![]() |
![]() |
กาบแก้ว![]() |
.......เชลยที่ถูกล่ามโซ่เลื่อนถาดไปใกล้แสงไฟจากตะเกียง เขาเงยหน้าขึ้นมองอาเม้งคล้ายแสดงความขอบคุณอีกครั้ง ก่อนที่จะลงมือกินอาหารอย่างหิวโหย.......
ตอน : กรงขังเชลย
เล่าเปาะหยีสั่งให้ลูกน้องขับเรือเล็กอ้อมโขดหินไปอีกด้านหนึ่งทางด้านหลังเขาซึ่งอยู่คู่กันกับเนินเขาที่ตั้งศาลเจ้ากุหลาบไฟ เบื้องหลังโขดหินเป็นช่องหลืบกว้างพอเรือลอดได้อันเป็นทางลับเข้าสู่ปากถ้ำกาหลง ตรงปากทางเข้าถ้ำนั้นเป็นร่องน้ำลึก สามารถใช้เป็นที่จอดเรือเทียบได้พอดีโดยไม่ต้องเกยตื้นเหมือนด้านหน้าชายหาด พวกเขาโยงเรือล่ามไว้กับก้อนหินทั้งด้านหัวเรือและท้ายเรือ เอายางรถยนต์แขวนเป็นกันชนที่กราบเรือเมื่อโยงเรือเสร็จทั้งหมดก็กระโดดขึ้นไปยืนบนลานหินหน้าปากถ้ำได้อย่างสบาย ที่ปากถ้ำมีชายร่างผอมผิวเหลืองซีด กระดูกหน้าโหนก แก้มตอบ ตาลึก มือขวาถือปืนสั้นขนาด .38 รีวอลเวอร์ลูกโม่ เขายืนจังก้าอยู่หน้าปากถ้ำ ขณะที่เล่าเปาะหยีนำเรือเข้ามาจอดและกระโดดขึ้นโดยไม่ได้ช่วยผูกเรือหรือขยับตัวเข้ามาใกล้เลยแม้แต่น้อย
เล่าเปาะหยีโบกมือให้พร้อมกับเดินเข้าไปใกล้และตบไหล่ชายผู้นั้นเป็นเชิงทักทายอย่างเป็นกันเอง
"เป็นไงอาเม้งรอนานไหมวะ"
"สวัสดีอาเสี่ย อั๊วกำลังรออยู่พอดี" ชายร่างผอมหรืออาเม้งตอบ
"เที่ยวนี้มาค่ำหน่อย เตรียมของไว้พร้อมหรือยัง"
"เรียบร้อยเสี่ย อั๊วขนมากองรอไว้ที่หน้าปากถ้ำนี้แล้ว" อาเม้งบอก
"ทั้งหมดร้อยห้าสิบกิโล"
"เออ...ดีมากอาเม้ง ลื้อทำงานได้ดีมาก" เล่าเปาะหยีกล่าวชม
"อั๊วเอาเสบียงมาฝากลื้อเพียบเลย"
"เสบียงอาลาย"
"อ้าวก็ของที่ลื้อฝากซื้อยังไงล่ะ" เล่าเปาะหยีบอก "เฮ้ยสองคนนั่น ขนของอาเม้งเข้าไปไว้ในถ้ำด้วย" ประโยคหลังเขาหันไปสั่งลูกน้องสองคนที่มาด้วย
"ขอบคุณมาก อาเสี่ย" อาเม้งกล่าวขึ้นพร้อมยกมือคารวะ
"ส่วนมากเป็นของกินที่ลื้อชอบ"
"ยอดเยี่ยมจริงๆ" อาเม้งยกนิ้วโป้ง
"เออ..อาเม้ง เมื่อตะกี้นี้อั๊วให้ไอ้สุขอ้อมข้ามมาทางหลังศาลเจ้ากับไอ้มินอ่อง ยังมาไม่ถึงอีกเรอะ"
"เอ๊ะ...ยังไม่เห็นนี่"
พูดจบอาเม้งก็เหลือบขึ้นไปดูบนเนิน ซึ่งเป็นทางลับเชื่อมระหว่างเขาสองลูก ถ้าไม่สังเกตจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่านั่นคือทางเดิน ในที่สุดเขาก็พึมพำออกมาเบาๆ เมื่อเห็นเงาตะคุ่มๆของคนสองคนกำลังเดินมา
