![]() |
![]() |
กาบแก้ว![]() |
...เหมือนเทพเจ้าจะได้ยิน ลมแรงพัดซู่กราวใหญ่ พัดพาเอาใบไม้ ฝุ่นผงทรายปลิวว่อนเป็นวงคลุ้งอยู่ตรงหน้าศาลเจ้ากุหลาบไฟบริเวณรูปสลักเรือโบราณนั้น...
ตอน : เกาะกาหลง
บ่ายวันนั้นเองทุกคนก็กลับมายังเรือเร็วรัญจวนใจอีกครั้ง โดยมีสายัณห์เป็นผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง โซ้ดพาเรือแล่นฉิวตรงลิ่วฝ่าคลื่นน้ำแตกกระจายมุ่งไปยังเกาะกาหลงอันเป็นจุดหมายปลายทาง เกาะกาหลงอยู่ห่างจากเกาะเต่าประมาณสามสิบกิโลเมตรซึ่งเป็นระยะทางพอๆกันกับเกาะขนานไปเกาะเต่า หน้าผาสูงชันของเกาะกาหลงแลเห็นโดดเด่น คลื่นลูกใหญ่สาดซัดชะง่อนหินหน้าผาอยู่โครมครืนเสียงดังสนั่นก้องไปไกลโซ้ดบังคับเรือเป็นวงโค้งอ้อมไปด้านหลังหน้าผา ซึ่งเป็นหาดทรายค่อนข้างเรียบคลื่นลมสงบบางเบา แต่เสียงคลื่นซัดหน้าผายังคงดังก้องให้ได้ยินอยู่ตลอดเวลา ทุกคนจับเบาะพนักพิงเกร็งแน่นอยู่ตลอดเวลาด้วยความตื่นเต้นถึงแม้จะมีชูชีพสวมรัดแน่นกันอย่างมั่นคงแล้วก็ตาม แอนนามารีนั้นมีท่าทีตื่นตะลึงกับคลื่นลูกโตที่เรือแล่นตัดผ่านจนเรือลอยหล่นลงกระแทกผืนน้ำ เสียงพื้นท้องเรือกระทบน้ำทะเลดังตั้บ..ตั้บ..ๆ..ตลอดเวลาจนดูน่ากลัว โดยเฉพาะฟิลลิปสีหน้าไม่สู้ดีเอาเสียเลย ส่วนผู้ที่ไม่มีท่าทีรู้สึกรู้สมก็เห็นจะมีโซ้ดแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เพราะใบหน้าของเขาอ่านยากเหลือเกิน
โซ้ดทอดสมอเรือที่ข้างโขดหินสีเทา ทั้งหมดลุยน้ำเดินขึ้นสู่ชายหาด พื้นทรายช่วงนี้ขาวสะอาดหาดทรายเว้าเป็นอ่าวเข้าไป มีเส้นทางเล็กๆค่อนข้างรก เต็มไปด้วยหญ้าใบแห้งพริ้วลมไสวอยู่สองข้างทางที่ลาดตามเนินขึ้นสู่ศาลเจ้ากุหลาบไฟ ซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบตอนบนด้านหลังหน้าผาสูงชันนั้น มองจากริมหาดจะแลเห็นศาลรูปทรงคล้ายเก๋งจีนสร้างด้วยหินฉาบปูนตั้งเด่นอยู่บนเนิน ที่หน้าศาลมีรูปสลักหินเป็นรูปกุหลาบดอกใหญ่พร้อมก้านใบมีหนามแหลม กลีบกุหลาบทาด้วยสีแดงแจ้ดเห็นชัดแต่ไกล
ทั้งหมดเดินไปหยุดยืนพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างทางก่อนขึ้นเนิน เพื่อหลบร่มยามบ่ายซึ่งแดดร้อนจ้าแผดเผาจนมองเห็นไอแดดพลิ้ว หากแต่มีลมเย็นพัดผ่านมาเป็นระยะ
