![]() |
![]() |
กาบแก้ว![]() |
ชายหนุ่มหัวใจหล่นวูบคล้ายจะหยุดเต้น เขาเคยมีอาการอย่างนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง นานหลายปีจนเขาเกือบลืมมันสนิทถึงความรู้สึกเช่นนี้...
ตอน : ลิขิตเส้นขนาน
ทะเลบ้าพายุซ้ำกระหน่ำซัดฟ้ามืดจัดมองดูมิรู้หน
ชะง่อนหินริมเกาะร้างกลางสายชล
พี่จำทนเร้นอยู่แต่ผู้เดียว
*******************
ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนบนหาดทรายด้วยความอ่อนเพลีย เงาจากยอดมะพร้าวบดบังแสงแดดยามเที่ยง ลมพัดจากทะเลเข้าหาฝั่งพาเอาระลอกคลื่นสาดซัดชายหาดเสียงดังเป็นจังหวะโครมครืนดุจเสียงเพลง ไอแดดผสานละอองน้ำทะเลทำให้ผิวสีน้ำตาลเข้มของชายหนุ่มเกรียมไหม้จนเกือบดำ กางเกงชาวเลสีดำมอตัวเก่งขมวดแน่นรอบเอวเหมือนเช่นทุกวัน ผมหยิกหยักศกปลิวล้อลม เสื้อกล้ามสีเทาเผยให้เห็นความแกร่งของกล้ามเนื้อทั้งช่วงอกและลำแขนอันบึกบึน ใบหน้าคมคายสมส่วนของเขามีแววเด็ดเดี่ยวแต่มองดูคล้ายระคนไปด้วยความเศร้าลึกๆซ่อนอยู่ภายใน เขาค่อยๆปิดเปลือกตาลงเหมือนจะงีบหลับหลังจากออกทะเลตกปลามาแล้วกว่าครึ่งวัน
"พี่จ้อน.....วู้....พี่จ้อน" เสียงกู่เรียกชื่อของเขาจากทิวมะพร้าวริมโขดหินไกลพอได้ยิน
"พี่จ้อน.....วู้....พี่จ้อน" เสียงเดิมกู่เรียกซ้ำ
ชายหนุ่มผินหน้าไปทางเสียงเรียกพร้อมกับลืมตาดู เขาแลเห็นภาพหญิงสาวสวมเสื้อสีฟ้า กางเกงบลูยีนส์ขาสามส่วน กำลังโบกมือผมยาวสลวยปลิวไสววิ่งมายังร่มมะพร้าวที่เขานอนอยู่ น่านนทีเพื่อนของจันทร์จิราน้องสาวของเขา หล่อนเพิ่งมาพักที่เส้นขนานรีสอร์ตเมื่อสองวันที่แล้วนี่เอง หล่อนเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของจันทร์จิราสมัยเรียนรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยที่ประเทศอังกฤษสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ขณะนี้หล่อนทำงานให้กับบริษัทข้ามชาติที่มีชื่อเสียงของกรุงเทพมหานคร หล่อนเดินทางลงมาก่อนล่วงหน้าจันทร์จิรา เพราะจันทร์จิราน้องสาวของเขาติดงานด่วนที่สำนักงานท่องเที่ยวของรีสอร์ตของครอบครัวที่กรุงเทพมหานคร ชายหนุ่มผลุดลุกขึ้นนั่งเอามือกอดเข่าหันหน้าไปทางที่หญิงสาววิ่งมา
"พี่จ้อน" น่านนทีเรียกชื่อเขาพร้อมเสียงหอบถอนหายใจ
"มีอะไรหรือน่าน" เขาถามพร้อมยิ้มล้อที่หล่อนวิ่งมาจนหอบ
"อ้าว...พี่จ้อนไม่ไปรับจันทร์ที่ท่าเรือเหรอ" หญิงสาวย้อนถามพร้อมขมวดคิ้วคล้ายสงสัย
"ตายละวา...ยายจันทร์ด่าพี่เสียคนแน่ถ้าขืนไปรับช้า" เขาพูดทำตาเบิกโพลง
"นี่กี่โมงแล้วล่ะน่าน เรือเข้าบ่ายโมงครึ่ง"
ชายหนุ่มนึกโมโหตัวเองที่ลืมสนิทเพราะมัวเอาแต่พาลูกค้าไปหาแหล่งตกปลาจนเพลิน
"บ่ายโมงพอดีจ๊ะพี่จ้อน" น่านนทีตอบพร้อมกับดูนาฬิกาที่ข้อมือ
"เฮ้อ...ยังพอมีเวลาไปรับได้สบายๆ" จรจรัลหรือนายจ้อนถอนหายใจโล่งอก