"สงสัยมากันแล้วล่ะ กำลังเดินมานั่น" อาเม้งพูดพร้อมกับขยับปืนกริ๊กด้วยความเคยชิน
สักครู่ทองสุขและมินอ่องก็มายืนรวมกันอยู่ที่ลานหินตรงปากทางเข้าถ้ำ พร้อมรายงาน
"ผมไม่เจอพวกมันสักคน"
"เอ็งขึ้นไปดูบนศาลเจ้าหรือเปล่า" เล่าเปาะหยีซัก
"ที่บนศาลเจ้าก็ไม่มี ข้าสองคนเดินดูจนรอบ"
"พวกมันคงรู้ตัว" เล่าเปาะหยีว่า
"สงสัยว่าจะซ่อนตัว เมื่อเห็นพวกเราเอาเรือเข้าจอดเทียบและขึ้นฝั่ง"
"มันหลบกันอยู่ในกระท่อมหรือเปล่าวะ"
"ที่กระท่อมก็ไม่มี พบแต่ซากงูตัวใหญ่โดนชำแหละที่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆกระท่อม พวกมันคงฆ่างูเพราะตกใจกลัวมากกว่า เห็นเจ้านายบอกว่ามีผู้หญิงด้วยไม่ใช่เรอะ"
"เออ...ผู้หญิงฝรั่งผมบลอนด์ พวกมันคงพามาเที่ยวและไหว้ศาลกัน"
เสียงเจ้านายตอบ
"นี่พวกมันยังไม่กลับ"
"หรือว่าพวกมันมาลองของเรื่องคนหาย คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงดีเสียด้วยซี" เล่าเปาะหยีกล่าวพร้อมกับแหงนหน้าขึ้นมองดวงจันทร์อย่างมีความหมาย
"เดี๋ยวผมจะไปคอยเฝ้าดู" ทองสุขบอก
"ไม่ต้องหรอกสุข อีกสักพักมันก็คงกลับกัน คอยฟังเสียงเรือให้ดี รอให้พวกมันกลับกันก่อนแล้วเราค่อยไป" เล่าเปาะหยีปราม
"เอ้า...พวกเราช่วยกันขนของลงเรือ เบาๆมือหน่อยนาโว้ย ของแพงอย่าให้เสียหายได้" ประโยคหลังเล่าเปาะหยีหันมาสั่งลูกน้อง
พวกนายโอฬารหรือเล่าเปาะหยีขนของลงเรือหมดพอดี ขณะที่ได้ยินเสียงเรือเร็วเดินเครื่องและแล่นวนอ้อมผ่านโขดหินและช่องหลืบทางลับของปากทางเข้าถ้ำกาหลง ตีวงกว้างออกไปทางหน้าผามุ่งตรงกลับไปทางเกาะเต่า
"พวกมันคงไม่กล้าอยู่บนเกาะในคืนเดือนเพ็ญอย่างนี้หรอก" เล่าเปาะหยีว่าพลางหัวเราะหึๆ
"ใครก็ไม่กล้าแม้ผมเอง ทั้งๆที่รู้ให้อยู่บนเกาะคนเดียวอย่างนี้ก็ไม่เอาเหมือนกัน" สุขพูดขึ้นพลางเหลือบตาชำเลืองไปทางอาเม้งอย่างเกรงๆ
"จริงของเอ็งไอ้สุข นอกจากอาเม้งแล้ว อั๊วไม่เห็นมีใครกล้าอยู่บนเกาะนี้คนเดียวเลย" เล่าเปาะหยีคล้อยตาม
"คืนเดือนหงาย เงียบเชียบ วังเวง ได้ยินแต่เสียงสัตว์ป่าและแมลงกับเสียงคลื่นซัดหน้าผา ยิ่งอยู่คนเดียวด้วยแล้วชวนให้ขนลุก" ทองสุขเสริม