ที่ข้างศาลกุหลาบไฟด้านขวามือไม่ไกลนัก มีเนินเขาอีกลูกหนึ่งเต็มไปด้วยหินก้อนใหญ่น้อยซ้อนเหลื่อมกันเรียงราย แลเห็นต้นไม้สูงขึ้นอยู่ทั่วไป เสียงร้องโหยหวนของชะนีป่าและนกป่าดังอยู่เป็นช่วงๆแต่ไกล ข้างทางมีกระท่อมชาวประมงร้างตั้งอยู่ ดูเหมือนจะไม่มีผู้คนเลยบนเกาะนี้ กระรอกวิ่งไล่กัน 3-4 ตัวบนกิ่งไม้ต้นถัดไปส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวสนุกสนาน
ฟิลลิปหนุ่มชาวสวิสยืนตัวแข็งทื่ออยู่หลังสายัณห์ เขาเป็นคนแรกที่เหลือบไปเห็นงูหลามตัวเขื่องพันอยู่บนกิ่งไม้เหนือหัวบนต้นไม้ที่ทั้งหมดยืนหลบแดดกันอยู่ เขาเอื้อมมือสะกิดสายัณห์พลางชี้มือขึ้นไปข้างบน สายัณห์เหลือบขึ้นไปมองตามมือของฟิลลิป เขาอ้าปากค้าง เพราะที่ปากงูมีร่างลิงตัวน้อยกำลังถูกกลืนไปครึ่งตัว
"คุณแอนน์อย่ามองขึ้นไปบนต้นไม้นะครับ...ทุกคนค่อยๆเดินตามผมมาก็แล้วกัน" สายัณห์เอ่ยบอกทุกคนโดยพยายามทำสำเนียงให้ดูตื่นเต้นน้อยที่สุด
ทั้งหมดค่อยๆเดินถอยห่างออกมาจากใต้ต้นไม้โดยอัตโนมัติ ไม่มีใครกล้าแหงนขึ้นไปมองบนต้นไม้ตามคำของสายัณห์ หลังจากที่ถอยห่างออกมาพอสมควร ทุกคนต้องตกตะลึงพรึงเพริด เพราะขณะที่ก้าวถอยออกมาอย่างช้าๆนั้น โซ้ดค่อยๆเหลือบขึ้นไปมองบนกิ่งไม้
ในทันทีที่เห็นงูหลามตัวนั้นกำลังขยอกลิงน้อย โซ้ดก็พุ่งตัวกระโจนไปที่ต้นไม้พร้อมกับกระชากมีดคมกริบออกจากเอว งอเข่าสปริงตัวขึ้นโหนกิ่งไม้ใหญ่ด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวาที่กำมีดก็จ้วงแทงไปที่กลางลำตัวของงูยักษ์จนมิดด้าม แต่มือของโซ้ดยังกำด้ามมีดแน่นพร้อมกับกระชากมีดกลับจากร่างงูยักษ์ในขณะที่มันกำลังสะบัดตัวคลายหล่นจากกิ่งไม้ใหญ่ลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง โซ้ดปล่อยมือโดดตามลงมาตระหวัดมีดไปบนลำตัวงูยักษ์นั้นอีกหลายครั้ง แล้วจึงกระโดดขึ้นคร่อมร่างเหยียดยาวที่กำลังดิ้นเร่าๆอยู่นั้น เกล็ดสีเหลืองปนดำของมันสะท้อนแสงแดดเป็นมันแวววาว
โซ้ดเอามือซ้ายจับปากงูด้านบนที่กำลังขยอกลิงน้อยไว้ มีดคมกริบจ่อกรีดอย่างบรรจงตามร่องขากรรไกรของปากงูยักษ์ ผ่าตามยาวจนพ้นร่างลิงน้อย เลือดแดงฉานไหลนองโคนต้นไม้ งูใหญ่สิ้นฤทธิ์ ร่างเหยียดยาวดิ้นกระตุกอยู่ชั่วครู่แล้วจึงแน่นิ่ง โซ้ดค่อยๆเอามือประคองร่างลิงน้อยออกมาจากปากงู ตัวมันเปียกโชก เขาอุ้มมันไปวางไว้ที่บนก้อนหินใต้ร่มไม้ มันทำตาปริบๆ หายใจรวยริน ตัวสั่นเทา
เหตุการณ์ทั้งสิ้นเกิดขึ้นรวดเร็วมากจนทุกคนแทบไม่ได้กระพริบตา นับว่าการตัดสินใจของโซ้ดเป็นไปอย่างฉับไว ทันควัน แม่นยำ และสามารถควบคุมสถานะการณ์ไว้ได้ทันท่วงที
