![]() |
![]() |
กาบแก้ว![]() |
......ทรัพย์สมบัติจึงถูกย้ายที่ซ่อน ลายแทงสมบัติที่ทำขึ้นสองฉบับก็ถูกเปลี่ยนมือจนถึงคนรุ่นหลานรุ่นเหลน......
ตอน : ลายแทงลึกลับ
ทางเดินเล็กๆที่โซ้ดเดินนำหน้าพาพรรคพวกตรงเข้าไปนั้น พลันก็สิ้นสุดลงตรงก้อนหินก้อนใหญ่ที่ขวางทางอยู่ มองดูคล้ายกับว่าทางเดินหายเข้าไปในก้อนหินใหญ่ก้อนนั้น ด้านหลังก้อนหินก็อยู่ติดกับตีนเขาอันรกทึบพอดิบพอดี จ้อนชักสนุกกับเหตุการณ์ประหลาดนี้มากทางเดินจะหายเข้าไปในก้อนหินนั้นได้อย่างไรกัน !
ทั้งหมดเดินสำรวจรอบก้อนหินก็ไม่เห็นมีอะไร เพราะด้านหลังก้อนหินนั้นก็คือเนินเขาที่เต็มไปด้วยหมู่ก้อนหินใหญ่น้อยและป่ารกชัฏ เสียงสัตว์ป่าน้อยใหญ่และหมู่นกยังกู่ร้องสลับกัน ดังก้องอยู่เป็นระยะๆ
"ว่ายังไงวะโซ้ด...ผีหลอกกลางวันหรือเปล่าวะ จู่ๆทางเดินก็หายเข้าไปในก้อนหินอย่างนี้" จ้อนถามโซ้ดผู้นำทาง
"ผมว่าแล้วไหมล่ะน่ากลัวออก ทางเดินหายเข้าไปในก้อนหิน" ฟิลลิปพูดพร้อมกับทำหน้าเลิกลั่ก "เรากลับกันเถอะ"
"ฟิลลิป..ยูอยู่เฉยๆเถอะน่า พวกเราไม่เห็นมีใครกลัวเหมือนยูเลย ดูแต่คุณแอนน์ซิ..เป็นผู้หญิงแท้ๆ" สายัณห์เตือน
"ข้าว่าต้องมีอะไรหลังก้อนหินนี้แน่ๆเลยว่ะจ้อน" โซ้ดพูดกับจ้อน
"แต่หินก้อนนี้ใหญ่ไม่เบา เราลองเขยื้อนดูไหม"
"เอาซิ ลองดูก็ได้...เอ้าพวกเราขอแรงหน่อย" จ้อนบอกพรรคพวก
ทั้งห้าคนอันมีชายสี่หญิงหนึ่งช่วยกันออกแรงดันผลักหินก้อนใหญ่ก้อนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง หากแต่แรงของทั้งห้าคนก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนก้อนหินก้อนนั้นออกจากที่ได้ จ้อนให้ทดลองผลักดูหลายครั้ง มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่รู้สึกว่าก้อนหินจะขยับตัวนิดๆ เพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง จ้อนคิดว่าคงไม่มีประโยชน์ คนเพียงห้าคนคงไม่มีปัญญาที่จะเคลื่อนก้อนหินก้อนนี้ให้ออกจากที่ได้แน่
"สงสัยไม่ไหวแน่วะจ้อน" สายัณห์พูดพลางถอนหายใจหอบเพราะออกแรงเต็มที่
"ผมว่าเรากลับไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยหาคนมาช่วยเพิ่มหลายๆคนดีกว่า" ฟิลลิปให้ความเห็นบ้าง "เฉพาะพวกเราแรงแค่นี้คงไม่มู้ฟหรอก"
"มันต้องมีวิธีอื่นอีกซีวะ ที่จะเขยื้อนหินก้อนนี้ได้" โซ้ดพูดเปรยขึ้น
"เออจริงว่ะ" จ้อนเห็นด้วย
