![]() |
![]() |
รจนา ณ เจนีวา![]() |
ตอน : นักเรียนภาษาพาเพลิน (เจ็ด) - Le conte 1
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีสามีภรรยาชาวบ้านแก่ ๆ คู่หนึ่ง สามีชื่อ เอมิล (Emil) ภรรยา ชื่อ จานน์ (Jeanne)
ทั้งสองอยู่กินด้วยกันมาถึงห้าสิบปี ไม่เคยพรากจากกันแม้แต่วันเดียว
บ้านน้อยของทั้งสองคนเป็นกระท่อมไว้ ปลูกอยู่ท้ายหมู่บ้าน (village) ทุกคนในหมู่บ้านต่างยอมรับและอิจฉาในความรักของสามีภรรยาคู่นี้
วันหนึ่ง....วันดีคืนดี....un jour
จานน์ได้รับจดหมายจากพี่สาวคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ ให้ไปร่วมฉลองอายุครบ ๙๐ ปี ที่เมืองใหญ่....
...ไกลออกไปหลายร้อยกิโลเมตร จะต้องใช้เวลาเดินทางทั้งวัน และจานน์จะต้องไปอยู่กับพี่สาวและญาติ ๆ สามวัน รวมเดินทางอีกสองวันเป็นห้าวัน
จานน์ไม่เคยพรากจากกับเอมิล
จานน์ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของเอมิลทุกอย่าง อาหารทุกมื้อ เครื่องดื่มทุกแก้ว เสื้อผ้าทุกตัว ทั้งปูที่หลับปัดที่นอน ปรนนิบัติมาห้าสิบปีไม่เคยขาด ทั้งคู่เข้านอนพร้อมกัน ตื่นนอนพร้อมกัน ทำอะไรด้วยกัน
สำหรับจานน์ การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางที่ยิ่งใหญ่และยาวนานที่สุดในชีวิต
จานน์ไม่อยากไป แต่ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
จานน์เป็นห่วงเอมิล หากจานน์ไม่อยู่ เอมิลจะทำอย่างไร ใครจะหุงหาอาหาร เก็บกวาดล้างจาน ทำความสะอาด เอมิลยืนยันว่า ดูแลตัวเองได้ และส่งเสริมให้จานน์ไปร่วมงานฉลองวันเกิด
ในที่สุดจานน์ก็ต้องตัดสินใจเดินทาง
วันก่อนเดินทาง จานน์เตรียมซุปไว้หนึ่งหม้อใหญ่ อบเนื้อไว้ชิ้นใหญ่ ต้มมันฝรั่งมากมาย แล้วก็เตรียมขนมปัง เนยแข็ง นม และ ของทุกอย่างที่ต้องกินต้องใช้
จานน์จัดแบ่งอาหารไว้เป็นห้าวัน ห้ามื้อ เรียงตามลำดับ อย่างเป็นระเบียบ
จานน์เรียกเอมิลมาและบอกว่า "ตาจ๋า เวลาฉันไม่อยู่ ตาอุ่นอาหารที่ฉันจัดไว้ให้นะ ทีละอย่าง เรียงตามวัน ตาจำได้ไหม"
เอมิลตอบด้วยความมั่นใจ "จำได้ สบายมากจ้ะ ยาย"
แล้ววันเดินทางก็มาถึง สองผัวเมียออกจากบ้านแต่เช้า เดินข้ามห้วยข้ามเขาไปที่สถานีรถไฟเล็ก ๆ (gare)ในเมือง
จานน์กลับหน้าสั่งกลับหลังสั่งเอมิลทุกอย่าง ไม่ให้ลืมอะไร (ne pas oublier) และสั่งให้เอมิลมารับในวันเดินทางกลับ อย่าพลาดได้