แอนนามารีช่วยโซ้ดเอาผ้าเช็ดร่างลิงน้อย จนตัวแห้งดีแล้วจึงเอาผ้าห่มคลุมร่างมันไว้พร้อมกับอุ้มเจ้าตัวน้อยขึ้นมากอดแนบไว้กับอกเพื่อให้ความอบอุ่นจนมันหายตัวสั่น เธอเหลียวมองไปรอบๆเพื่อหาพ่อแม่ของมัน
ที่ยอดไม้สองต้นห่างออกไปจ้อนมองเห็นกิ่งไม้ไหวโอนยวบยาบ ได้ยินเสียงร้องเจี๊ยกๆอยู่ไกลๆ จ้อนเดินนำหน้าพาแอนนามารีเดินไปทางเสียงนั้น พอไปใกล้ที่ใต้ต้นไม้เขาบอกให้เธอวางเจ้าลิงน้อยที่ตอนนี้หายตัวสั่นแล้วไว้บนคาคบไม้ต้นเดียวกับที่ลิงสองตัวบนต้นไม้ส่งเสียงร้องเรียกอยู่
พอทั้งจ้อนและแอนนามารีถอยห่างออกมาสักครู่ ลิงสองตัวบนต้นไม้ก็ค่อยๆไต่ลงมาอย่างรวดเร็วเจ้าตัวที่ท่าทางคล้ายเป็นแม่กระโดดกอดอุ้ม เจ้าตัวน้อยรัดคอแม่มันแน่นด้วยความดีใจ ครู่เดียวมันก็พากันห้อยโหนหายลับไปทางดงไม้ทึบทางเขาอีกลูกที่มีหินน้อยใหญ่ซ้อนสลับดงไม้หนาทึบอยู่เรียงราย
ฟิลลิปอกสั่นขวัญแขวนกับเหตุการณ์ครั้งนี้มาก เพราะเขาเป็นคนแรกที่เห็นเหตุการณ์โดยไม่คลาดสายตาเลย เขาหน้าซีดเผือดตัวเย็นเฉียบ เหงื่อแตกพลั่กยืนโงนเงนคล้ายๆจะเป็นลม สายัณห์ซึ่งยืนอยู่ใกล้ปราดเข้าประคองร่างของเขาไว้ก่อนที่จะล้มลงฟาดกับพื้น สายัณห์พาร่างปวกเปียกนั้นไปเอนกายลงบนก้อนหินใหญ่ พอได้สติฟิลลิปก็ระล่ำระลักด้วยความตื่นเต้นสุดขีด
"งู...งูกำลังกลืนลิงทั้งตัว บรู๊..ว..ว..ว์ น่ากลัวมาก..ก..ก" เขาพูดเหมือนคนละเมอ
"งูมันคอยดักหาอาหารน่ะ ธรรมชาติของมัน" โซ้ดพูดด้วยใบหน้าปกติ
"ยังไงก็น่ากลัวอยู่ดี" ฟิลลิปคราง
"นี่ก็เป็นครั้งแรกของแอนน์เหมือนกัน ที่เห็นเหตุการณ์ต่อหน้าต่อตาเช่นนี้" แอนนามารีพูดขึ้นบ้าง
สำหรับแอนนามารีนั้น แม้ว่าเธอจะตกตะลึงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เธอก็ไม่ได้กลัวถึงขนาดหมดสติหรือร้องแรกแหกกระเฌอ อาจเป็นเพราะว่าเธอเป็นผู้หญิงคนเดียวที่อยู่ในหมู่ชายหนุ่มฉกรรจ์ซึ่งสามารถปกป้องเธอได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น โดยเฉพาะนายโซ้ดหนุ่มร่างสันทัดบึกบึนนัยน์ตาดุคนนั้น เธอรู้ดีว่าเขาพร้อมที่จะกระโจนออกปกป้องเธออยู่ตลอดเวลา หรืออาจเป็นเพราะว่าเธอมีสายเลือดไวกิ้งอยู่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เป็นได้
"เราไปต่อกันเถอะ ขึ้นไปดูที่ศาลซิว่ามีร่องรอยอะไรบ้าง"
