![]() |
![]() |
รจนา ณ เจนีวา![]() |
...ข้าวสาลีในนางอกงาม ต้นสูงท่วมหัว แอปเปิ้ลในไร่ให้ลูกดกจนกิ่งทานน้ำหนักไม่ไหว ย้อยลงมากองอยู่ที่พื้นดิน...
ตอน : นักเรียนภาษาพาเพลิน (เก้า) - Le conte 2
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว (Il y a longtemps) ณ ขุนเขาอันไกลโพ้นยังมีพี่น้องคู่หนึ่ง ต่างทำไร่ไถนาทั้งคู่
พี่ชาย (le frère plus âgé) แต่งงานกับหญิงสาวในหมู่บ้าน
น้องชาย (le frère plus jeune) ก็แต่งงานกับหญิงสาวในหมู่บ้าน
เมื่อพ่อแม่ (les parents) ตายไป ก็ยกที่ดินให้พี่ชายกับน้องชายคนละผืน
พี่ชายได้ที่ดินด้านหน้าเขา น้องชายได้ที่ดินด้านหลังเขา
ที่ดิน (la terre) ของพี่ชายให้ผลผลิตที่งดงามในแต่ละปี ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ไม่เคยเจอกับความแห้งแล้ง (la sécheresse)
ข้าวสาลี (le blé) ในนาของพี่ชายงอกงาม ต้นสูงท่วมหัว
แอปเปิ้ล (les pommes)ในไร่ของพี่ชายให้ลูกดกจนกิ่งทานน้ำหนักไม่ไหว ย้อยลงมากองอยู่ที่พื้นดิน
แอปเปิ้ลแต่ละลูกใหญ่เท่าหม้อแกง ออกลูกเขียว เหลือง แดงงามจับตา
มันฝรั่ง (les pommes de terre) ที่ปลูกไว้ลูกใหญ่กว่าแอปเปิ้ล ไม่ว่าจะพลิกพื้นดินไปทางไหน ก็ได้แต่ผลมันฝรั่งมากมายไปหมด พื้นดินดูราวเป็นสีทองจากมันฝรั่งที่อุดมสมบูรณ์
วัว (les vaches) ที่เลี้ยงไว้ก็อ้วนพี แต่ละวันรีดนมได้หลายร้อยลิตร ไม่เคยมีโรค(บ้า)ภัยมาเบียดเบียน
หญ้าที่ทุ่งก็เขียวขจีเหมาะเป็นอาหารของวัวที่ยืนเคี้ยวเอื้องอย่างมีความสุขทุกวัน
ฐานะของพี่ชายรวยขึ้น รวยขึ้นทุกปี สุดท้ายปลูกบ้านหลังใหญ่บนเนิน เป็นบ้านที่สวยที่สุดในหมู่บ้าน
โรงนา (la ferme) ของพี่ชายเป็นโรงนาที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้าน คอกวัวของพี่ชายเป็นคอกวัวที่ใหญ่ที่สุด มีแต่แม่วัวพันธุ์ดี
พี่ชายกลายเป็นเศรษฐี (l'homme riche) ประจำหมู่บ้าน ผู้คนล้วนนับหน้าถือตา มีเรื่องอะไรก็จะมาปรึกษาท่านเศรษฐีผู้นี้
ส่วนน้องชายเล่า.....