ขณะที่พูดกันอยู่นั้น จ้อนก็สอดสายตามองไปรอบๆโดยมองเป็นวงกว้าง ที่ข้างก้อนหินใหญ่อีกก้อนหนึ่งใกล้ๆกันนั้น มีท่อนไม้ใหญ่ขนาดเสาไฟฟ้ายาวเกือบสามวา วางอยู่กับพื้นเหมือนมีใครนำไปวางทิ้งไว้โดยเจตนา จ้อนรีบเดินตรงดิ่งไปยังก้อนหินใหญ่ที่ท่อนไม้วางอยู่ พอไปถึงเขาก็กวักมือเรียกโซ้ดและชาวคณะให้ตามมา ท่อนไม้นั้นหนักเอาการ ทั้งสี่หนุ่มช่วยกันแบกเสาไม้ท่อนนั้นไปยังหินก้อนที่ปิดกั้นปลายทางอยู่ ใช้ปลายไม้ด้านหนึ่งสอดเข้าไปที่ใต้ก้อนหินซึ่งสอดเข้าไปได้พอดิบพอดี มีก้อนหินขนาดเขื่องอีกก้อนวางตั้งอยู่ใกล้ๆ เมื่อจ้อนเอาไม้พาดบนนั้นซึ่งคล้ายเป็นจุดฟัลคั่ม ทั้งหมดช่วยกันขย่มปลายไม้อีกด้านที่กลายเป็นคานงัด หินก้อนที่วางขวางทางอยู่ก็ขยับตัวเคลื่อนออกไปอย่างง่ายดาย พวกเขาค่อยๆงัดก้อนหินให้เคลื่อนไปทีละน้อยๆ จนหินก้อนนั้นหลุดพ้นจากทางเดิน
ชาวคณะค้นหาก็ต้องตกตลึงกับภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
ถ้ำ !
ถ้ำ...มันคือปากทางเข้าถ้ำ มีแสงสว่างเห็นอยู่เพียงจากปากถ้ำเข้าไปไม่เกินสามเมตรเท่านั้น ส่วนที่ลึกเข้าไปภายในถ้ำมืดมิดจนมองไม่เห็น กลิ่นเหม็นอับโชยลอดออกมา ลมเย็นพัดวูบใหญ่ผ่านหน้าถ้ำไปทำเอาทั้งหมดขนลุกซู่ขึ้นพร้อมกัน
สายัณห์จุดไฟแช็กเดินส่องนำทางเข้าไปภายในถ้ำ เขาพาเดินเข้าไปได้ประมาณห้าเมตร ไฟแช็กก็มอดดับลง
***************
โชคโอฬาร เรือตังเกลำใหญ่ทอดสมออยู่นอกฝั่งริมโขดหินสีเทาก้อนมหึมาห่างเกาะกาหลงประมาณสองไมล์ เล่าเปาะหยีเจ้าของเรือวัยกลางคนเป็นชาวมาเลย์เชื้อสายจีนรูปร่างสูงใหญ่ ผมหวีเรียบแปล้ หัวเถิกเป็นง่ามถ่อ หนวดดก เคราขึ้นหร็อมแหร็ม ตาเล็กเรียวยาวแต่ดูเฉียบคมคล้ายนัยตาเหยี่ยว กำลังยกกล้องส่องทางไกลเล็งไปทางเรือเร็ว "รัญจวนใจ" ที่จอดอยู่ริมหาดทรายเว้าหน้าเกาะกาหลง แล้วค่อยๆเล็งส่ายไปบนฝั่งเลื่อนขึ้นไปที่ศาลเจ้ากุหลาบไฟ เลื่อนลงมาที่กระท่อม แล้วเลื่อนส่ายต่อไปยังเนินเขาอีกลูกหนึ่ง จากมุมที่เรือตังเกจอดทอดสมออยู่นั้น สามารถมองขึ้นไปบนฝั่งเห็นได้ชัดเจนพอสมควร เขาลดกล้องลงแล้วหันมาสั่งชายร่างกำยำที่ยืนอยู่ข้างกาย
"สุข...เดี๋ยวเอาเรือเล็กลง ข้าจะขึ้นฝั่งเอาพวกเราไปอีกสามคน เครื่องมือครบทุกคนด้วยนะโว้ย" เขาสำทับ
"ครับ"