"โดยเฉพาะคืนที่พระจันทร์เต็มดวงอย่างนี้" เล่าเปาะหยีพูดเหมือนรำพึงดังๆ "ทำให้ตำนานคนหายดูน่ากลัวและศักดิ์สิทธิ์"
"นักท่องเที่ยวเลยกลัวเกาะกาหลง ไม่อยากเข้าใกล้" ทองสุขว่า
"อั๊วชอบถ้ำนี้ อั๊วอยากอยู่ที่นี่" อาเม้งพูดเสียงดังขึ้นมาลอยๆคล้ายคนละเมอ
"ใช่...โกหลกถึงได้ให้ลื้ออยู่ที่นี่ไง" เล่าเปาะหยีพูดเหมือนปลอบประโลม
พระจันทร์เริ่มโผล่พ้นจากก้อนเมฆ เงาเหลืองอร่ามสว่างนวลสะท้อนผืนน้ำระยิบระยับ คืนนี้ดวงดาวขึ้นเต็มท้องฟ้า แสงจันทร์สาดส่องลอดเงาไม้มายังปากถ้ำกาหลงกระทบใบหน้าของอาเม้ง ผู้ซึ่งบัดนี้หันหน้าไปทางดวงจันทร์ จากใบหน้าที่ดูซูบโหนกนูน แก้มตอบและเบ้าตาลึก นัยตาเรียวยาว ยิ่งมองยิ่งดูน่ากลัว ทำเอาทองสุขเมินหน้าไปทางอื่น เสแสร้งเดินไปคุยกับมินอ่องและพรรคพวกอย่างหวาดๆ
หลังจากที่นายโอฬารหรือเล่าเปาะหยีนั่งคุยกับอาเม้งอีกครู่ใหญ่ ก็ลงเรือเล็กที่มารับสินค้าออกเดินทางกลับไปยังเรือตังเกใหญ่ลำนั้น ไม่นานนักเสียงเครื่องยนต์จากเรือตังเกก็ครางกระหึ่มถอนสมอและค่อยๆเคลื่อนออกเดินทางบ่ายโฉมหน้าไปทางเกาะสมุย
อาเม้งยังคงยืนอยู่หน้าปากถ้ำกาหลง รอจนกระทั่งเสียงเครื่องยนต์จากเรือตังเกค่อยๆเลือนเงียบหายไป เขาหันหลังกลับเดินเข้าไปในถ้ำ เอื้อมมือเร่งแสงไฟจากตะเกียงรั้วที่ตั้งอยู่บนโต๊ะให้สว่างขึ้น ตรวจดูเสบียงที่เล่าเปาะหยีนำมาให้ ซึ่งส่วนมากเป็นพวกเครื่องกระป๋องและของแห้ง เดินไปเปิดเตาแก๊สที่วางอยู่ใกล้ๆ เปิดกระป๋องอาหารสำเร็จรูป เทใส่หม้อยกขึ้นตั้งบนเตาพอเดือดเขาก็เอาเทใส่ชามกระเบื้อง หยิบขนมปังแซนด์วิช 4 แผ่นวางบนจานอีกใบ เขาไม่ลืมหยิบเอาช้อนวางไปให้ด้วย โดยทั้งหมดวางอยู่บนถาดอลูมิเนียม
อาเม้งเอาปืนเหน็บไว้ที่เอวก่อนที่จะยกถาดและหยิบไฟฉายเดินส่องเข้าไปในถ้ำ เดินลึกเข้าไปราว 5 เมตร มีกรงเหล็กกั้นติดอยู่กับผนังถ้ำและเพดานถ้ำสูงประมาณ 2.50 เมตร อาเม้งไขกุญแจเปิดประตู เอาถาดยื่นวางเข้าไปไว้ภายในกรงขังนั้น ปิดประตูแล้วไขล็อกไว้อย่างเดิม เสียงโซ่ลากครูดพื้นขยับจากด้านในกรงขังตรงมายังถาดอาหารนั้น อาเม้งเดินไปเร่งแสงตะเกียงอีกดวงที่แขวนอยู่ข้างๆกรงขังให้สว่างขึ้นหน่อยหนึ่ง