น้องชายอยู่หลังเขา
ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล....ทุ่งหญ้าแห้งเป็นสีเหลืองหมอง ดูเศร้าสลดไปทุกหย่อมหญ้า
ต้นข้าวสาลียืนเฉาเพราะขาดน้ำ จะได้มีเมล็ดข้าวแม้สักเมล็ดก็หาไม่
แอปเปิ้ลที่ปลูกมีแต่กิ่งก้านและใบอันเหี่ยวแห้ง
แม่วัวยืนคอตก เต้านมเหี่ยวฟีบ...ไม่มีน้ำนมแม้สักหยดหนึ่ง
สองผัวเมียทำงานหว่านไถ สายตัวแทบขาด แต่ฟ้าดินจะปรานีก็หาไม่
สิ้นปีไม่มีข้าวสาลี สิ้นปีไม่มีแอปเปิ้ล สิ้นปีไม่มีมันฝรั่ง
โรงนาของน้องชายเป็นโรงนาที่ร้างที่สุด
น้องชายกลายเป็นคนจนที่สุดในหมู่บ้าน
วันหนึ่งภรรยาของผู้น้องชายบอกสามีว่า "เธอต้องไปขอความช่วยเหลือ (l'aide) จากพี่ชายของเธอแล้วหล่ะ ทำไมเขาไม่เคยมาดูดำดูดีเธอเลยนะ"
สามีผู้นอ้งคอตก ไม่อยากตากหน้าไปให้พี่ชายเห็น แต่ทนรบเร้าจากภรรยาไม่ไหว จึงยอมไปหาพี่ชายในที่สุด
น้องชายเดินออกจากบ้าน ข้ามภูเขา (les montagnes) ไปลูกแล้วลูกเล่า ข้ามลำธารหลายสาย ข้ามสะพานหลายแห่ง
สุดท้ายน้องชายเดินผ่านไร่ข้าวสาลีเหลืองอร่าม ต้นแอปเปิ้ลยักษ์มากมาย มันฝรั่งกองสูงบนพื้นดิน วัวอ้วนพีที่เคี้ยวเอื้องอย่างสุขารมณ์ น้องชายมองสิ่งทั้งหลายด้วยความทึ่งและความอัศจรรย์ใจ
น้องชายเดินไปหยุดหน้าบ้านหลังใหญ่....เคาะประตู (frapper sur la porte)
มีแม่บ้านคนหนึ่งเดินมาเปิด ถามว่า "มาหาใคร"
น้องชายบอกชื่อของพี่ชายไป แม่บ้านตอบว่า "อ๋อ ท่านไม่อยู่หรอก ท่านไปฮอลิเดย์กับภรรยาของท่านที่เมืองไทยน่ะ ยังไม่รู้จะกลับเมื่อไร"
น้องชายเมื่อได้ยินดังนั้นก็มิได้ถามอะไรอีก กล่าวคำลา แล้วก็หันหลังจากมา แล้วก็เดินขึ้นเขา ลงเขา ขึ้นเขา ลงเขา
จนในที่สุดก็กลับถึงบ้าน (Il est rentré)
ภรรยารออยู่แล้ว เมื่อได้ฟังข่าวจากสามี ก็ต่างกอดเข่าเศร้าใจไปด้วยกันทั้งคู่
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ ภรรยาก็บอกว่า "เราต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น (Nous devons déménager)"
เมื่อไม่มีทางเลือก (Sans choix) ทั้งสองก็เก็บข้าวของซึ่งมีอยู่เพียงเล็กน้อย พร้อมวัวผอม ๆ หนึ่งตัว หอบหิ้วกันไปข้ามเทือกเขา ลำธาร แม่น้ำ ลำคลองหลายสาย
ทั้งสองพากันเดินไป เดินไป เดินไป จนในที่สุด ได้เจอกระท่อมร้างเล็ก ๆ ปลายหมู่บ้านไกลสุดขอบฟ้าแห่งหนึ่ง ทุกอย่างดูอุดมสมบูรณ์ดี
ทั้งคู่ตกลงใจตั้งรกรากที่นี่
สามีออกไปพลิกพื้นดินเหมือนเคยทำมา ภรรยาทำงานอยู่ในบ้านและเลี้ยงวัวผอม ๆ ตัวนั้น สถานการณ์มิได้ดีขึ้น
ข้าวสาลีก็ยังไม่ยอมออกรวง แอปเปิ้ลก็มิยอมให้ผล มันฝรั่งก็ไม่มีแม้แต่สักหัว วัวผม ๆ ก็ยังผอมเหมือนเดิม
ทั้งสองรู้สึกสิ้นหวัง (Ils sont désperés)