จนสุดท้ายจานน์ก็ต้องขึ้นนั่งบนรถไฟ
รถไฟแล่นออกจากสถานีช้า ๆ แล้วก็เร็วขึ้น เร็วขึ้น เร็วขึ้น
เอมิลยืนดูนิ่งอยู่ที่สถานี จนรถไฟลับไปจากสายตา.....พร้อมกับจานน์
ส่วนจานน์เองก็ได้แต่เพ่งมองจุดที่เอมิลยืนอยู่ จนจุดนั้นเล็กลงทุกที ทุกที ทุกที จนมองไม่เห็นในที่สุด
จานน์ไปร่วมงานฉลองด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่นึกสนุก เฝ้าแต่นับวันเวลาที่จะได้กลับบ้าน กลับไปหาเอมิล
วันที่หนึ่งผ่านไปอย่างเชื่องช้า
วันที่สองผ่านไปอย่างเชื่องช้า
วันที่สามผ่านไปอย่างเชื่องช้า
วันที่สี่ผ่านไปอย่างเชื่องช้า
วันที่ห้าผ่านไปอย่างเชื่องช้า
แต่ในที่สุดวันที่จะได้กลับบ้านก็มาถึง
จานน์ไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวที่จะออกจากบ้านของพี่สาว ไม่ว่าใครจะชักชวนให้อยู่ต่อ จานน์ก็ปฏิเสธ
จานน์ขึ้นรถไฟด้วยความตื่นเต้น รถไฟเคลื่อนไปบนราง จานน์นับทุกนาทีที่ผ่านไป เป็นชั่วโมง และหลายชั่วโมง
แล้วระยะทางระหว่างจานน์กับเอมิลก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เข้ามาเรื่อย ๆ ในที่สุด จานน์ก็มองเห็นยอดเขาที่อยู่หลังหมู่บ้านอยู่ในสายตา แล้วเนินเขาที่คุ้นตาก็ทะยอยมาให้เห็น
รถไฟของจานน์ลดความเร็วลง มองเห็นสถานีอยู่ลิบ ๆ
จานน์มีความสุข (elle est heureuse) อย่างไม่เคยมีมาก่อน เฝ้าชะเง้อดูผ่านหน้าต่างรถไฟ เพื่อหาร่องรอยของเอมิล ที่นัดแนะกันไว้ว่า จะมารับจานน์ที่สถานี
รถไฟช้าลง ช้าลง และหยุดจอดในที่สุด (s'est arrêté)
จานน์หอบข้าวของ ลงจากรถไฟ แต่มองไม่เห็นเอมิล....ไม่มีร่องรอยของเอมิลที่ไหนเลย เอมิลอยู่ที่ไหน
จานน์รอเอมิลอยู่เป็นเวลานาน บางทีเอมิลอาจจะทำงานในนายังไม่เสร็จ บางทีเอมิลอาจจะกำลังเดินทางมา บางทีเอมิลอาจจะไม่สบาย บางที....
จานน์สอบถามนายสถานีรถไฟ แต่นายสถานีบอกว่ายังไม่เห็นเอมิลเลยในวันนี้
จานน์คอตก หอบกระเป๋าเสื้อผ้า ค่อย ๆ เดินออกจากสถานีรถไฟ เดินผ่านหมู่บ้าน เดินออกไปนอกหมู่บ้าน ใจก็หวังอยู่ตลอดเวลาว่าจะสวนทางกับเอมิล
จนมองเห็นหลังคาบ้านอยู่ไกล ๆ แต่ก็ยังไม่มีเอมิล
ปล่องไฟบนหลังคาไม่มีควันไฟ ประตูรั้วเปิดทิ้งไว้ วัว (la vache) ที่เลี้ยงยืนกินหญ้าอยู่อย่างเกียจคร้าน วัวหันมามองจานน์ ส่งเสียงร้องมอ และแกว่งหางอย่างยินดี จานน์ไม่มีเวลาเข้าไปลูบหลังวัว จานน์เป็นห่วงเอมิล