"วันนี้มีสตูเนื้ออย่างที่ลื้ออยากกินแล้วล่ะ กับขนมปังด้วย กินซะ" เขาพูดเสียงเนือยๆกับผู้ที่อยู่ในกรงเหล็กนั้น
"ขอบคุณ" เสียงแหบๆตอบมาจากในกรงเหมือนคนเป็นหวัดลงคอ
"กินเสร็จแล้วเดี๋ยวอั๊วจะชงกาแฟมาให้" อาเม้งบอกอีก
"ขอบคุณที่มีน้ำใจ ขอบคุณมากจริงๆ อาเม้ง" เสียงแหบๆเหมือนเดิมย้ำความรู้สึก แต่สำเนียงที่เปล่งออกมาเท่านั้นที่ยังพอฟังออกได้ว่าเป็นสำเนียงของชาวยุโรป
เชลยที่ถูกล่ามโซ่เลื่อนถาดไปใกล้แสงไฟจากตะเกียง เขาเงยหน้าขึ้นมองอาเม้งคล้ายแสดงความขอบคุณอีกครั้ง ก่อนที่จะลงมือกินอาหารอย่างหิวโหย เขากินไปบ่นพึมพำไปคนเดียว ผมยาวเป็นกระเซิง หนวดเครารุงรัง เสื้อคอกลมและกางเกงขาสั้นดูเกรอะกรัง โซ่เส้นยาวที่ล่ามขาเขาไว้นั้น มีผ้าพันเอาไว้ตรงข้อเท้า
แสงไฟจากตะเกียงที่ส่องลงมาทำให้สามารถมองเห็นรอยสักที่ข้อมือของเขาได้อย่างชัดเจน
ใช่แล้ว...! !
เขาคือ...มร. ฮันส์ กุลลิคเซ่น !
เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ?
อาเม้งยกแก้วน้ำและกาแฟมาให้เกือบเป็นเวลาเดียวกับที่เขากินอาหารเสร็จ เขาขอดจนเกลี้ยงจานและดื่มน้ำหมดแก้ว
ก่อนที่จะเริ่มซดกาแฟ เขาหันมาขอบคุณอาเม้งอีกครั้งหนึ่ง
"ขอบคุณมากอาเม้ง สตูเนื้ออร่อยมาก"
"อั๊วอยู่ที่นี่คนเดียว อั๊วรู้ดีว่าคนเราเวลาอยากกินอาหารที่ตัวเองชอบแล้วได้ลิ้มรสสมใจอยากมันเป็นยังไง" อาเม้งพูดเหมือนกับจะระบายความในใจลึกๆของตัวเอง
"ถูกของอาเม้ง มันเป็นความรู้สึกที่เกินคำอธิบาย" มร.ฮันส์ ซึ่งขณะนี้ซุ่มเสียงดีขึ้นกล่าวอย่างจริงใจ
"เพียงคำว่าอร่อยมากอย่างเดียวคงไม่พอ" เขาหมายความตามที่พูดนั้นจริงๆ
"ตานี้ลื้อก็สมใจอยากแล้วซี" อาเม้งว่า
"ใช่เหมือนเด็กได้ของเล่นถูกใจ" ฮันส์ กุลลิคเซ่น ขยายความ
"ลื้อเข้าใจพูด" ชายหน้าเหี้ยมหัวเราะในลำคอ
"นี่อาเม้ง" ฮันส์เรียกชื่อเหมือนอยากพูดด้วย
"ทำไมรึ"
"รู้ไหมว่าอาเม้งนั้นเปรียบเหมือนทองคำหลอมผิดเบ้า" ฮันส์ว่า
"อั๊วไม่เข้าใจ" อาเม้งเริ่มงง
"คืออย่างนี้ ทองคำนั้นมีค่า ถ้าเอาไปหลอมเป็นทองรูปพรรณเป็นเครื่องประดับก็จะมีราคา งดงาม เป็นที่ชื่นชมต้องการของคนทั่วไป เพราะได้เบ้าหลอมและช่างทองฝีมือดี" มร.ฮันส์พยายามอธิบาย
"แล้วยังไง" อาเม้งยังตามไม่ทันอยู่ดี