วันหนึ่ง......สามีผู้น้องชายขุดดินอยู่รอบบ้าน
ทันใดนั้น จอบก็ไปกระทบอะไรอย่างหนึ่งแข็ง ๆ ใต้พื้นดิน
ผู้น้องชายขุดดินจนเป็นหลุมกว้าง....ก็เจอกับหีบเหล็กเก่า ๆ ใบหนึ่ง
น้องชายเปิดปากหลุมจนกว้างพอที่จะเปิดหีบเหล็กนั้นได้
ทันทีที่เปิดหีบเหล็กออก ก็มีชายคนหนึ่งกระโดดออกมา เขาแต่งตัวประหลาด ชายคนนั้นเหยียดแข้งเหยียดขา ปัดฝุ่นตามลำตัว บิดขี้เกียจแล้วก็พูดว่า
"เฮ้อ ในที่สุดก็ถึงเวรของฉันเสียที"
น้องชายผู้ล้มเหลวอ้าปากค้างมองดูชายคนนั้น แล้วในที่สุดก็ปล่อยคำถามออกมา
"คุณเป็นใครกันเนี่ย" (แม้แต่ชาวนาก็ยังรู้จักพูดจาอย่างสุภาพนะ)
ชายคนนั้นเพิ่งสังเกตเห็นน้องชายผู้พิศวง ยิ้มกว้าง เข้ามาตบไหล่น้องชายแล้วพูดว่า
"ผมเป็นใคร? อ๋อ ผมก็คือ "โชค (bonne chance)" ของคุณนั่นเอง"
"คุณน่ะหรือ? คุณจะนำโชคให้ผมได้อย่างไร?"
"ก็ไม่รู้หรอก แต่ว่าพอคุณขุดพบหีบที่ผมนอนอยู่ขึ้นมา ก็หมายความว่า ตัวโชคร้ายของคุณได้จากไปแล้ว"
"อย่างงั้นเหรอ"
"ใช่แล้ว" ชายผู้นำโชคของเขาตอบ แล้วก็กระโดดออกมาจากหีบ ก่อนจะปิดหีบดังปังใหญ่
"ทีนี้นะ" เขาพูด "คุณก็เอาดินกลบหีบนี้เสีย ต่อไปนี้ตัวโชคร้ายของคุณจะถูกขังไว้ในนี้ คุณอย่าได้กลับมาเปิดหีบนี้อีกทีเดียว"
แน่นอนว่า น้องชายผู้มึนงงของเราย่อมไม่รู้ว่าจะทำอะไร นอกจากทำตามคำบอกเล่าของ "โชค" ผู้คล่องแคล่วนั้น
เขาขุดดินฝังหีบคืนอีกครั้ง แล้วก็พา "โชค" กลับบ้าน เล่าเรื่องให้ภรรยาฟัง ทั้งคู่ตกลงให้ "โชค" นอนในเตียงเตียงเดียวที่มีอยู่ในบ้าน ส่วนตัวเจ้าของบ้านออกไปนอนที่พื้นนอกห้อง
ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา "โชค" ก็อาศัยอยู่กับพวกเขา
แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น น้องชายก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการเพาะปลูกเหมือนเดิม
วันหนึ่งน้องชายจึงเอ่ยปากถาม "คุณโชคครับ ผมเพาะปลูกเท่าไร ๆ ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ คุณพอจะมีอะไรแนะนำ (conseil) ไหมครับ"
"โชค" เอามือตบหน้าผากดังฉาด "ปั้ดโธ่ นึกว่าจะถามนานแล้ว" "โชค" ชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ "นี่นะ ผมจะบอกให้ ผมน่ะไม่ใช่โชคเรื่องการเพาะปลูกหรอกนะ แต่ผมเป็นโชคเรื่องการค้าขาย (commerce) น่ะ"
น้องชายอ้าปากค้าง ภรรยาของน้องชายก็อ้าปากค้าง
"ค้าขาย?" น้องชายเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน "ผมนี่นะ? ผมจะขายอะไร? ผมไม่มีอะไรติดตัวเลยสักอย่าง"
"โชค"เอามือเกาหัว แต่ภรรยาของน้องชายฉลาดกว่า เธอตบเข่าฉาดแล้วอุทานว่า
"มีสิ เธอมีของที่จะขายได้"
"ของอะไร?" ทั้งโชคทั้งน้องชายถามพร้อมกัน
