น ช่างน่าทะนุถนอมเสียเหลือเกิน เขากวักมือเรียกเด็กเสิร์ฟมาสั่งคาปูชิโน่สองถ้วย เพราะเขารู้ดีว่าทุกเช้าน่านนทีจะลงมาสั่งกาแฟคาปูชิโน่ดื่มทุกวัน เขาเองก็ชอบรสชาดและฟองอันละเมียดละไมของคาปูชิโน่เหมือนกัน
"เมื่อวานตอนที่พี่จ้อนไม่อยู๋ มีทัวร์ญี่ปุ่นมาลงจนบังกะโลเต็มหมดทั้งสองฝั่ง" เธอหมายถึงเกาะขนานที่อยู่คู่กัน
"จันทร์บอกผมแล้วเห็นบอกเย็นนี้จะมีปาร์ตี้ด้วย น่านมาเที่ยวที่นี่คราวนี้ไม่ได้พักผ่อนเลยซีนะ ต้องช่วยงานพี่ตลอดทุกวันเลย" เขาจ้องหน้าเธอหมายความตามที่พูดจริงๆ
"สนุกดีออกค่ะ น่านไม่ได้สนุกอย่างนี้มานานแล้ว อยู่กรุงเทพฯอึดอัดจะแย่มาอยู่ที่นี่ค่อยหายใจได้เต็มปอดหน่อย อากาศก็ดี อาหารก็ดี ได้ออกกำลังเต็มที่ อยากอยู่นานๆ"
"จริงหรือเปล่าที่ว่าอยากอยู่นานๆน่ะ"
คำถามของเขาเหมือนกับจะขอคำตอบเป็นเครื่องยืนยันความในใจ ทำเอาหญิงสาวเริ่มหน้าแดงขึ้นมาอีก แต่เธอก็ตอบด้วยความเต็มใจ
"จริงซิคะ ถ้าลาต่อได้อีกสักเดือนก็ดีหรอก น่านจะขออยู่ต่อที่เกาะขนานนี่"
"แน่ใจนะว่าจะไม่เบื่อเสียก่อน"
คาปูชิโน่ควันกรุ่นถูกนำมาเสิร์ฟ
"เบื่อได้ยังไงคะ ดูซิกาแฟก็เยี่ยม หอมกรุ่นเชียว ว่าแต่พี่จ้อนเถอะจะเบื่อขี้หน้าน่านเสียก่อน เพราะอยู่นานเกินไป" เธอพูดพร้อมกับยกกาแฟขึ้นจิบอย่างถูกใจ
"ถ้าผมจะขอคำสัญญาล่ะ" คราวนี้เธอถูกเขารุกฆาตโดยไม่ทันตั้งตัว
"คำสัญญาอะไรคะ" หญิงสาวเริ่มแกล้งเฉไฉ
"ก็คำสัญญาว่าจะไม่เบื่อที่นี่ยังไงละจ๊ะ" เขายืนยันคำพูดเดิม
"สัญญาก็ได้" เธอยอมรับอย่างตกกระไดพลอยโจน
"ไหนลองพูดให้ชื่นใจหน่อยซิ สัญญาว่าอย่างไรจ๊ะ"
"ก็สัญญาว่าจะไม่เบื่อที่นี่ ที่เกาะขนานนี่ยังไงละคะ" เธอตอบชัดเจน
"แค่นั้นยังไม่พอหรอก" เขารุกเหมือนคนได้คืบอยากจะเอาศอก
"ไม่พอยังไงคะ"
"ไม่เบื่อเกาะขนาน แต่จะรักคนเกาะขนานด้วยหรือเปล่าละ"
"ไม่รังเกียจ" เธอตอบตรงกับใจ
"ไม่รังเกียจก็แปลว่ารักนะซิ" เขาพูดเหมือนคนได้ใจ
"ถ้าอย่างนั้นพี่จ้อนต้องสัญญาด้วย" เธอเริ่มเง้างอน "ให้น่านสัญญาฝ่ายเดียวก็เสียเปรียบแย่ซีคะ"
"ผมไม่ต้องสัญญาก็ได้เพราะผมอยู่ที่นี่อยู่แล้ว" จ้อนว่า
"ไม่ใช่อยู่อย่างเดียว ต้องไม่เบื่อ ไม่รำคาญและไม่รังเกียจคนที่มาขออาศัยอย่างน่านด้วย" น่านนทีกล่าวอย่างท้วงติง
"ก็ได้" ชายหนุ่มยอมจำนน "ฟังให้ดีนะ"
"ค่ะ น่านพร้อมแล้วค่ะ"
แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้เอ่ยคำสัญญาใดๆกับหญิงสาวต่อไปอีก พลันประตูห้องคอฟฟี่ช็อพก็ถูกเปิดออก ปรากฏร่างระหงผมสีบลอนด์พลิ้วลมกระจายเดินตัวปลิวก้าวเข้ามาในห้อง
แอนนามารีนั่นเอง !
***************
เมื่อวันที่ : ๐๔ เม.ย. ๒๕๕๐, ๐๗.๓๖ น.
แง่ม แง่ม มีพาดพิง ฮา