ชายหนุ่มเดินกลับมาพร้อมกับหญิงสาวยังเส้นขนานรีสอร์ต ที่ตั้งอยู่บนปลายแหลมของเกาะขนานซึ่งเป็นเกาะสองเกาะเล็กๆรูปเรียวยาวขนานกันเหมือนดังชื่อเกาะ เวลาน้ำลงสามารถเดินข้ามถึงกันได้อย่างสบาย แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาที่น้ำขึ้นต้องอาศัยเรือเล็กพาข้าม
น่านนทีนั่งคู่ไปกับชายหนุ่มบนรถจี๊ปสีบรอนซ์ทองจากเส้นขนานรีสอร์ตตรงไปยังท่าเรือเกาะขนานซึ่งอยู่ปลายแหลมอีกด้านหนึ่งของเกาะเพื่อรับจันทร์จิราที่รีบเดินทางกลับมายังเกาะขนานเพื่อสมทบกับเพื่อนรักที่ข้ามมารออยู่ก่อนแล้ว จ้อนและน่านนทีไปถึงขณะที่เรือเร็วโดยสารขนาดสามสิบที่นั่งกำลังเข้าจอดเทียบท่าเรือเกาะขนานที่ชาวบ้านเรียกกันว่าท่าขนานพอดี
ทั้งจันทร์จิราและน่านนทีกระโดดเข้าสวมกอดจูงมือถือแขนกันด้วยความดีอกดีใจ เพราะทั้งคู่เป็นเพื่อนซี้ที่รักกันมาก เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นมัธยม แม้ไปเรียนต่างประเทศก็ยังไปเรียนที่เดียวกัน เด็กหนุ่มที่ท่าเรือสองคนซึ่งเป็นคนของเส้นขนานรีสอร์ตกุลีกุจอช่วยนายจ้อนของพวกเขาขนสัมภาระที่จันทร์จิราหอบหิ้วข้ามมาด้วยทั้งกระเป๋า เป้ กล่องและลังกระดาษหลายใบจนเต็มรถจี๊ป มีหญิงสาวอีกสองคนมาพร้อมกับจันทร์จิราซึ่งนายจ้อนไม่เคยเห็นหน้าหรือรู้จักมาก่อน ชายหนุ่มรู้สึกเขินไปถนัดเมื่อน้องสาวแนะนำให้เขารู้จักเพราะทั้งคู่หน้าตาสะสวยหมดจด โดยประทินโฉมด้วยเครื่องสำอางเพียงบางเบา ทั้งสองสาวสวมชุดเดินทางด้วยกางเกงขาสั้นและเสื้อแขนกุดเผยให้เห็นผิวพรรณผ่องขาวนวลใยและทรวดทรงองค์เอวถนัดตา
"พี่จ้อน..นี่เรวดี..นี่สุภาวิไลเพื่อนจันทร์เพิ่งกลับจากแอล.เอ.ทำงานอยู่ที่....." หล่อนเอ่ยชื่อบริษัทฟายแนนซ์ข้ามชาติชื่อดังที่เข้ามาซื้อกิจการและเทคโอเว่อร์ธุรกิจเงินทุนที่ล้มระเนระนาดหลายแห่ง
"เร...สุ...นี่พี่ชายสุดที่รักของเรา"
"สวัสดีค่ะพี่จ้อน" ทั้งคู่เอ่ยขึ้นและยกมือไหว้เกือบพร้อมกัน
"สวัสดีครับ เกาะขนานยินดีต้อนรับ"
ชายหนุ่มหันไปทางเด็กหนุ่มสองคนที่ช่วยยกของและกวักมือเรียก
"วันนี้ของเต็มรถจี๊ปเลย แดงกับเล็กมีที่นั่งพอสำหรับลูกค้าเราหรือเปล่าเที่ยวนี้"
"พอครับ" แดงตอบ
"มีลูกค้าฝรั่งไปพักที่รีสอร์ตเรากี่คนวันนี้"
"สิบแปดคนพอดีครับ" เด็กหนุ่มที่ชื่อเล็กตอบ
"แบ่งกันนั่งไปก็แล้วกันปิ๊คอัพตั้งสองคัน เออ..วันนี้ลูกค้าเยอะพอใช้ได้ ส่งลูกค้าเสร็จแล้วไปพบพี่ที่ออฟฟิสหน่อยนะทั้งสองคน"
"ครับพี่"
ทั้งคู่รับคำพร้อมกับแยกย้ายกันเดินนำลูกค้าทั้งหมดไปยังรถปิ๊คอัพขับเคลื่อน 4 ล้อทั้งสองคัน