ภรรยาทำหน้าเจ้าเล่ห์ ก่อนจะวิ่งเข้าไปในห้อง แล้วหยิบสูทวันอาทิตย์เก่า ๆ ของน้องชายออกมา
"นี่ไง" ภรรยาบอกด้วยเสียงแสดงถึงชัยชนะ "สูทวันอาทิตย์ของเธอเอาไปขายได้ เพราะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอมีอยู่"
วันรุ่งขึ้น น้องชายออกจากบ้านไปแต่เช้า ไปยังตลาดสดที่มีพ่อค้ามาขายของมากมายหลายอย่าง เขาแขวนสูทไว้ที่อ้อมแขน ก่อนจะเดินไปกลางตลาดแล้วร้องออกมาดัง ๆ
"สูทตัวละ ๒ ฟรังก์" "สูทตัวละ ๒ ฟรังก์"
ที่ตลาดแห่งนั้น มีพ่อค้า (merchants) รุ่นเก๋าสองคนกำลังดื่มกาแฟอยู่ พ่อค้าทั้งสองเป็นที่นับถือและรู้จักกันดีของผู้คนในตลาด
ทำนองว่าเป็น "ผู้สัดทันกรณี" (les experts)
พ่อค้าสองคนเมื่อได้เห็นน้องชายของเราตะโกนขายสูท คนหนึ่งก็พูดกับอีกคนหนึ่งว่า
"นั่นดูพ่อค้าใหม่คนนั้นสิ เขากำลังขายสูทอยู่ แกเห็นไหมว่า เช้าขนาดนี้ หมอยังขายสูทได้ แถมตอนนี้เหลือแค่ตัวเดียวด้วย แสดงว่าสูทของหมอต้องคุณภาพดี เป็นของดี คนจึงแย่งกันซื้อจนเหลือมาตัวเดียว"
"นั่นสิ งั้นเราไปซื้อสูทของเขากันเถิด ของดี ๆ อย่างนี้อย่าได้พลาดโอกาส"
ว่าแล้วพ่อค้าผู้สันทัดกรณีทั้งสองของเราก็ไปขอซื้อสูทจากน้องชายผู้เปลี่ยนเส้นทางจากชาวนามาเป็นพ่อค้า
น้องชายของเราเมื่อขายสูทได้เงิน ๒ ฟรังก์ ก็เอาเงินนั้นไปซื้อสูทใหม่ได้สองตัว แล้วออกไปเดินขายอีก
พ่อค้าคนอื่นในตลาดพากันกระซิบกระซาบ "เฮ้ย แกเห็นไหม ไอ้หมอนั่นเอาสูทมาขาย แล้วพ่อค้าใหญ่ของพวกเราก็พากันไปซื้อสูทจากเขา แสดงว่าหมอนั่นจะต้องขายของดี อย่ากระนั้นเลย พวกเราจงตามไปซื้อสูทของหมอนั่นด้วยดีกว่า ของอย่างนี้พวกเราจะได้ไม่ตกแฟชั่น"
ว่าแล้วพ่อค้าอีกสองคนก็พากันไปซื้อสูทสองตัวนั้น
เมื่อขายสูทได้สองตัว น้องชายก็เอาเงินนั้นไปซื้อสูทสี่ตัว แล้วก็ออกไปขาย เหตุการณ์ก็เป็นไปในทำนองเดิม
เมื่อขายสูทสี่ตัวหมด น้องชายก็เอาเงินที่ได้ไปซื้อสูทแปดตัว แล้วก็เอาไปขาย เหตุการณ์ก็เป็นไปในทำนองเดิม
ตัดฉากกลับไปที่บ้านปลายทุ่ง
ฝ่ายภรรยา นั่งรอ นอนรอ นั่งรอ นอนรออยู่ที่บ้าน นางเฝ้ารำพึงว่า "สักวันหนึ่งเราจะร้วย เราจะรวย"
นางนั่งฝันนอนฝันว่าสามีของตนคงจะกลับบ้านพร้อมเงินทองมากมายสมดังคำทำนายของ "โชค"
นางมิได้ทำอะไรทั้งวัน ได้แต่นั่งเพ้อฝัน จะได้ซื้อเครื่องครัวใหม่ จะได้ปลูกบ้านใหม่ จะได้มีรถยนต์ใช้สักคันจะได้ขับไปเที่ยวในที่ต่าง ๆ เอ๊ะ หากมีเงินมากขนาดนี้ก็น่าจะนั่งเครื่องบินได้ แล้วก็น่าจะไปเที่ยวต่างประเทศได้ด้วยสินะ
สุดท้ายนางฝันถึงการไปฮอลิเดย์ (vacances) ที่เกาะพีพีที่ ประเทศไทย (ตอนนั้นยังไม่มีสึนามิ)
ค่ำแล้ว สามีของนางกลับบ้านมา นางรีบตรงเข้าไปถามด้วยความตื่นเต้น
"เรารวยแล้วใช่ไหม ที่รัก?"