สุขหรือทองสุขหนุ่มหุ่นบึ้กร่างกำยำ ผิวดำเป็นมันเลื่อมรับคำพร้อมเดินผละจากสะพานเดินเรือลงไปที่ดาดฟ้าด้านล่าง สักครู่เรือเล็กก็ถูกหย่อนลงทางกราบขวาเรือ ชายฉกรรจ์หนุ่มลูกเรืออีกสามคนล้วนร่างกายสันทัดทะมัดทะแมงท่าทางทรหดผิวคล้ำสำเนียงพูดคล้ายชาวพม่าหรือมอญก็เตรียมพร้อมลงเรือ ทั้งห้าคนมีอาวุธครบมือพร้อมที่จะปฏิบัติการโหดได้ตลอดเวลา
เรือเล็กเคลื่อนตัวห่างออกจากเรือตังเกอย่างรวดเร็วมุ่งเข้าหาฝั่งตรงไปทางเรือเร็ว "รัญจวนใจ" ที่จอดสงบนิ่งอยู่ริมหาด เมื่อเรือเล็กเข้าจอดเทียบข้างเรือเร็ว พลันลูกเรือประมงลูกน้องของเล่าเปาะหยีคนหนึ่งก็กระโดดขึ้นไปบนเรือเร็ว เขาเข้าไปตรวจค้นภายในเรืออย่างรวดเร็ว สักครู่ก็โผล่หน้าออกมารายงานเจ้านาย
"ไม่มีคนบนเรือเลยครับนาย..พวกมันขึ้นบนฝั่งกันหมด" มันรายงาน
"สุข..เอ็งขึ้นฝั่งกับไอ้มินอ่อง ไปค้นที่กระท่อมและที่ศาลให้ทั่ว เสร็จแล้วไปพบข้าที่ปากทางเข้าถ้ำกาหลง" เล่าเปาะหยีสั่งทองสุข
"ถ้าเจอมันจะให้ผมจัดการเลยไหมครับเจ้านาย" ทองสุขถามเพื่อความแน่ใจ
"ต้องดูท่าทีมันก่อน เจ้าของเรือลำนี้ข้ารู้จักพ่อมันดี เป็นคนจริง ถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องใช้อาวุธ มันมากันหลายคน ข้าต้องการรู้เพียงว่ามันมาค้นหาทางไปถ้ำกาหลงหรือเปล่าเท่านั้น" เล่าเปาะหยีบงการ
"ครับเจ้านาย ไปกันเถอะมินอ่อง"
ทองสุขพูดพร้อมยกมือตบหลังหนุ่มเมียนม่าเบาๆ ทั้งคู่กระโดดลงจากเรือเล็กเดินลุยน้ำขึ้นฝั่งตรงดิ่งไปที่กระท่อมชาวประมงร้างนั้นทันที
อาวุธประจำกายเตรียมพร้อมอยู่ในมือทั้งสองคน
เล่าเปาะหยีเป็นมะลายูเชื้อสายจีน เกิดในเมืองไทยเป็นเจ้าของเรือประมง ค้าของเถื่อน ยาเสพติด น้ำมันเถื่อน ลักลอบนำแรงงานเถื่อนเข้าเมือง เป็นเอเย่นต์ค้าสาวข้ามแดน โดยเฉพาะเขาคือหนึ่งในเครือข่ายโยงใยค้ายาเสพติดของภาคใต้ ธรรมดาเขาจะไม่ปรากฏตัวให้ใครเห็นบ่อยนัก เขาจะเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาตามแนวตะเข็บชายแดนไทย มาเลย์เซีย พม่า เขมร ญวน และตามแถบฝั่งจังหวัดชายทะเลของไทย ชื่อไทยของเขาคือ นายโอฬาร เล่าระบือนาม มีหน้าฉากเป็นพ่อค้าส่งออกสินค้าหลายประเภท นั่นเป็นเพียงฉากบังโฉมหน้าที่แท้จริงเท่านั้น เพราะสินค้าที่ส่งออกทุกรายการจะมียาเสพติดซุกซ่อนปะปนไปอยู่ด้วยเสมอ
ถ้ำกาหลงเป็นแหล่งหนึ่งในหลายแหล่งที่เป็นโกดังเก็บของที่มิดชิด ซึ่งเดิมเป็นถ้ำของพวกโจรสลัดมาเป็นเวลาช้านานแล้ว ปัจจุบันโกหลกเชื้อสายคนหนึ่งของโจรสลัดเดิม เป็นผู้ควบคุมและมีอิทธิพลเหนือดินแดนหมู่เกาะแถบนี้ เพราะฉะนั้นโกหลกและเล่าเปาะหยีจึงเป็นหุ้นส่วนสำคัญที่แยกกันไม่ออก ต้องพึ่งพาอาศัยกันและกันอยู่ตลอดเวลา