โซ้ดออกปากชวน พูดจบก็ออกเดินนำหน้าขึ้นไปตามทางเล็กลาดชันนั้น
***************
ณ ศาลเจ้ากุหลาบไฟ
แท่นบูชาตั้งอยู่หน้าดอกกุหลาบที่แกะสลักจากหินชนวนทาสีแดงเพลิงมองดูร้อนแรงท่ามกลางแสงแดดยามบ่าย บนแท่นบูชามีกระถางธูปและเชิงเทียนรูปมังกรคู่พันกัน ใกล้ๆแท่นบูชามีรูปปั้น ช้าง ม้าและปลาฉลามวางอยู่เรียงราย ที่แปลกหน่อยก็คือมีรูปแกะสลักเรือไวกิ้งโบราณลำหนึ่ง เป็นไม้เนื้อแข็งแกะสลักเก่าคร่ำคราบดำจับเต็มไปหมดทั้งลำ ยาวประมาณสามฟุต แต่แปลกที่แท่นรองรับเรือกลับกลายเป็นหินแกรนิตแกะสลักลวดลายรูปเถาก้านดอกกุหลาบพันกันโดยรอบ ทั้งเรือและแท่นหินแกรนิตถูกยึดติดกันด้วยแท่งเหล็กแน่นหนามั่นคง จึงแลดูเสมือนประหนึ่งเรือไวกิ้งตั้งผงาดหันหน้าออกสู่ทะเลลึก ราวกับพร้อมที่จะโจนทะยานโผคลื่นอยู่ทุกขณะ
แอนนามารียืนตลึงมองรูปสลักเรือไวกิ้งด้วยความสนใจ ใบหน้าแสดงความพิศวงอย่างเห็นได้ชัด !
สักครู่เธอก็เดินตรงไปที่รูปสลักเรือไวกิ้งลำนั้น ลงนั่งคุกเข่าก้มหน้าทำความเคารพ ดวงตาเพ่งมองตรงไปยังเรือโบราณแน่วนิ่ง
"ข้าแต่เทพเจ้าโอดิน...ผู้ยิ่งใหญ่"
เธอกล่าวเป็นภาษานอร์วีเจี้ยนโบราณซึ่งไม่มีผู้ใดเข้าใจ
"ข้าขอวิงวอนให้ท่าน...จงนำฮันส์ กุลลิคเซ่นผู้หลงทาง..กลับคืนสู่แผ่นดินแม่แห่งทะเลเหนือด้วยเถิด"
เหมือนเทพเจ้าจะได้ยิน ลมแรงพัดซู่กราวใหญ่ พัดพาเอาใบไม้ ฝุ่นผงทรายปลิวว่อนเป็นวงคลุ้งอยู่ตรงหน้าศาลเจ้ากุหลาบไฟบริเวณรูปสลักเรือโบราณนั้น แอนนามารีก้มลงคำนับอีกครั้งหนึ่ง ค่อยๆลุกเดินถอยห่างออกมา ครู่เดียวลมก็หยุดหมุน เธอยืนสงบนิ่งหันหน้าตรงออกสู่ทะเลลึก ดวงใจของเธอพลันนึกถึงท้องทะเลเหนืออันไกลโพ้น ณ บ้านเกิดเมืองนอนของเธอ ภาวนาขอให้เทพเจ้าโอดินผู้ยิ่งใหญ่ จงช่วยบันดาลให้บิดาของเธอกลับคืนสู่ถิ่นเดิมซึ่งอยู่ห่างไกลแสนไกล
"เรือโบราณลำนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรคะคุณจ้อน" เธอหันมาถามจ้อน
"ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน ครั้งแรกที่ผมเคยมาที่ศาลนี้ก็เห็นมีอยู่ก่อนนานแล้ว" จ้อนตอบพลางหันไปทางโซ้ด
"ลองถามโซ้ดดีกว่าเขาอาจรู้เรื่องราวของตำนานศาลนี้ดี"
"ว่ายังไงคะคุณโซ้ด มีประวัติความเป็นมาของเรือลำนี้หรือเปล่า" เธอถามนายสดใสด้วยสีหน้าวิงวอนอยากรู้