"ใช่จ้ะ เรารวยแล้ว" สามีตอบสนอง
"ได้เงินมาเท่าไร"
"ได้เงินมา ๕๐ ฟรังก์จ้ะ"
พวกเราคงพอเดาได้ว่า ความฝันไปเที่ยวพีพีของผู้ภรรยาพังลงในพริบตา รอยยิ้มของนางหุบหายไป แล้วนางก็ร้องไห้เสียงดังด้วยความผิดหวัง (ตามประสาเมียที่ดีทั้งหลาย)
"โธ่ เธอนะเธอ เงินแค่นี้ไปเที่ยวเชอเนฟยังไม่ได้เลย แล้วอย่างนี้ฉันจะไปฮอลิเดย์พี่พีได้ยังไง"
อย่างไรก็ดี....ทั้งคู่ก็มิได้เลิกล้มความพยายามและความฝันที่จะร่ำรวย
สามีผู้น้องชายก็ทำมาค้าขายต่อไปด้วยความขยันขันแข็ง ภรรยาก็เป็นทั้งหัวคิดและกำลังใจ....ตอนนี้นาย "โชค" ของเราก็เลือนหายไปในฉากหลัง
แล้วเงินทองก็ค่อยไหลมาเทมา น้องชายกลายเป็นพ่อค้าคนดังของชุมชนแห่งนั้น
ทั้งคู่สามารถปลูกบ้าน (la maison) หลังใหม่ มีร้านค้า (le magasin) ร้านแรก แล้วก็ขยายต่อไปเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ เรื่อย ๆ
จากหนึ่งร้าน เป็นสองร้าน เป็นห้าร้าน เป็นสิบร้าน แต่ละร้านติดป้ายชื่อของน้องชายเป็นป้ายทองส่องประกายแวววาว
น้องชายกลายเป็นคหบดีของชุมชน(l'homme honorable) มีคนนับถือมากมาย ชื่อเสียงขจรขจาย
ชื่อเสียง (la réputation) นั้นกระจายข้ามขุนเขาลูกแล้ว ลูกเล่า ลูกแล้ว ลูกเล่า จนได้ยินไปผู้พี่ชายที่อยู่บ้านเดิมว่า บัดนี้มีพ่อค้าที่ค้าขายเก่งที่สุดเกิดขึ้นแล้วในโลก
พี่ชายได้ยินชื่อก็จำได้ว่า นั่นคือน้องชายของตน (C'est mon frère!)