"แต่ทองคำถ้าได้ช่างไม่ดี เอาไปเข้าเบ้าหลอมขึ้นรูปเป็นอาวุธหรือปีศาจ อสุรกาย ก็จะมีแต่คนหวาดกลัว แม้จะยังมีราคาแต่ก็ปราศจากความงดงาม" ฮันส์พูดพร้อมกับไอแค็กๆ หอบจนตัวโยนด้วยโรคประจำตัว
"ลื้อหมายความว่า..." อาเม้งพูดค้างอยู่แค่นั้น
"ใช่..หมายความว่าในส่วนลึกจริงๆแล้วอาเม้งเป็นคนดีมาก"
"ลื้อรู้ได้ยังไง"
"ถ้าอาเม้งไม่มีความดีหรือคุณธรรม อาเม้งจะเป็นห่วงเป็นใยผมทำไม จริงไหม" ฮันส์อธิบายด้วยคำถาม
อาเม้งพยักหน้าหงึกๆเพราะไม่รู้จะพูดอะไร
"ทำไมอาเม้งถึงมาอยู่ที่นี่ ทำงานกับคนพวกนี้" ฮันส์ซักต่อ
"อั๊วเบื่อสังคม เบื่อคน เบื่อโลก เพราะในชีวิตอั๊วเจอแต่คนเอาเปรียบโกงสารพัด จะทำอะไรก็มีแต่คนเห็นแก่ตัว แม้แต่เมียอั๊วเอง"
พูดถึงตรงนี้อารมณ์ของอาเม้งเริ่มแปรปรวน เขาพยายามข่มอารมณ์ด้วยการขบกรามจนเป็นสันนูน
"แล้วอยู่กับคนพวกนี้ ที่นี่" ฮันส์รู้สึกเห็นใจอาเม้งแต่ก็ถามต่อเพราะความอยากรู้
"โกหลก...อีดีกับอั๊วมากแม้อีจะร้ายกับคนอื่นก็ตาม อีให้ทุกอย่างที่อั๊วต้องการ ที่นี่อั๊วอยู่คนเดียวมาเกือบสิบปี นี่คือโลกของอั๊ว มันคืออาณาจักรของอาเม้ง"
แววตาของอาเม้งวาวโรจน์เป็นประกายฉายความรู้สึกของผู้ครอบครองปานประหนึ่งองค์จักรพรรดิ์ผู้เกรียงไกร
"ไม่คิดจะออกจากที่นี่กลับไปหาครอบครัวบ้างหรือ"
"อั๊วไม่มีครอบครัว ไม่มีบ้าน"
"แล้วลูกล่ะ"
"ไม่มี"
"เมีย"
"ตายแล้ว...อั๊วฆ่ามันเอง"
กรามของอาเม้งบดกันราวกับจะให้แหลกละเอียดเป็นผุยผง เมื่อพูดถึงอดีตอันแสนรันทดในช่วงหนึ่งของชีวิต
"ทำไม"
"มันมีชู้" อาเม้งพูดเสียงดังเหมือนตะคอก
"ขอโทษ..อาเม้ง" ฮันส์เอ่ยขึ้น "ผมไม่ควรถามในเรื่องที่ทำให้อาเม้งไม่สบายใจ" เขารู้สึกเสียใจที่คำถามของเขาเป็นเหตุให้คู่สนทนาต้องสะเทือนอารมณ์
"ไม่เป็นไร..อาหัง อั๊วรู้สึกโล่งที่ได้ระบายออกมาเสียบ้าง" อาเม้งกล่าวตอบถึงความรู้สึกที่แท้จริง เขาเรียกฮันส์ กุลลิคเซ่นว่าอาหัง
"ใช่ถูกต้องที่สุด เมื่อมีอะไรอึดอัดหรือคับแค้นในใจ ถ้าได้ระบายออกมาจะเหมือนกับยกภูเขาออกจากอกทีเดียว" ฮันส์เห็นด้วย
"ลื้อเข้าใจพูด อาหังอั๊วชอบ"
"ขอบใจที่อาเม้งชอบ"
"แต่อั๊วว่าลื้ออธิบายเรื่องทองคำหลอมผิดเบ้า ทำให้อั๊วงง เข้าใจไม่แจ่มแจ้ง ที่จริงลื้อน่าจะพูดว่า...."