โดยที่เกาะกาหลงเองเป็นเกาะร้างไม่มีผู้คนอาศัย และด้วยกิตติศัพท์ของอาถรรพ์จากกรณีคนหายในคืนเดือนเพ็ญและอิทธิฤทธิ์ของศาลเจ้ากุหลาบไฟ จึงไม่เป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว เดิมทีถ้ำกาหลงนั้นเป็นแหล่งซุกซ่อนเก็บสมบัติของพวกโจรสลัด ต่อมาโจรสลัดได้ถูกปราบปรามแตกกระจายกันไป ทรัพย์สมบัติจึงถูกย้ายที่ซ่อน ลายแทงสมบัติที่ทำขึ้นสองฉบับก็ถูกเปลี่ยนมือจนถึงคนรุ่นหลานรุ่นเหลน จากคนของสองตระกูลซึ่งปัจจุบันแทบจะไม่รู้จักกันเลย
และก็บังเอิญเหลือเกินที่ลายแทงฉบับหนึ่งได้ตกไปอยู่ต่างแดน โดยติดไปกับคนของตระกูลหนึ่งซึ่งเป็นลูกเรือเดินทะเลของบริษัทเดินเรือนอร์เวย์และเสียชีวิตระหว่างเดินทางบนเรือสินค้าชื่อ "เพร็ทเทรล" ของโอลาฟ กุลลิคเซ่น ผู้ซึ่งเป็นบิดาของฮันส์ กุลลิคเซ่น และเป็นปู่ของแอนนามารี
ด้วยเหตุที่ลายแทงมีตัวหนังสือเป็นอักษรไทย โอลาฟจึงได้ให้ลูกหลานเล่าเรียนภาษาไทยจนแตกฉาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอนนามารีเธอถูกส่งมาเรียนจนจบมัธยมที่กรุงเทพมหานคร ก่อนที่จะกลับไปเรียนต่อที่กรุงออสโลจนจบมหาวิทยาลัย เธอทำงานให้กับบริษัทของตระกูลที่สำนักงานใหญ่ ณ ประเทศนอร์เวย์ จนกระทั่งบิดาของเธอพักร้อนเดินทางมาเที่ยวประเทศไทย เกิดสูญหายไปโดยไร้ร่องรอย แม้ทางสถานทูตนอร์เวย์จะประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่ของไทยเพื่อทำการค้นหามากว่าสองเดือนแล้วก็ตาม
แอนนามารีซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวที่พูดภาษาไทยได้จึงตัดสินใจเดินทางมาตามหาบิดาของเธอที่ประเทศไทย โดยพี่ชายของเธอได้ฝากฝังเธอกับเพื่อนสนิทคือปีเตอร์ ทอปป์แห่งสถานทูตนอร์เวย์ประจำประเทศไทย และบังเอิญเหลือเกินที่ปีเตอร์ ทอปป์ผู้นี้ก็คือเพื่อนซี้ย่ำปึ้กของนายจ้อนหรือนายจรจรัล แจ้งขนานชลนั่นเอง
***************
ฟิลลิปเริ่มกระสับกระส่ายเมื่อเปลวไฟจากไฟแช็กในมือของสายัณห์ดับวูบลง เขาสังเกตเห็นว่าขณะนั้นท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม แสงแดดอ่อนแสงลง ท้องฟ้าสลัว ลำแสงสีแดงของดวงอาทิตย์ส่องทะลุก้อนเมฆที่เริ่มบดบังอยู่ทางทิศตะวันตก
นับเป็นยามอาทิตย์อัสดงที่งดงามมาก !