และประหลาดใจเป็นล้นพ้นที่น้องชายประสบความสำเร็จ "น้องชายที่ไม่เอาไหนของฉันเนี่ยนะกลายเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุด ขำกลิ้งละ นี่คงเป็นแค่ข่าวลือ ไม่ได้การแล้ว เราต้องไปดูให้เห็นกับตา จะเป็นจริงไปได้อย่างไร ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ"
ว่าแล้วพี่ชายก็เตรียมตัวและเดินทางข้ามเทือกเขาทั้งหลายเพื่อไปหาน้องชาย
เมื่อยิ่งเดินทางใกล้ถึงหมู่บ้านที่น้องชายอยู่เท่าไร พี่ชายก็ต้องอ้าปากค้างมากขึ้นเท่านั้น
ทุ่งข้าวสาลีสีทองงามงดจดขอบฟ้า ต้นข้าวสูงกว่าบ้านสองชั้น รวงข้าวคอนเม็ดข้าวที่ใหญ่กว่าฝ่ามือ
แอปเปิ้ลที่ดกหนา แต่ละลูกใหญ่เท่าโอ่ง
มันฝรั่งลูกใหญ่กว่าฟุตบอล กองเป็นภูเขาเลากา
แม่วัวพันธุ์ดีจำนวนเป็นร้อย ยืนเคี้ยวเอื้องในทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ไม่อาจหาที่ใดเปรียบปราน
ทุกอย่างล้วนดูกว่า ใหญ่กว่า สดกว่า มากกว่าไปเสียทั้งสิ้น
ความริษยาอันรุนแรงเริ่มเกิดในใจของพี่ชาย ยิ่งเมื่อเดินเข้าไปในหมู่บ้าน ผ่านร้านค้าที่ดูโอ่อ่า มีสินค้ามากมายจากทุกมุมโลก คนเดินเข้าไปซื้อของเหมือนได้ฟรี คนขายทำงานอย่างหนัก
ป้ายชื่อสีทองส่องประกายแวววาว นั่นชื่อของน้องชายไม่ผิดแน่ โอ....ช่างแทงตาและแทงใจพี่ชายเหลือเกิน
พี่ชายถามทางคนที่ผ่านไปมา แน่นอนว่า ทุกคนรู้จักบ้านท่านคหบดีใหญ่กันทั้งนั้น ต่างชี้ทางให้พี่ชายของเรา
ในที่สุด พี่ชายก็ไปหยุดที่หน้าบ้านหลังใหญ่ ที่งดงาม โอ่โถง บ่งบอกถึงความมั่งคั่งอันเหลือประมาณของเจ้าของบ้าน ป้ายชื่อหน้าบ้านเป็นสีทอง (ดูเหมือนจะเป็นทองแท้ด้วย)
พี่ชายเคาะประตู คนที่ออกมาเปิดประตูรับคือน้องชายนั่นเอง แต่ในเครื่องแต่งกายที่แสนโอ่อ่าดูภูมิฐาน ไม่เหลือภาพชาวนาโทรม ๆ ที่ขมุกขมอมอีกต่อไป
"โอ้ พี่ของผม" เขากระโดดกอดพี่ชายด้วยใจปีติสุดขีด "ดีใจเหลือเกินที่พี่มาเยี่ยมผมได้" น้องชายทักทายอย่างมิได้ถือตัว ภรรยาของน้องชายก็ออกมาต้อนรับพี่สามีอย่างเหมาะสม
บัดนี้นางดูเป็นเศรษฐีมีราศีจับจากหัวจรดเท้า ความเป็นสาวชาวบ้านมอมแมมมิได้มีให้เห็นแม้แต่น้อยหนึ่ง นางคงไปทำผมในร้านหรูที่สุด และไปซื้อเสื้อผ้าในร้านเริ่ดที่สุด
เอ๊ะ หรือว่านางไม่ต้องไปซื้อ? ในเมื่อสามีของนางเป็นเจ้าของร้านทุกร้านในประเทศถิ่นนี้แล้วนี่นะ จะเลือกเอาเท่าไรก็ได้
น้องชายต้อนรับพี่ชายอย่างสมเกียรติ นำไวน์ (vin) ที่ดีที่สุดมาให้ดื่ม ชีส (fromage) ที่ดีที่สุดมาให้ชิม ขนมปัง (pain) รสวิเศษจากข้าวสาลีในไร่ อาหารที่รสเลิLที่สุดที่จะสรรหาได้ ทุกอย่างที่ดีที่สุดมาปรนเปรอแก่พี่ชาย
พี่ชายนั้นจะได้อร่อยลิ้นอร่อยรสและชื่นชมกับความสำเร็จของน้องชายก็หาไม่ ใจนั้นร้อนรนด้วยไฟริษยา เฝ้าแต่พยายามคิดว่าจะล้วงความลับในความสำเร็จของน้องชายได้อย่างไร
สุดท้ายพี่ชายก็ถามว่า "นี่แน่ะ น้องรัก พอจะบอกพี่ได้ไหมว่า เรื่องมันเป็นยังมายังไง น้องจึงได้มาประสบความสำเร็จ? พี่ละอัศจรรย์ใจจริง ๆ"
น้องชายคนซื่อก็บอกพี่ว่า "ได้สิครับพี่ แต่เรื่องนี้หากผมบอกพี่แล้ว พี่ต้องเก็บไว้เป็นความลับอย่าบอกใครเชียวนะ แล้วพี่ก็อย่าได้ไปเปิดดูเชียว"
"ได้อยู่แล้วอ้ายน้องแก้ว"
"เรื่องของเรื่องก็คือ ผมฝังตัวซวยของผมไว้ในหีบแล้วครับ เมื่อตัวซวยถูกฝังไปเสียแล้ว โชคชะตาจึงผันเปลี่ยนให้ผมตั้งตัวได้"
"ตัวซวยหรือ อืมม์ น้องฝังไว้ที่ไหนล่ะ?"