ท่าเรือท่าขนานคราคร่ำไปด้วยผู้คนทั้งชาวเกาะ พ่อค้า แม่ค้าและนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศซึ่งจะมาแน่นเกือบทุกเที่ยวเรือที่เข้าเทียบท่าไม่ว่าจะมาจากชุมพร สุราษฎร์ธานี ดอนสัก เกาะสมุย เกาะพะงัน หรือแม้แต่เกาะเต่าและเกาะนางยวนซึ่งอยู่ไม่ห่างไกลกันเท่าใดนัก เพราะว่านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งฝรั่งชาวตะวันตกและชาวตะวันออกเช่นญี่ปุ่น เกาหลี เป็นต้น เริ่มจะเบื่อกับความที่ไม่เป็นธรรมชาติของสถานที่ท่องเที่ยวชื่อกระฉ่อนโลกและเกาะแก่งต่างๆ เพราะได้มีการนำเอาสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลายแหล่เข้าไปทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมถึงระบบนิเวศน์ทั้งหมดไปพร้อมๆกันโดยไม่รู้ตัวหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือด้วยความสะเพร่ามักง่ายเห็นแก่ได้ของคนบางพวกบางเหล่า แม้ทางการและสื่อต่างๆจะพยายามชี้ให้เห็นโทษของการทำลายสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์วิทยาก็หาคนที่สนใจอย่างจริงจังและอุทิศตนเพื่อธรรมชาติส่วนรวมได้น้อยมาก
กำนันใจเด็ด แจ้งขนานชล กำนันตำบลเกาะขนานผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในการอนุรักษ์ธรรมชาติแบบหัวชนฝา จะไม่ยินยอมให้นักท่องเที่ยวหรือชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเกาะทิ้งถุงพลาสติกหรือขยะมีพิษทุกชนิดลงบนเกาะโดยเด็ดขาดหากมีการนำเข้ามาโดยไม่รู้ก็ให้นำติดตัวออกไปด้วยทุกคนในตอนขากลับ ผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกส่งออกนอกเกาะทันทีที่เรือเที่ยวต่อไปออกเดินทางจากเกาะขนาน
ด้วยความสวยงามมีเสน่ห์อันเป็นธรรมชาติ
ทั้งบนเกาะและใต้ท้องทะเล
เกาะขนานจึงเป็นที่หมายตาของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก !
***************
คืนนั้นที่เส้นขนานรีสอร์ต จ้อนได้จัดให้มีซีฟู้ดบาร์บีคิวปาร์ตี้ต้อนรับลูกค้านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและต้อนรับเพื่อนของน้องสาวที่น่ารักทั้งสามคนเป็นพิเศษ จันทร์จิราลอบสังเกตดูพี่ชายของหล่อนอย่างละเอียด เพราะมีจันทร์จิราเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ว่าอะไรคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้พี่ชายสุดที่รักคนเดียวของหล่อนต้องกลับมาจมปลักอยู่บนเกาะเป็นเวลานานอย่างนี้ จันทร์จิราอยากให้พี่ชายของหล่อนมีความสุข หล่อนเห็นเขาเดินเคลียคลอไปพร้อมกันกับเพื่อนสาวทั้งสามคนของหล่อน คอยพูดคุยและต้อนรับแขกลูกค้าต่างชาติอย่างมีความสุข เธอรู้ว่านี่คืองานที่พี่ชายของเธอทำด้วยใจรักและความสุขที่ได้สัมผัสล้นเปี่ยมไปด้วยความหมายที่มีค่าที่สุดในชีวิตมนุษย์อันพึงมีและหาได้ในแต่ละบุคคลซึ่งไม่เหมือนกันทุกคนไป แล้วแต่ว่าใครผู้ใด จะชอบสิ่งไหน ปรารถนาสิ่งใดในชีวิต สำหรับจันทร์จิรานั้น เธอปรารถนาที่จะให้พี่ชายได้พบรักใหม่เพื่อรักษาแผลใจในอดีต ที่ทำให้เขาต้องหนีหน้าจากสังคมเมืองกรุง หลบมาอยู่ที่นี่ อันความรักนั้นแท้จริงแล้วอาจให้ทั้งสุขและทุกข์ได้ในเวลาเดียวกัน ตราบใดที่โลกยังเปรียบเสมือนละครโรงใหญ่ แต่ละชีวิตต้องโลดแล่นไปตามบทละครแห่งชีวิต ไม่สามารถที่จะหลีกหนีพ้นไปได้
"Hey, John come here and join us."