จานน์เปิดประตูบ้าน ประตูบ้านไม่ได้ล็อคไว้
จานน์ก้าวเข้าไปในบ้าน....ผงะกับความรกรุงรังที่เห็น
ชามซุปตกแตกอยู่กับพื้น ถ้วยเบียร์คว่ำอยู่บนโต๊ะ นอกนั้น อาหารทั้งหมดไม่มีร่องรอยว่า ได้ถูกแตะต้อง ห้องครัวมีร่องรอยรื้อค้น ข้าวของกระจัดกระจาย
จานน์สูดหายใจลึก ๆ วางกระเป๋าเดินทาง ก้าวไปที่ห้องนอน
ห้องนอนไม่มีคนอยู่ เตียงนอนมีร่องรอยถูกใช้งาน แต่หมอนไปทาง ผ้าห่มไปทาง หน้าต่างเปิดทิ้งไว้ครึ่งหนึ่ง
แต่ไม่มีร่องรอยของเอมิล
จานน์เดินดูทั่วทุกมุมบ้าน ขณะที่ก็ร้องเรียกหาเอมิลครั้งแล้วครั้งเล่า จานน์เดินออกไปดูรอบ ๆ บ้าน แต่ก็ยังไม่เห็นเอมิล
เพื่อนบ้านของจานน์ซึ่งเป็นหญิงทึนทึกเดินมาทักทายจานน์ที่ริมรั้ว
จานน์ถามว่า "เธอเห็นตาแก่ของฉันไหม"
เพื่อนบ้านของจานน์เป็นคนขี้อิจฉา เพราะเธออยู่ตัวคนเดียวมาตลอดชีวิต เธอตอบว่า "โน่นแน่ะ เอมิลอยู่ที่โรงเหล้า"
จานน์ไม่เชื่อหูตัวเอง แต่เมื่อไม่มีทางเลือก จานน์ก็เลยเดินไปที่โรงเหล้า
จานน์ต้องเดินผ่านเพื่อนบ้านหลายหลัง ทุกคนทักทายจานน์อย่างอบอุ่น แต่จานน์ตอบสั้น ๆ ก้มหน้าก้มตาเดิน ผ่านบ้านหลังแล้วหลังเล่า ข้ามสะพาน ผ่านไปรษณีย์ ผ่านร้านขายเนื้อ ผ่านร้านขายของชำ จนถึงกลางหมู่บ้าน
จานน์ตรงเข้าไปที่ร้านเหล้า มีเสียงพูดคุยเอะอะรื่นเริงอยู่ในนั้น
จานน์เปิดประตูเข้าไป ประตูส่งเสียงดังเอี๊ยด
ทุกคนในร้านหันมาดูจานน์
นั่นเอง....เอมิลของจานน์ กำลังกอดขวดเบียร์ด้วยความสุข บอกอาการว่ากำลังกร่ำได้ที่
เอมิลไม่ได้พูดอะไร
จานน์ก็ไม่ได้พูดอะไร
จานน์ตรงเข้าไปหาเอมิล ดึงหูข้างซ้ายแล้วก็ลากเอมิลออกมาจากร้าน
เอมิลร้องโอดโอย แต่ไม่สามารถปลดตัวเองให้เป็นอิสระจากการลากถูของจานน์ได้
จานน์ลากเอมิลออกจากกลางหมู่บ้าน ผ่านร้านขายของชำ ผ่านร้านขายเนื้อ (le boucherie) ผ่านไปรษณีย์ (la poste) ข้ามสะพาน (le pont) ผ่านบ้านหลังแล้วหลังเล่า ผ่านเพื่อนบ้านขี้อิจฉาคนนั้น จนในที่สุดก็ถึงบ้าน เอมิลร้องโวยวายตลอดทาง แต่จานน์จะได้วางมือก็หาไม่
คืนนั้น ทุกคนในหมู่บ้านไม่ได้ยินเสียงทะเลาะของสองผัวเมีย จานน์และเอมิล
วันรุ่งขึ้น เพื่อนบ้าน (voisins) พากันแวะไปหาจานน์และเอมิล เพื่อไปทักทายหลังจากที่จานน์หายตัวจากการเดินทางจากบ้านไปห้าวัน เป็นการเดินทางคนเดียวที่ไม่มีเอมิล
เพื่อนบ้านเคาะประตู แต่ทุกอย่างเงียบเชียบ (silent)