"พูดว่าอย่างไร" ฮันส์ซักอย่างอยากรู้
"พูดว่า...อั๊วเปรียบเหมือนทองเก๊ไม่ใช่ทองคำแท้ จริงไหม"
ฮันส์กุลลิคเซ่นสะอึกกับปรัชญาสามัญของอาเม้ง ง่ายและเข้าใจได้แจ่มแจ้งในประโยคสั้นๆเพียงประโยคเดียว เขาผงกศีรษะยอมรับโดยดุษฎี
"ถูกของอาเม้ง ถูกต้องที่สุด"
"นี่แสดงว่าอั๊วพูดถูกใช่ไหม" อาเม้งมีท่าทีตื่นเต้นที่มีคนยอมรับ
"แน่นอน"
"ใช่ซี อั๊วคุยกับลื้อทุกวัน ทำให้อั๊วหายเหงา" อาเม้งว่า
"เลยทำให้ผมได้กินของชอบมีทั้งสตู ทั้งกาแฟ ต้องขอบคุณอาเม้ง"
"ไม่เป็นไร ลื้อจำได้ไหม วันก่อนที่เราคุยกัน อั๊วถามถึงอาหารที่ลื้อชอบ" อาเม้งรื้อความจำ
"จำได้"
"อั๊วคิดว่าถ้าลื้อได้กินแล้วคงหายคิดถึงบ้าน ไม่อยากคิดสั้นอีก"
อาเม้งหมายถึงตอนที่ฮันส์ กุลลิคเซ่นถูกจับมาใหม่ๆ เขาถูกทรมาณอย่างหนักเรื่องที่ซ่อนของสมบัติโจรสลัด จนเขาทนไม่ได้และคิดฆ่าตัวตายโดยเอาโซ่ยาวที่ล่ามนั้นรัดคอตัวเอง ทว่าอาเม้งมาเห็นเข้าเสียก่อน จึงเข้าไปแก้ไขได้ทันท่วงที ตั้งแต่นั้นมาอาเม้งก็พยายามทำดีกับเขาตลอดเวลาที่ลับหลังเจ้านายและพวกพ้อง หากแต่ต่อหน้าพรรคพวกแล้ว อาเม้งจะกลายเป็นคนละคน
"อั๊วเลยสั่งของมาให้ลื้อหลายอย่าง อั๊วบอกพวกมันว่าอั๊วอยากกิน พวกมันเอาใจอั๊ว เอามาให้ทุกอย่างที่อั๊วต้องการ พวกเล่าเปาะหยีเพิ่งเอามาให้เมื่อกี้นี้ พรุ่งนี้อั๊วจะต้มมันฝรั่งให้ลื้อกิน"
"มีมันฝรั่งด้วยรึอาเม้ง"
"ใช่" อาเม้งพยักหน้า
"ขอบคุณม้าก..มากอาเม้ง" ฮันส์พูดภาษาไทยสำเนียงฝรั่งตะวันตกกับอาเม้งด้วยความจริงใจ
"ขอบคุณจริงๆที่มีเมตตาต่อผม วันนี้เจ้านายของอาเม้งไม่มาหรือ"
"ไม่มา วันนี้มาแต่เล่าเปาะหยี ลื้อถามทำไม"
"อยากรู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะปล่อยผมเสียที"
"ลื้อก็บอกเรื่องที่ซ่อนลายแทงมหาสมบัติให้อีไปซิ อีจะได้ปล่อยให้ลื้อกลับบ้าน" อาเม้งว่า
"ไม่รู้จะบอกได้อย่างไร ก็ผมไม่รู้จริงๆ"
"แต่รอยสักที่ข้อมือลื้อ เห็นเขาบอกว่ามันตรงกันกับเครื่องหมายบนลายแทงที่อีมีนี่"