เสียงตะโกนเรียกชื่อ John หรือนายจ้อนจากโต๊ะริมหาดข้างเตาบาร์บีคิว ผู้เรียกเป็นชายชาวต่างชาติชาวสวิสที่จ้อนรู้จักดี
"I would like you to meet someone special."
จ้อนขอตัวผละจากสี่สาวเดินตรงไปยังโต๊ะของฟิลลิปเพื่อนชาวสวิสที่เข้ามาเปิดกิจการดำน้ำ Diving บนเกาะขนานกว่าสองปีแล้ว ฟิลลิปพูดไทยได้คล่องพอสมควรแม้จะติดสำเนียงชาวยุโรปอยู่บ้าง
"Hi, Phillip มีอะไรหรือ" จ้อนเอ่ยทักเมื่อเดินไปถึงโต๊ะ
"ผมอยากให้คุณรู้จักกับแอนนามารี เธอเพิ่งมาถึงตอนบ่ายวันนี้เอง"
ฟิลลิปบอกพร้อมกับหันหน้าไปทางสาวผมบลอนด์ที่นั่งอยู่ทางขวามือ
"Annamarie นี่คือคุณ John เพื่อนรักของผมเขาเป็นเจ้าของรีสอร์ตที่นี่" เขาเอ่ยแนะนำเป็นภาษาไทย "จ้อน...นี่แอนนามารี"
"สวัสดีค่ะคุณจ้อน ยินดีที่รู้จักค่ะ"
แอนนามารีเอ่ยทักทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งเพราะเธอพูดภาษาไทยได้ชัดถ้อยชัดคำ
"สวัสดีครับคุณแอนนามารี เกาะขนานยินดีต้อนรับครับ" จ้อนกล่าวต้อนรับในฐานะเจ้าภาพ
"มีอะไรให้ผมรับใช้ยินดีนะครับ"
"ขอบคุณมากค่ะ ที่นี่อากาศดีมาก" เธอพูดดวงตาสีฟ้าเป็นประกาย
"ครับ..ฤดูนี้อากาศสดชื่นที่สุด แม้กลางวันจะร้อนไปสักหน่อย กลางคืนจะอากาศดีมาก" ชายหนุ่มกล่าวพลางจ้องดูดวงตาสีฟ้าคู่นั้นอย่างสนใจ
"อาหารเป็นอย่างไรบ้างครับ ของทะเลสดๆทั้งนั้นเลยวันนี้ ไม่ต้องเกรงใจนะครับคุณแอนนามารี" จ้อนกล่าวด้วยความจริงใจ
"เรียกแอนน์เฉยๆก็ได้ค่ะ แอนนามารีดูเป็นพิธีการและยาวไป เหมือนอย่างชื่อจ้อนสั้นและดูน่ารักดีด้วยค่ะ" เธอกล่าวเพื่อพยายามที่จะทำตัวให้เป็นกันเองกับเขา
"ครับคุณแอนน์"
"อาหารอร่อยมากเลยค่ะ ของโปรดทั้งนั้นเลยด้วย" น้ำเสียงเธอจริงใจ
"ยินดีที่คุณชอบ วันนี้มีทั้งกุ้ง หอย ปู ปลา" เขาพูดอย่างภูมิใจ
"ปลาเผานี่อร่อยมาก น้ำจิ้มรสเด็ดดีเหลือเกิน มีอะไรยัดไส้มาในตัวปลาด้วยคะ กลิ่นหอมจัง" เธอพูดพร้อมใช้ซ่อมจิ้มปลาเข้าปาก
"อ๋อ..ก็มีตะไคร้ ใบมะกรูดแล้วก็ใบโหระพา ชาวเกาะที่นี่ชอบมาก ช่วยดับกลิ่นคาวด้วย กุ๊กที่นี่เป็นชาวเลโดยแท้เลยครับ"
"อร่อยมากเลยค่ะ มิน่าล่ะกุ๊กชาวเลนี่ฝีมือเยี่ยมจริงๆ" แอนนามารีกล่าวชมอย่างจริงใจในรสชาดอาหารและการบริการที่เป็นยอดของเส้นขนานรีสอร์ต
"เกาะขนานไม่ได้มีดีเฉพาะธรรมชาติงดงามเพียงอย่างเดียวนะครับ"
"ยังมีอะไรดีอีกค่ะ" แอนนามารีถามอย่างอยากรู้