สายัณห์พยายามจุดไฟแช็กซ้ำอีกแต่ไม่เป็นผลเพราะปรากฏว่าแก๊สหมด
"ใครมีไม้ขีดบ้าง" สายัณห์ร้องถาม
"เสียใจว่ะไม่มีใครสูบบุหรี่เลย คุณแอนน์ล่ะมีหรือเปล่าครับ" จ้อนตอบพร้อมทั้งหันไปถามแอนนามารี
"ไม่มีค่ะ แต่แอนน์มีไฟฉายอันเล็กพกมาด้วย อยู่ในกระเป๋านี่ค่ะ" แอนนามารีพูดพลางล้วงมือลงไปในกระเป๋าสะพาย ควักเอาไฟฉายขนาดจิ๋วส่งให้ชายหนุ่ม
"ผมว่าเรากลับไปที่เรือก่อนดีกว่า นี่จวนมืดแล้วนะ" เสียงฟิลลิปพูดอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เมื่อเห็นไม่มีใครสนใจคิดที่จะเดินทางกลับ
ไม่มีใครตอบฟิลลิปเลยสักคนเดียว จ้อนเปิดไฟฉายเดินนำหน้าเข้าไปในถ้ำ ตามติดด้วยคนสองคู่ คู่แรกคือโซ้ดกับแอนนามารี คู่หลังคือสายัณห์กับฟิลลิป ลำแสงจากไฟฉายสาดส่องไปยังริมคูหาถ้ำทั้งสองฝั่ง เห็นผนังถ้ำมีน้ำซึมไหลย้อยเป็นทางลงมาต้องแสงไฟฉายเป็นประกาย บางจุดแสงสะท้อนเป็นสีรุ้งงดงามมาก ทางเดินคดเคี้ยวไปมา
จนกระทั่งถึงที่หนึ่งเป็นทางแยกซ้ายและขวา เนื่องจากมีไฟฉายเพียงกระบอกเดียว จ้อนจึงตัดสินใจพาชาวคณะเดินไปทางซ้าย เขาเดินนำทางไปด้วยความระมัดระวังทุกฝีก้าว เพราะไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นมาอีก หลังจากที่วันนี้พบเห็นแต่เรื่องตื่นเต้นมาตลอดทั้งวัน พ้นทางแยกมาอีกสองโค้งตามทางคดเคี้ยวนั้น จ้อนต้องหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่เหมือนถูกมนต์สะกด
ภาพปรากฏเบื้องหน้าของพวกเขานั้น มีแท่นหินสีขาวนวลขนาดใหญ่เหมือนหินอ่อน ที่บนแท่นหินมีหีบยาวคล้ายหีบศพ ที่ผนังถ้ำด้านหลังเหนือหีบนั้น มีภาพเขียนเป็นรูปชายชราผมขาว หนวดขาว สวมเสื้อชุดราชปะแตน นุ่งผ้าม่วงใส่ถุงน่องรองเท้าเต็มยศ มีหรีดดอกไม้แห้งแขวนขนาบข้างภาพนั้นอยู่สองพวง ตรงซอกข้างแท่นหินอ่อนสีนวลนั้น มีทางเดินเล็กๆเข้าไปแลดูสะอาดตา จ้อนส่องไฟฉายเข้าไปข้างใน เห็นเป็นห้องเล็กๆ มีของเป็นห่อน้อยใหญ่วางซ้อนเป็นชั้นๆอยู่เต็มห้อง
"คงเป็นถ้ำเก็บศพคนโบราณ ไม่รู้ว่าเป็นใคร" จ้อนเอ่ยขึ้น
"น่าจะเป็นเจ้าของถ้ำนี้ เอ...แต่ตามที่รู้มา ประวัติเกาะนี้ไม่เคยปรากฏว่ามีผู้คนเคยอาศัยอยู่เลยนี่นา" โซ้ดในฐานะผู้เชี่ยวชาญเกาะนี้มากกว่าผู้ใดพูดขึ้นบ้าง
"หรือจะเป็นเมืองลับแลอย่างที่สายัณห์มันว่า" จ้อนเอ่ยขึ้นอีกอย่างเลื่อนลอยคล้ายคนตกอยู่ในอำนาจลึกลับ
"อืม..ม หรือว่าเมืองลับแลจริงๆ" สายัณห์คล้อยตาม
"อะไร..เมืองลับแลอะไรกัน" ฟิลลิปถามด้วยความสงสัย
"อ้าว..ก็เมืองที่อยู่คนละภพกับเราไง" สายัณห์บอก