เพื่อนบ้านเปิดประตู กลอนไม่ได้ล็อคไว้
เพื่อนบ้านเข้าไปในบ้าน ทุกอย่างสะอาดเอี่ยม พื้นขัดถูไว้เป็นมัน ห้องครัวเอี่ยมอ่องเป็นประกาย ทุกอย่างอยู่ในที่ในทาง
เพื่อนบ้านร้องเรียก ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ
เพื่อนบ้านเคาะประตูห้องนอน ก็ยังไม่มีเสียงตอบรับ
เพื่อนบ้านตัดสินใจเปิดประตูห้องนอน แสงแดดอันอบอุ่นส่องลอดขอบหน้าต่างเข้ามา ทำให้มองเห็นจานน์และเอมิลที่หลับพริ้มอยู่บนที่นอน ในห้องนอน (la chambre) ที่จัดไว้อย่างเรียบร้อยไม่มีที่ติ
เพื่อนบ้านยื่นมือไปรองที่จมูกของทั้งสองคน......ไม่มีลมหายใจอุ่น ๆ ให้รู้สึก
จานน์และเอมิลหลับไปแล้วตลอดกาล ใบหน้าทั้งสองมีรอยยิ้มน้อย ๆ (souris)
ในที่สุด จานน์และเอมิลก็ได้ออกเดินทางไกลอีกครั้ง
คราวนี้ เขาทั้งสองได้ไปพร้อมกัน (Ils sont partis emsemble) ไม่พรากจากกันตลอดไป
--------------------------------------------------------------------
เพื่อน ๆ คะ ที่รจนาเขียนเล่ามาทั้งหมดนี้ ก็เพียงแต่จะเล่าถึงกิจกรรมการเรียนภาษาอย่างหนึ่งของพวกเรา คือ เป็นชั้นเรียนเล่านิทานค่ะ แต่ละอาทิตย์ก็จะมีการเล่านิทานที่น่าสนใจเป็นภาษาฝรั่งเศส โดยนักเล่านิทานระดับยอด
คนที่รจนาได้ไปฟังนี้อายุคงเกือบ ๖๐ ปีแล้วค่ะ ลีลาการเล่าของเขายอดเยี่ยมมาก มีการขึ้นเสียงสูงต่ำ ทำหน้าทำตา เว้นจังหวะ
การเล่าของเขาตรึงใจพวกเรามาก ชนิดว่า เราต้องกลั้นลมหายใจฟังเชียวค่ะ กลัวจะพลาดตอนสำคัญ ๆ
แถมเป็นการเรียนภาษาที่ยอดเยี่ยม ศัพท์ที่ใช้ในการเล่านิทานจะเป็นศัพท์ที่ง่ายมาก ไวยกรณ์ก็ไม่ซับซ้อน ประโยคก็สั้น ๆ ง่าย ๆ ทั้งนี้เพราะการเล่านิทานนี้จะเป็นกิจกรรมสำหรับเด็ก ๆ รจนาพยายามแทรกศัพท์บางตัวให้ได้บรรยากาศนะคะ
ส่วนเด็กโตไม่เดียงสา(เรื่องภาษา)อย่างรจนาก็ฟังได้ด้วยความเพลิดเพลินเช่นกัน
หวังว่า เพื่อน ๆ จะเพลิดเพลินกับนิทานเรื่องนี้เหมือนรจนานะคะ
เมื่อวันที่ : ๐๙ พ.ย. ๒๕๔๙, ๑๖.๓๕ น.
แก้วตามมาฟังนิทานค่ะคุณรจ.....เรื่องของคุณตา-คุณยาย คู่นี้ฟังดูโรแมนติกจังค่ะ
(แบบว่าแก้วอิน กะนิทานคุณรจอ่ะค่ะ
)
แก้วฟังเพลินเลยค่ะคุณรจ.....งั้น...แก้วขอจินตนาการต่ออีกนิ๊ดนึงนะคะ.....
ถ้าคุณตาเอมิล กับคุณยายจานน์มาอยู่เมืองไทย เวลาไปสวรรค์แล้วน่าจะไปเกิดเป็นตากะยาย ตำข้าวอยู่บนดวงจันทร์....ไว้ให้ลูกหลานได้ชื่นชมในยามค่ำคืน นะคะ