อาเม้งเองก็เคยเห็นลายแทงนั้นแว่บๆ เพียงครั้งเดียว เมื่อตอนที่ฮันส์ถูกจับมาใหม่ๆ เพราะโกหลกเจ้าพ่อบางมะขาม แห่งเกาะสมุย ผู้ซึ่งเป็นเจ้านายโดยตรงของอาเม้งนำมันมาวางเทียบกันกับรอยสักบนข้อมือของเขา
"รอยสักนี้ พ่อผมให้ช่างเขาสักให้ตั้งแต่ผมยังเด็กอยู่เลย จะไปรู้ได้อย่างไร"
"แต่มันก็แสดงว่ามีความเกี่ยวข้องกันกับลายแทง" อาเม้งซักอย่างอยากรู้เสียเต็มประดา
ฮันส์กระดกถ้วยกาแฟขึ้นซดจนเกลี้ยงถ้วย พร้อมส่งคืนผ่านซี่กรงเหล็กออกมาให้อาเม้งก่อนที่จะพูดต่อไปว่า
"ผมเองก็อยากรู้อยู่เหมือนกันว่ามันคืออะไร"
"มันก็คือเครื่องหมายของลายแทงมหาสมบัตินะซี" อาเม้งบอกตามที่รู้มา
"ไม่เห็นว่ามันจะบอกตรงไหนเลยว่าเกี่ยวข้องกัน" ฮันส์พูดต่อ
"ข้อแรกที่อั๊วรู้ก็คือ รอยสักบนข้อมือลื้อ มันเหมือนกันกับเครื่องหมายบนลายแทงมหาสมบัตินั่น" อาเม้งว่า
"ข้อที่สองล่ะ" ฮันส์รุกต่อ
"ข้อที่สอง" อาเม้งทวนคำ "ก็คือสาเหตที่ลื้อถูกจับตัวมานี่แหละ"
"ทำไม"
"เพราะลื้อเป็นฝรั่งคนแรกและคนเดียวที่ถามถึงถ้ำมหาสมบัตินั่น นี่แสดงว่าลื้อรู้เรื่องลายแทงนั้นดี"
"ข้อที่สาม" ฮันส์ถามอีก
"ลื้อจ้างคนที่เป็นลูกน้องของโกหลกบนเกาะเต่า ออกตามหาที่ซ่อนตามลายแทงที่ตรงกันกับของโกหลก" อาเม้งบอก
"อ้อมิน่าล่ะ...นายสมชายนี่เองที่หลอกให้มาถูกจับ" ฮันส์ กุลลิคเซ่นเพิ่งถึงบางอ้อ
"ไม่แต่เพียงแค่นั้น" อาเม้งพูดต่อ
"อะไรอีกล่ะ" ฮันส์กังขา
"ลื้อดันมาค้างคืนที่เกาะกาหลงคนเดียว"
"ก็นายสมชายแอบหนีกลับไปก่อนนี่" ฮันส์ว่า
"ไม่ใช่หนี มันกลัวต่างหากเล่า"
"กลัวอะไร" ฮันส์ถามอย่างสงสัย
"เรื่องนี้อั๊วว่าจะพูดกับลื้อหลายทีแล้ว แต่อั๊วกลัวลื้อหัวเราะเยาะเอา" อาเม้งบอก
"นั่นซิมันเรื่องอะไรกันล่ะ" ฮันส์ถามงงๆ
"อ้าว..ลื้อไม่รู้หรอกหรือว่าในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ไม่มีใครเขากล้าขึ้นมาบนเกาะกาหลงกันหรอก เขากลัวกัน"