"คนละภพยังไง ไม่เข้าใจ" ฟิลลิปยังงง
"ก็เมืองที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เราค้นพบโดยบังเอิญโดยผ่านปากถ้ำเข้ามานะซี" สายัณห์อธิบาย
"โอ..มายก้อด นี่เราอยู่อีกโลกหนึ่งหรือนี่" ฟิลลิปคราง
"คงอย่างนั้นแหละ" สายัณห์แกล้งตอบให้ฟิลลิปเชื่อหนักเข้าไปอีก
"แล้วเราจะออกไปได้ไหมนี่"
"ได้ซิ แต่ก็ต่อเมื่อเจ้าของเขาอนุญาต หรือว่าคุณทำอะไรผิด" สายัณห์บอก
"ทำผิด"
"ใช่ เช่นพูดโกหก"
"เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าของเขาจะอนุญาตให้เราอยู่หรือกลับ" หนุ่มสวิสซัก
"เดี๋ยวยูก็รู้เอง" จ้อนว่า "ว่าแต่ว่ายูไม่อยากเห็นคนสวยหรือ เมืองลับแลนี้มีแต่ผู้หญิงสวยๆทั้งนั้นเลยนะ"
"พูดเป็นเล่นไป" ฟิลลิปชักเริ่มรู้ตัวแล้วว่าถูกเพื่อนหลอก
"จริง..ถ้าที่นี่คือเมืองลับแลจริงๆ ถ้ำนี้ก็คือถ้ำลับแล เราอาจเป็นพวกแรกที่ค้นพบทางเข้าสู่นครลับแลอันลี้ลับก็ได้" จ้อนบอก
"ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยพาผมไปพบชาวเมืองลับแลเลยดีกว่า" ฟิลลิปผสมโรง
"ไม่ได้หรอก คุณต้องพิสูจน์ว่าคุณเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาดไร้มลทิน ไม่มีประวัติด่างพร้อยเลยในชีวิต คุณจึงจะมีโอกาสเข้าสู่นครลับแลได้ โดยเฉพาะคนกิเลสหนาอย่างพวกเราไม่มีทางได้เข้าไปเมืองลับแลหรอก" จ้อนอธิบายส่งเดชไปอย่างนั้นเอง
"อ้อ..ถ้าอย่างนั้น...." ฟิลลิปพูดค้าง
"ใช่..ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันดีกว่า" จ้อนสรุป
"ผมอยากได้ยินพวกคุณพูดคำนี้มานานแล้ว" ฟิลลิปเอ่ยขึ้นอย่างรู้สึกโล่งอกในที่สุด
"โอเค...ฟิลลิป เราพอกันแค่นี้ กลับกันเถอะ" จ้อนพูดพร้อมหันกระบอกไฟฉายส่องกลับไปตามทางเดิมที่เข้ามา
จ้อนเดินนำทางพาพรรคพวกออกจากถ้ำมาตามทางเดิม โดยไม่ได้แวะไปอีกทางแยกหนึ่งที่ยังไม่ได้ไปสำรวจ เขาคาดว่าเที่ยวหน้าจะสำรวจถ้ำลึกลับนี้ให้ครบทุกซอกทุกมุม
เมื่อออกมานอกปากถ้ำแล้ว จ้อนขอร้องให้ทุกคนช่วยกันเอาท่อนซุงงัดก้อนหินใหญ่ก้อนนั้นปิดปากถ้ำไว้ดังเดิม เสร็จแล้วจึงเดินผ่านลานหินมาที่กระท่อม เลยผ่านลงมาที่ชายหาด ปีนขึ้นเรือ แล้วโซ้ดก็ทำหน้าที่ขับเรือย้อนกลับโดยแวะไปส่งสายัณห์ที่เกาะเต่าก่อนที่จะเลยกลับไปเกาะขนาน
ถึงเกาะขนานต่างก็แยกย้ายกันกลับที่พัก นอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย หลังจากที่ได้ผจญภัยอันระทึกใจตื่นเต้นมาแล้วตลอดทั้งวัน
***************
เมื่อวันที่ : ๐๕ เม.ย. ๒๕๕๐, ๒๑.๕๔ น.
โล่งใจจังที่คลาดแคล้วกับกลุ่มคนร้ายได้....