"มีครับมีตำนานโบราณเล่าสืบต่อกันมาว่า นานมาแล้วครั้งดึกดำบรรพ์มีเรือไม้โบราณลำใหญ่ คล้ายเรือลำนี้แล่นผ่านมา จอดทอดสมอที่อ่าวหน้าหาดนี้ เป็นชาวตะวันตกรูปร่างสูงใหญ่ นำเอาศพของหัวหน้าของพวกเขามาทำพิธีฌาปนกิจโดยเผาศพบนแพลอยน้ำที่ตรงหน้าหาดทราย ก่อนจากไปได้นำเรือสลักจำลองลำนี้ พร้อมด้วยรูปแกะสลักกุหลาบไฟขึ้นมาตั้งไว้บนแท่นหินใหญ่บนเนินเขานี้ ตรงที่ตั้งอยู่ตรงปัจจุบันนั่นแหละครับ" โซ้ดเล่าตำนานยืดยาวอย่างละเอียด
"ต่อมามีพวกเรือสำเภาจีนแวะหลบมรสุมผ่านมา เห็นมีรูปสลักดอกกุหลาบและเรือโบราณตั้งเด่นเป็นสง่าไม่กลัวพายุ จึงพากันเลื่อมใสสร้างศาลขึ้นทางด้านหลัง เพื่อเซ่นไหว้บูชา โดยได้เอาสีแดงมาทากลีบกุหลาบให้ด้วย จึงกลายเป็นประเพณีให้ชาวเรือได้นับถือเซ่นไหว้กันต่อมาและบนบานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ช่วยให้รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง" โซ้ดเล่าต่อให้ทุกคนได้เห็นภาพอย่างถนัดชัดเจน
แอนนามารีน้ำตาซึม เธอคิดไกลไปถึงกษัตริย์ไวกิ้งโบราณ ที่เอาชีวิตมาทิ้งยังดินแดนอันไกลโพ้น ถึงแม้ว่าจะได้ทำพิธีศพอันสมเกียรติชายชาตินักรบก็ตาม เธอไม่เคยนึกเลยว่าจะมีชาวไวกิ้งเดินทางมาไกลถึงเพียงนี้ อาจเป็นเพราะหลงทาง หรือด้วยวิญญาณนักสำรวจรุ่นแรกก็ตามที นี่ก็คือการค้นพบประวัติศาสตร์การเดินเรือครั้งสำคัญ แม้จะไม่ทราบชื่อเสียงและประวัติ หากแต่บทพิสูจน์อันนี้ แสดงให้เห็นว่าชาวไวกิ้งคือนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง
"ทุกวันนี้ใครก็ตามที่แล่นเรือผ่านมาบริเวณนี้ จะต้องแวะขึ้นมาคารวะศาลเจ้ากุหลาบไฟเสมอ หรือใครจะบนบานขอสิ่งใดก็มักจะได้สมตามความปรารถนา ถือว่าศาลนี้มีความศักดิ์สิทธิ์มาก" นายโซ้ดของเราเล่าต่อเพราะรู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร ด้วยเขาว่าคนในตระกูลของเขา เล่าสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว
"แต่บรรดาผู้ที่เคยมาเกาะนี้ ไม่มีใครกล้าอยู่นานถึงยามวิกาลเลยสักคน เพราะชาวบ้านเคยเล่าให้ฟังว่า ในคืนเดือนเพ็ญมักมีเหตุการณ์ประหลาดหากใครขึ้นมาบนเกาะในยามนั้น มักจะหายสาบสูญไปทุกคน มีชาวเรือโดนกันมาหลายรายแล้ว จนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วในหมู่เกาะแถวนี้"
"แล้วอยู่ดีๆคนทั้งคนจะหายไปเฉยๆได้อย่างไร" ฟิลลิปตั้งข้อสงสัย
"อ้าวก็ดูแต่ลิงน้อยตัวเมื่อกี้นี้ซิยังเกือบหายไปทั้งตัว" จ้อนว่า