"พระจันทร์เต็มดวง ฟูลมูน ใช่คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวง" ฮันส์พูดเหมือนคนละเมอ
"ที่เขากลัวกันเพราะเขาเล่าลือกันว่า..." อาเม้งเล่าต่อ
"ถ้าใครขึ้นมาบนเกาะกาหลงนี้ในคืนที่พระจันทร์เต็มดวง แล้วจะหายสาบสูญไปไม่ได้กลับบ้าน"
"นี่เอง...คืนนั้นนายสมชายถึงได้หนีไป ทิ้งให้ผมอยู่คนเดียว" ฮันส์รำพึง
"ที่สำคัญที่สุดเรื่องของลื้อ คือแทนที่ลื้อจะนอนรออยู่เฉยๆที่กระท่อมหรือที่ศาลเจ้า ลื้อกลับเดินเซ่อซ่ามาจนถึงถ้ำนี้"
"แต่พวกเขาไม่ควรจับผม"
"ทำไมจะไม่สมควรล่ะ คืนนั้นโกหลกอีคุมคนมาเองเพื่อขนถ่ายสินค้า อีไม่ฆ่าลื้อตายก็บุญแล้ว"
"มันเกี่ยวอะไรกันด้วย"
"เกี่ยวซิ เพราะทุกคนที่รู้เรื่องถ้ำนี้ จะถูกฆ่าตายหมด โดยเฉพาะคนที่ขึ้นเกาะมาในคืนพระจันทร์เต็มดวง จะได้ไม่มีใครสงสัย" อาเม้งเล่าเป็นฉาก
"ถ้าอย่างนั้นผมก็โชคดีที่ไม่ถูกฆ่าตายเหมือนคนอื่น" ฮันส์พูดพร้อมกับรู้สึกเสียวสันหลังวูบ
"ไม่ใช่โชคดีหรอก รอยสักและสมบัติตามลายแทงต่างหากที่ทำให้ลื้อไม่ตาย" อาเม้งสรุปในที่สุด
"โอ..มายก๊อด" ฮันส์อุทาน
"เจ้าของเรือที่ลื้อเช่าเขามาก็เป็นลูกน้องโกหลกด้วย มีหลายคนยืนยันว่า ลื้อมาตามล่าหาสมบัติโจรสลัด ที่ยังไม่เคยมีใครค้นพบมาก่อนเลย"
"ขอถามอีกข้อเดียว โกหลกคือใครอาเม้ง" ฮันส์ถามอย่างอ่อนอกอ่อนใจพลางเอนหลังพิงลูกกรงเหล็กนั้น
"เอาไว้ลื้อถามเอาเองเวลาอีมาก็แล้วกัน" อาเม้งตอบพร้อมกับลุกขึ้นยืน หรี่ตะเกียงเสร็จแล้วเดินออกไปหน้าถ้ำ
***************
เมื่อวันที่ : ๒๖ มี.ค. ๒๕๕๐, ๑๙.๓๔ น.
แจ้งคำผิดค่ะ ย่อหน้าที่ 2 คำว่า "สะบาย" ค่ะ
"เมื่อโยงเรือเสร็จทั้งหมดก็กระโดดขึ้นไปยืนบนลานหินหน้าปากถ้ำได้อย่างสะบาย ที่ปากถ้ำมีชายร่างผอมผิวเหลืองซีด กระดูกหน้าโหนก แก้มตอบ ตาลึก มือขวาถือปืนสั้นขนาด .38 รีวอลเวอร์ลูกโม่ เขายืนจังก้าอยู่หน้าปากถ้ำ ขณะที่เล่าเปาะหยีนำเรือเข้ามาจอดและกระโดดขึ้นโดยไม่ได้ช่วยผูกเรือหรือขยับตัวเข้ามาใกล้เลยแม้แต่น้อย"