"อ๋อ ตรงท้ายหมู่บ้าน ข้างต้นพลัมนะพี่ แต่นี่เป็นความลับสุดยอดนะครับ"
"เออ พี่จะไม่บอกใครหรอก" พี่ชายขยับตัว "นี่พี่ก็รบกวนน้องมานานแล้ว เห็นท่าจะต้องขอตัวกลับเสียที"
น้องชายลาพี่ชายด้วยความอาลัยและขอให้พี่ชายกลับมาเยี่ยมเยียนอีก
พี่ชายโบกมืออำลาพร้อมด้วยรอยยิ้มที่เค้นขึ้น (เพราะใจยังอิจฉาอยู่)
เมื่อลับสายตาแล้ว พี่ชายก็แอบย้อนไปที่ท้ายหมู่บ้าน เห็นต้นพลัมที่ว่า
พี่ชายถอดเสื้อนอกออก คว้าจอบเสียมที่เห็นใกล้ ๆ แล้วก็เริ่มขุด ขุด ขุด ขุด จนในที่สุดก็เจอหีบที่ว่า
พี่ชายเปิดหีบด้วยความลิงโลดและสะใจที่จะได้ปิดฉากความร่ำรวยของน้องชายเสียที
ตัว "ซวย" (la mauvaise chance) กระโดดออกมาจากหีบ แล้วบ่นว่า "โอ๊ย นี่จะมากวนอะไรกันอีกเล่าเนี่ย คนกำลังนอนสบาย ๆ"
พี่ชายแยกเขี้ยวยิงฟัน "นี่นาย "ตัวซวย" ฉันขอสั่งให้นายไปหาน้องชายของฉันเดี๋ยวนี้ และทำให้เขาล่มจม ฉันอยากเห็นความพินาศของน้องชายฉัน"
ตัวซวยเลิกคิ้วแล้วมองหน้าพี่ชาย "เรื่องอะไรฉันจะต้องไปหาน้องชายของท่าน หน้าที่ของฉันก็คือสร้างความซวยให้เกิดขึ้นกับคนที่มาเปิดหีบปลุกฉันต่างหาก"
ว่าแล้วตัวซวยก็กระโดดเกาะคอพี่ชายผู้ที่พูดอะไรไม่ออก แล้วทั้งคู่ก็ออกเดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของพี่ชาย ข้ามขุนเขาและลำห้วยทั้งหลาย
เมื่อใกล้ถึงบ้าน ปรากฎว่า ทุกย่างก้าว (chaque pas) ที่พี่ชายก้าวผ่าน (พร้อมตัวซวยสินะ) สิ่งมีชีวิตต่างก็อับเฉาลงทันที ข้าวสาลีที่กำลังออกรวงก็เหี่ยวแห้งโดยพลัน แอปเปิ้ลก็ร่วงโรยและลูกเน่าคาต้น กองมันฝรั่งสีทองกลายเป็นกองดินที่ไร้ค่า แม่วัวก็ล้มตายด้วยโรคติดต่อเหมือนใบไม้ร่วง......