"นอกจากชื่นชมกับความงามของธรรมชาติทั้งบนบกและในน้ำใต้ท้องทะเลแล้ว ที่เกาะขนานนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสอาหารจากธรรมชาติทั้งวิธีปรุงและรสชาดอาหารโดยไม่มีสิ่งแปลกปลอมเป็นธรรมชาติจริงๆ นี่คือเสน่ห์ที่แท้จริงของเกาะขนาน" ชายหนุ่มถือโอกาสโฆษณาเกาะไปพร้อมกัน
"นี่เองที่ทำให้นักท่องเที่ยวต่างมุ่งมาเกาะขนานเพื่อสัมผัสธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง" หญิงสาวคล้อยตาม
จ้อนเพลินมองใบหน้าหวานคมมีเสน่ห์ ตาสีฟ้ากลมโต ขนตางอน จมูกโด่งเชิดเป็นสันรับกับใบหน้า ยิ่งยามเธอยิ้มด้วยแล้วดูราวกับดอกไม้บานครารับอรุณ ชายหนุ่มนั่งนิ่งมองใบหน้าสาวผมบลอนด์เหมือนเคลิ้มอยู่ในภวังค์ แอนนามารีรู้สึกเขินเมื่อเห็นชายหนุ่มจ้องหน้าเธอนิ่งอยู่อย่างนั้น
"คุณจ้อนคะ" เธอเรียกชายหนุ่ม
"ครับ"
"หน้าแอนน์มีอะไรผิดปกติหรือคะ"
"ขอโทษ...ผมนี่เสียมารยาทมากที่จ้องมองหน้าคุณแอนน์เพลินไป"
"สงสัยว่าจ้อนเขาจะเริ่มหลงเสน่ห์คุณแล้วล่ะแอนน์"
เสียงฟิลลิปเย้าอยู่ข้างๆ ทำเอาแอนนามารีซึ่งเขินอยู่แล้วหน้าแดงด้วยความขวยอาย
"ฟิลลิป ยูชอบพูดเล่นอยู่เรื่อย"
จ้อนแกล้งติง ทั้งที่ในใจเขาเริ่มรู้สึกว่าฟิลลิปพูดถูก
"หรือไม่จริง" หนุ่มสวิสถามคล้ายจะตอกย้ำ
"ไม่เอาน่าฟิลลิป เดี๋ยวคุณแอนน์เขาอายแย่" จ้อนว่า
ฟิลลิปนิ่งบ้าง เขามองหน้าจ้อนอย่างกับว่าอยากจะมองให้ทะลุเข้าไปภายในหัวใจของชายหนุ่ม
"คุณจ้อนค่ะ" เสียงหญิงสาวเรียกเขาอีก
"มีอะไรหรือครับ" เขาหันมาถาม
"จุดประสงค์ที่แอนน์มาที่นี่ ก็เพื่อมาตามหาคุณพ่อของแอนน์นะค่ะ"
"คุณพ่อคุณมาพักที่นี่หรือครับ" จ้อนถาม
"ใช่ค่ะ ท่านมาที่นี่ แต่หายตัวไปอย่างลึกลับ" แอนนามารีตอบ
"คุณพ่อคุณหายไป"
"ค่ะ"
"ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ"
"ท่านหายตัวไปเกือบสองเดือนแล้ว" เธอบอก
จ้อนสังเกตเห็นว่าหน้าเธอเศร้าหมองลงทันทีเมื่อพูดถึงพ่อของเธอ
"ครั้งสุดท้ายมีคนพบท่านที่เกาะเต่า" แอนนามารีพูดต่อ
"ขอโทษท่านชื่ออะไรครับ" ชายหนุ่มถามด้วยความสนใจ
"ฮันส์ค่ะ....มร. ฮันส์ กุลลิคเซ่น เป็นชาวนอร์เวย์ ผมขาวเป็นสีดอกเลา พูดภาษาไทยได้คล่องเกือบพอๆกับคุณฟิลลิปนี่แหละ" เธอพูดพร้อมกับอธิบายลักษณะ
"ฮันส์ กุลลิคเซ่น" ชายหนุ่มทวนคำ ขมวดคิ้วคล้ายกำลังอยู่ในความคิด