"เออ....ท่าจะจริงของเอ็งโว้ย อาจมีงูเหลือมยักษ์รอเขมือบเราอยู่แถวนี้ก็ได้" สายัณห์เห็นด้วย
"ทางที่ดี...ควรระมัดระวังตัวกันหน่อยนะพวกเรา" จ้อนเตือน
"ผมว่าพวกเรากลับกันก่อนดีกว่านะ" ฟิลลิปกล่าวเชิงขอร้องกลายๆด้วยสีหน้าเป็นกังวลอย่างไรชอบกล
"ความจริงพวกเราเสียเวลามากันแล้วก็ควรที่จะสำรวจให้ทั่วเกาะ" สายัณห์ต่อรอง
"โอเค...อีกสักสองชั่วโมงเราค่อยกลับ" จ้อนว่า
"แต่นี้ต่อไปคงต้องระวังตัวทุกฝีก้าวนะ ทุกคนเกาะกลุ่มกันไว้ดีที่สุด" สายัณห์เตือน
ทั้งหมดเดินสำรวจดูรอบศาลเจ้ากุหลาบไฟแต่ไม่กล้าเดินไปในที่รกทึบ โดยเฉพาะบริเวณเนินเขาอีกลูกที่มีหมู่ก้อนหินใหญ่น้อยกระจายอยู่ทั่วไป รกร้างมาก ต้นไม้ขึ้นหนาแน่น ดูรกชัฏน่ากลัว เมื่อเดินดูรอบแล้วไม่เห็นมีสิ่งใดผิดปกติ จึงพากันเดินลงมายังกระท่อมชาวประมงที่อยู่เบื้องล่าง
ภายในกระท่อมร้างของชาวประมงนั้นไม่ได้ดูรกร้างเสียทีเดียว ที่แปลกก็คือมีร่องรอยการหุงต้มอาหาร เพราะมีฟืนถูกเผาอยู่ในเตาหินก้อนเส้า แสดงว่ามีผู้มาใช้เตานี้เมื่อไม่นานมานี้เอง เพราะรอยไหม้ของฟืนยังดูไม่เก่ามากเท่าไหร่ ดุ้นฟืนก็ดูไม่เก่าจนผุกร่อน มีจานสังกะสีสองใบ กะละมังสองใบแก้วน้ำถูกล้างคว่ำไว้เป็นที่เป็นทางดูเรียบร้อย ที่แปลกมากอีกอย่างก็คือที่หิ้งข้างฝาใกล้ประตูกระท่อมมีกระป๋องเก่าใบเขื่องสนิมขึ้นเต็ม ภายในกระป๋องมีตัวหมากรุกบรรจุอยู่ครบชุด จ้อนหยิบตัวหมากรุกเหล่านั้นขึ้นมาพลิกดูด้วยความสนใจ
"ต้องมีคนมาใช้กระท่อมนี้แน่ๆเลย" จ้อนเอ่ยขึ้น
"คงทำครัวด้วย ดูจัดเก็บจานชามเรียบร้อยเชียว" สายัณห์ตั้งข้อสังเกต
"กระทะกับหม้อเหล็กทั้งสองใบยังดูดีอยู่เลย แปลกจริงๆ อาจเป็นพวกเรือประมงแวะผ่านมา" จ้อนว่า
"ข้าว่าน่าจะเป็นพวกเรือที่บังเอิญหลบมรสุมมา หรือไม่ก็พวกที่มาแก้บน" สายัณห์ออกความเห็น
"เฮ้...พวกเราออกมาดูนี่หน่อยซิ" เสียงของโซ้ดตะโกนเรียกมาจากหลังกระท่อมร้าง เพราะเขาสำรวจรอบนอกกระท่อมอยู่กับแอนนามารี
จ้อน สายัณห์และฟิลลิป รีบพรวดพราดออกมาจากกระท่อมชาวประมงนั้น ทันทีที่ได้ยินเสียงโซ้ดร้องเรียก ซึ่งทั้งสามคาดเดาเอาเหมือนกันว่าอาจมีอะไรตื่นเต้นเกิดขึ้นอีกแน่ๆ แต่เมื่อออกไปถึงที่ทั้งสองยืนอยู่ โซ้ดก็คือโซ้ดคนเดิมที่ตีหน้าเฉย ชี้มือให้ดูทางเดินเล็กๆ ที่พุ่งตรงหายไปทางพุ่มไม้รกทึบด้านหลังกระท่อม ทางเดินเล็กๆนั้นเหมือนกับมีร่องรอยคนหรือสัตว์ใช้เป็นประจำ ดูทางเดินแม้เป็นทางเก่าก็ดูลึกลับยังไงชอบกล ผิดกับทางที่ขึ้นไปสู่ศาลเจ้ากุหลาบไฟ