อนิจจา บ้านช่องอันใหญ่โตพังพินาศ โรงนาก็ถูกไฟไหม้ เมียรักได้หอบลูกเต้าหนีไปไหนก็ไม่รู้
พี่ชายกลายเป็นคนล่มจมนับแต่บัดนั้น.......
----------------------------------------------------
เฮ้อ เรื่องนี้ยาวค่ะ และก็จบแบบเสียดสีมากกว่าเรื่องตาเอมิลกับยายจานน์นะคะ
แต่ตอนฟังเขาเล่านี่เพลินมากเลย ต้องกลั้นหายใจฟัง (เพราะกลัวฟังพลาด ไม่รู้เรื่องน่ะค่ะ) โดยเฉพาะจินตนาการว่า มันฝรั่งกองสูงท่วมหัว แอปเปิ้ลลูกใหญ่เท่าแตงโม เดินข้ามเขาเป็นลูก ๆ....แบบนี้เก็จแก้วคงจินตนาการต่อไปเยอะแยะเลย
เป็นนิทานคติสอนใจไม่ให้เราริษยา (ne pas être jaloux) ในความสำเร็จ (le succès) ของคนอื่น ขณะเดียวกันก็คือ เมื่อเห็นคนตกยากก็ไม่ทอดทิ้งค่ะ ในเรื่องนี้เขาไม่ได้เล่าเรื่องพี่ชายตอนแรกมากนัก แต่เดาได้ว่า พี่ชายก็ไม่เคยดูดำดูดีน้องชายตอนที่น้องชายพยายามก่อร่างสร้างตัวจากการเพาะปลูกนะคะ
แต่ใจรจนาแล้วสงสารพี่ชายเหมือนกันค่ะ คนเราคิดร้ายแค่แว่บเดียว แต่ต้องพบกับความสูญเสียทั้งหมด ก็ไม่ค่อยยุติธรรมเหมือนกัน....แต่มองในแง่ชาวพุทธก็คือ กรรมย่อมตามสนองผู้ก่อกรรม (ประมาณให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว) ดังนั้น สิ่งร้าย ๆ ที่เราคิดต่อคนอื่น หรือทำต่อคนอื่น แม้เพียงน้อยนิด ก็อาจจะทำให้วิบากกรรมร้าย ๆ อื่น ๆ ที่รอสนองเราอยู่นานแล้วนั้นพลอยได้โอกาส กระโจนเข้ามาพร้อมกัน
หวังว่า เพื่อน ๆ อ่านแล้วคงได้รับทั้งความสนุกเพลินเพลินในลีลาการเล่าแบบฝรั่ง และได้ข้อคิดที่จะนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ตน-ประโยชน์ท่านได้ด้วยนะคะ
ด้วยรักจากใจรจนาค่ะ
เมื่อวันที่ : ๑๓ พ.ย. ๒๕๔๙, ๑๒.๑๕ น.
เล่นดักคอกันแบบนี้แก้วชักเขินแล้วจ้า...คุณรจจ๋า
)
ให้ค่ะ.....แต่ว่า ไม่ขอจินตนาการต่อนะคะ (กลัวถูกแซวจ้า........
)
พูดถึงว่าแอปเปิ้ลลูกเท่าหม้อแกงเนี่ยนะคะ อยากเห็นจังค่ะ(ถ้ามีจริงก้อดีนะคะ...จะได้หม่ำให้หย่อยไปเล้ยยยยย......แบบว่า ตะกละอีกแล้วอ่ะค่ะ อิ อิ
เรื่องนี้เป็นนิทานสอนใจนี่คะคุณรจ แก้วว่าคนแต่งนิทานคงไม่อยากให้ ผู้คนมีจิตใจอิจฉาริษยานะคะ ก็เลยมีบทสรุปที่รุนแรงหน่อย...อะไรประมาณนั้นนะคะ
สำหรับนิทานเรื่องนี้ แก้วขอมอบ