"เอ้อ...อีกอย่างหนึ่งค่ะ ที่ข้อมือข้างซ้ายท่านมีรอยสักเป็นรูปสมอเรือบนดอกกุหลาบสีแดง เห็นเด่นชัดมาก" เธอบอกรอยตำหนิที่สังเกตง่ายของผู้เป็นบิดา
"เอ...ผมรู้สึกว่าจะเคยพบเครื่องหมายแบบเดียวกันนี้ที่ไหนสักแห่ง ขอผมนึกดูก่อนนะ" จ้อนทำท่าตรึกตรองครุ่นคิด
"เคยเห็นที่ไหนหรือคะ" แอนนามารีถามท่าทางเหมือนจะดีใจ
"แต่บนข้อมือแบบนี้ผมไม่เคยพบเลย เอาไว้ผมจะช่วยคุณหาอีกแรงหนึ่งนะครับ" เขาพูดพร้อมกับยื่นมือไปยังหญิงสาวเพื่อให้สัญญา
"ขอบคุณมากเลยค่ะ"
แอนนามารีกล่าวพร้อมกับยื่นมือออกมาสัมผัสแน่นด้วยความยินดี
"ทำไมคุณถึงอยากพบผมล่ะครับ คุณแอนน์"
ประโยคนี้เขาน่าจะถามเธอแต่แรกตอนฟิลลิปแนะนำให้เธอรู้จักกับเขาแล้ว
"มีคนที่สถานทูตนอร์เวย์แนะนำให้มาหาคุณที่นี่" แอนนามารีตอบ
"คุณคงหมายถึงปีเตอร์ ท็อปป์ใช่ไหมครับ"
"ค่ะ คุณปีเตอร์เป็นเพื่อนกับพี่ชายของแอนน์ เขาบอกว่าคุณจ้อนกับเขาเป็นเพื่อนรักกัน โดยเฉพาะคุณจ้อนอยู่ใกล้กับบริเวณที่มีคนพบคุณพ่อของแอนน์เป็นครั้งสุดท้าย อาจช่วยได้มาก"
"เขาโทรศัพท์มาบอกผมตั้งแต่เมื่อคืนวานนี้ ว่าจะมีคนมาขอความช่วยเหลือจากผม เขาบอกให้ผมช่วยให้ความสะดวกเต็มที่ แต่ไม่นึกว่าจะเป็นคุณ" จ้อนบอกหล่อนตามความจริง
"แต่คุณก็ได้รับปากที่จะช่วยทั้งๆที่แอนน์ยังไม่ได้บอกว่า ทางสถานทูตโดยคุณปีเตอร์แนะนำมา"
"อาจเป็นเพราะว่าชะตาเราต้องกันก็เป็นได้" ชายหนุ่มกล่าวพลางจ้องหน้าหญิงสาวเจ้าของดวงตาสีฟ้าราวกับจะอ่านความในใจ
"ค่ะ" แอนนามารีรับคำ "ชะตาเราต้องกันหรืออาจเป็นเพราะฟ้าลิขิต"
ชายหนุ่มหัวใจหล่นวูบคล้ายจะหยุดเต้น เขาเคยมีอาการอย่างนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง นานหลายปีจนเขาเกือบลืมมันสนิทถึงความรู้สึกเช่นนี้ เขาเพิ่งจะพบหล่อนเมื่อไม่กี่นาทีนี้เองเป็นไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ เขาเอื้อมมือไปกุมมือเธอไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว จ้องใบหน้าหญิงสาวแน่วนิ่ง
"ผมยินดีช่วยคุณเต็มที่"
"ขอบคุณค่ะ"