"เฮ้ยจ้อน...เอ็งดูทางเดินนี่สิ เป็นทางเดินของคนหรือสัตว์แน่วะ" โซ้ดถามจ้อนเพื่อขอความเห็น
"อื..ม..มอาจเป็นได้ทั้งสองอย่างโว้ย" จ้อนตอบ "ข้าว่าเหมือนทางคนเดินมากกว่าว่ะ"
"ดูเหมือนมันหายไปหลังพุ่มไม้นั่น เราตามไปดูไหม ข้าว่ามันอาจมีอะไรผิดปกติก็ได้" สายัณห์ว่าพร้อมเอ่ยชวน
"ผมว่าเรากลับกันก่อนเถอะ วันหลังค่อยมาดูใหม่ นี่ก็บ่ายมากแล้วเดี๋ยวมืดค่ำจะลำบาก" ฟิลลิปพูดขึ้น
"เอาน่าไหนๆก็ไหนๆแล้วเราตามไปดูกันหน่อย ไม่ได้เสียหายอะไรนี่นา" โซ้ดเอ่ยสนับสนุนสายัณห์
"ฟิลลิป..ยูไม่ควรกลัวโดยไร้เหตุผล เรามากันตั้งหลายคน" สายัณห์ว่า
"อย่าลืมซิว่าคืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงฟูลมูนไน้ท์" ฟิลลิปแย้งสีหน้ายังกังวลเหมือนเดิม
"เอาน่าเพื่อน พระจันทร์ยังไม่ขึ้นสักหน่อย กลัวไปได้" สายัณห์พูดยิ้มๆ และนึกขันในใจ เพราะเขาไม่เคยเห็นฝรั่งกลัวมากขนาดนี้มาก่อน
"ตามผมมาเถอะฟิลลิป ไม่เห็นน่ากลัวเลย" พูดจบสายัณห์ก็ลากแขนฟิลลิปให้เดินตามชาวคณะตรงไปยังหลังพุ่มไม้นั่น
***************
ทางเดินเล็กๆนั้นตรงผ่าเข้าไปกลางพุ่มไม้ ดิ่งเป็นแนวตรงสู่ช่องทางแคบๆระหว่างต้นไม้ขนาดใหญ่สองต้น ช่องทางเล็กมากพอเดินลอดได้ทีละคน หลังจากหลุดพ้นมาหลังต้นไม้นั่นเองชาวคณะทั้งหมดก็แลเห็นแท่นหินแบนเรียบรูปเกือบเป็นสี่เหลี่ยมวางเทินอยู่บนก้อนหินขนาดย่อมมองดูคล้ายโต๊ะ มีหินอีกสี่ก้อนวางอยู่โดยรอบทั้งสี่ด้านเหมือนเป็นเก้าอี้นั่ง ที่แปลกก็คือตรงกลางแผ่นหินแบนเรียบที่เป็นโต๊ะมีรอยขีดหรือสกัดพอเห็นชัดเป็นตารางเหมือนตาหมากรุก บริเวณโดยรอบเป็นลานหินกว้าง
"สงสัยตรงนี้จะเป็นลานสำหรับเล่นหมากรุก" จ้อนให้ข้อสังเกต
"ข้าเห็นมีตัวหมากรุกครบชุดอยู่ในกระท่อม"
"พวกนี้คงเป็นพวกคนเมืองลับแลมั้ง..ข้าว่า" สายัณห์พูดขึ้น
"เอ็งก็พูดส่งเดช สายัณห์" จ้อนติงเพื่อน
"เราไปกันต่อเถอะสุดทางแล้วค่อยกลับ"
พูดจบโซ้ดก็เดินนำทางต่อโดยเดินอ้อมวนลานหินไปทางด้านหลังซึ่งสองข้างทางยังคงเป็นพุ่มไม้รกทึบ เสียงสัตว์ป่าน้อยใหญ่และหมู่นกยังกู่ร้องสลับกันดังก้องอยู่เป็นระยะๆเหมือนเดิม
***************
เมื่อวันที่ : ๒๐ มี.ค. ๒๕๕๐, ๑๖.๐๑ น.
สวัสดีค่ะ ลุงปิง....มาแจ้งว่าติดตามอ่านอยู่นะคะ....เดี๋ยวได้โอกาสเหมาะ ๆ จะเข้ามาส่งเสียงมากกว่านี้ค่ะ....