จ้อนนึกถึงปีเตอร์ ท็อปป์ แห่งสถานทูตนอร์เวย์ เพื่อนรักของเขาซึ่งเป็นหนุ่มนอร์วีเจี้ยนคบหากันตั้งแต่สมัยเรียนวิชาเดินเรือที่กรุงออสโลมาด้วยกัน ภายหลังจากแต่งงานปีเตอร์ได้กลับไปเรียนเพิ่มเติมทางการทูตต่อจนสำเร็จตามคำขอร้องของภรรยาของเขาที่ไม่อยากให้เขาดำเนินอาชีพทางเดินเรือเพราะต้องจากบ้านไปนานครั้งละหลายเดือนบางครั้งไปเป็นปี ขณะนี้ปีเตอร์ถูกส่งมาประจำอยู่ที่สถานทูตนอร์เวย์ประจำประเทศไทยที่กรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้ปีเตอร์กลายเป็นแฟมิลี่แมนที่สมบูรณ์ ผิดกับเขานายจ้อนที่ยังเป็นหนุ่มโสดที่ยังไม่ลงตัวในการวางรากฐานทางครอบครัวเสียที
จ้อนแนะนำแอนนามารีให้รู้จักกับจันทร์จิราน้องสาวของเขาและเพื่อนทั้งสามของหล่อน ซึ่งแอนนามารียินดีมากที่มีเพื่อน ทั้งหมดโอภาปราศรัยกันอย่างถูกคอ ความสัมพันธ์กระชับมั่นอย่างรวดเร็ว ยิ่งเมื่อทั้งสี่สาวได้รู้ว่าแอนนามารีกำลังมาตามหาผู้บังเกิดเกล้าที่หายสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอยตั้งแต่เมื่อสองเดือนที่แล้ว ก็ทำให้พวกเธอกลับเพิ่มความเห็นอกเห็นใจหล่อนมากขึ้น จ้อนและฟิลลิปปล่อยให้ห้าสาวคุยกันจนงานเลิก โดยจ้อนได้ให้สัญญาว่าจะช่วยแอนนามารีเริ่มต้นค้นหาบิดาของเธอตั้งแต่วันรุ่งขึ้นเป็นต้นไป ซึ่งกะกันไว้ว่าจะเริ่มค้นหาจากเกาะเต่าเป็นจุดแรก เพราะเกาะเต่าเป็นแหล่งที่มีผู้พบเห็นมร. ฮันส์ กุลลิคเซ่นเป็นครั้งสุดท้าย
***************
เมื่อวันที่ : ๑๔ มี.ค. ๒๕๕๐, ๑๓.๐๒ น.
เปิดซิงคอมเมนต์แรกเสียเลยหุๆ
บรรยายบรรยากาศได้ดีทีเดียวครับ แต่บางประโยคดูมันไม่ค่อยกลืน (อย่าโกรธนะครับ เพราะเป็นแนวคิดส่วนตัวที่อยากแนะนำ) คือ "คลื่นสาดซัดชายหาดเสียงดังเป็นจังหวะโครมครืนดุจเสียงเพลง" คำว่า "โครมครืน" เนี่ย มันค่อนข้างจะให้ความรู้สึกที่รุนแรงนะครับ แต่ถ้าเสียงเพลงนั้นมันรุนแรงตามก็คงจะไม่ว่ากัน
การใช้คำในส่วนอื่นตราตรึงทีเดียวครับ อ่านแล้วเคลิ้ม แต่ก็มาชะงักกึกที่ น่านนที "หล่อนเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของจันทร์จิราสมัยเรียนรัฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยที่ประเทศอังกฤษสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ" คนที่เรียนเมืองนอกเนี่ยไม่น่าจะใช้วิธีกู่เสียงนะครับ
ในตอนท้าย ก็บรรยายได้ถึงความงามของแอนนามารีชัดเจน ผมชักอยากจะมีเธออยู่ข้างกายเสียแล้วนะครับ
nine gems คอมเมนต์ให้โครมใหญ่หวังว่าคงไม่โกรธกันนะครับ เพราะรู้สึกชอบนิยาย จึงมีข้อเสนอแนะให้ชนิดเกือบไม่เกรงใจ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ด้วยมิตรไมตรี