![]() |
![]() |
รจนา ณ เจนีวา![]() |
...ท่องเที่ยวเยอรมนีเดือนสิงหาคมก็จบลงด้วยประการฉะนี้ค่ะ หากว่ามีเที่ยวเยอรมนีอีกเมื่อไร ก็จะนำเรื่องราวพร้อมรูปภาพมาฝากนะคะ...
ตอน : เหยียบเยอรมนี (สิบ) - ฮัมบูร์ก
ตามเที่ยวเยอรมนีกับรจนามาตั้งนาน ได้ทานเบียร์ไปแก้วเดียวเองนะคะ (เบียร์เบอร์ลิน) ต้องขออำภัยด้วยค่ะเราอยู่กับเวร่าหลายวัน ก็ถึงเวลาต้องร่ำลา เราเดินทางออกจากคุ๊กซฮาเฟ่นวันอาทิตย์ แล้วก็แวะไปหาน้องชายของพ่อบ้าน ชื่อ ฮารัลด์ กับแฟนของเขาชื่อ มาเรียน ทั้งคู่เพิ่งย้ายบ้านมาอยู่ที่ฮัมบูร์กได้ไม่นาน พร้อมลูกสาวสองคน (ลูกติด) ของมาเรียน คือ จูเลีย (๑๔) และ โซเฟีย (๙) มาเรียนทำงานเกี่ยวกับโฆษณาประชาสัมพันธ์มีบริษัทเป็นของตัวเอง ส่วนฮารัลด์ยังตกงานอยู่ค่ะ
บ้านใหม่ของทั้งคู่เป็นแฟลตสามชั้น แต่เป็นแฟลตชั้นดี ปลูกเหมือนบ้านสามชั้น แล้วก็มีคนมาเช่าอยู่คนละชั้น มีที่จอดรถ มีสวนหลังบ้าน เป็นบ้านสีขาวสวยสง่างามเหมือนบ้านผู้ดีมีเงิน
ที่เล่าเรื่องนี้ก็เพราะว่า สถาปัตยกรรมและบ้านเรือนในเมืองฮัมบูร์กนี้ล้วนสวยงาม น่าอยู่จริง ๆ ค่ะ
ถนนหนทางที่เป็นที่อยู่อาศัยจะเงียบสงบ มีที่จอดรถยาวไปตามซอย มีต้นไม้ปกคลุมให้ความร่มเย็น และอยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่ ใกล้ป้ายรถเมล์หรือสถานีรถไฟ มีชุมชน ร้านค้า ธนาคาร สวนสาธารณะ โรงเรียน โรงยิม สนามกีฬา ล้วนเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้รับความสะดวกสบาย
เหล่านี้ก็ได้จากเงินภาษีอากรของชาวบ้านนี่แหละค่ะ แต่อย่าถามว่า ชาวเมืองต้องจ่ายภาษีด้านอะไรบ้างนะคะ เพราะยังไม่ได้ศึกษาเรื่องนี้ค่ะ แต่คงจะไม่น้อยทีเดียว
เราไปแวะหาฮารัลด์ก่อน ทานอาหารเย็นด้วยกัน ซึ่งมาเรียนก็ทำอย่างสุดฝีมืออร่อยมาก ๆ คือ ข้าวอบไปลญ่า (Paella) ซึ่งจะเขียนเล่าให้ฟังวันหลังนะคะ มาเรียนทำทิรามิสุเก่ง และอร่อยค่ะ เคยทานฝีมือเขาครั้งนึงแล้ว คราวนี้เขาก็ทำให้ทานอีกครั้งนึง
จากนั้น เราก็ลาเขา ไปเช็คอินที่โรงแรมใจกลางเมือง เราไม่ได้พักกับพวกเรา เพราะเขาก็เพิ่งย้ายบ้านมา กล่องต่าง ๆ ก็ยังเปิดไม่หมด ไม่สะดวกที่เราจะไปพักด้วย ประกอบกับที่เมืองฮัมบูร์กนี้ ฮอลิเดย์ของพ่อบ้านก็หมดลง ต้องเริ่มประชุมทั้งอาทิตย์ค่ะ รจนาได้เที่ยวคนเดียว เราก็เลยตัดสินใจพักในเมือง โรงแรมใกล้ ๆ กับที่ทำงาน (ตึกติดกัน) สะดวกพ่อบ้าน สะดวกรจนาด้วย
ขอเล่าเรื่องโรงแรมนิดนึงค่ะ เป็นโรงแรมที่มีประวัติความเป็นมานานพอสมควร แต่ก่อนเป็นที่พักคนเดินทางของโบสถ์ ซึ่งต่อมาปรับเป็นโรงแรม พอโรงแรมเป็นหนี้มาก ๆ เข้า ทางโบสถ์ก็รักษาไว้ไม่ไหว ผู้จัดการโรงแรมในยุคนั้นรักโรงแรมนี้มาก ไม่อยากให้ถูกขายทอดตลาด ก็เลยรับสวมหนี้ก้อนนี้ แล้วเปลี่ยนมาเป็นเจ้าของในที่สุด
บริหารกันมาสองชั่วคน จากรุ่นพ่อแม่ ก็มารุ่นลูกชายกับลูกสะใภ้ จนปัจจุบันมาตกอยู่กับหลานชายกับหลานสะใภ้ แล้วพัฒนาโรงแรมให้ทันสมัยขึ้น แต่คงภาพลักษณ์เชิงประวัติศาสตร์ไว้ด้วย โรงแรมผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านฝน ผ่านไฟ (ไฟไหม้เมือง) ผ่านสงคราม (ระเบิด) มาจนถึงทุกวันนี้ด้วยความรักของเจ้าของที่เฝ้าสร้างซ่อมและต่อเติมจนกลายเป็นโรงแรมสี่ดาวในปัจจุบัน
ที่โรงแรมนี้เขาเปิดบาร์ขายไวน์เป็นแห่งแรกของฮัมบูร์กค่ะ และมีไวน์ดี ๆ มากมาย เสียดายที่ดื่มไม่เป็น
ที่รจนาชอบก็คือ เวลาเราเข้าพัก เขาจะให้ตั๋วรถเมล์ (รวมเรือและรถไฟใต้ดิน) กับเราฟรี เท่าจำนวนวันที่เราเข้าพักค่ะ ทำให้เราท่องเที่ยวสะดวกขึ้น พร้อมกับแผนที่รถไฟใต้ดิน และแผนที่สำหรับนักท่องเที่ยว สิ่งนี้อาจจะดูเล็กน้อย แต่เราไปพักมาหลายที่แล้ว ยังไม่เคยเจอตั๋วฟรีเลยค่ะ คาดว่าคงเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของเมืองฮัมบูร์ก
พนักงานเองก็ต้อนรับดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ช่วยเหลือดี และอายุค่อนข้างน้อยกันทั้งนั้น คงจะเพราะเป็นหน้าร้อน นักศึกษามาฝึกงานหรือหารายได้พิเศษกันมากขึ้น
เราพักผ่อนกันอย่างสบาย แม้จะมาถึงโรงแรมตอนดึก เราเลือกห้องที่อยู่ด้านหลังของตึก ห่างจากถนนใหญ่เพื่อไม่ให้เจอเสียงรบกวนจากถนน (โรงแรมไม่มีแอร์ค่ะ) อาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์มีเหลือพอทานค่ะ แต่รจนาไม่ได้แตะไข่หรือเบค่อนเลย หนักไปขนมปัง แยม กับมูสลี่มากกว่า ทุกเช้าจะทานชาเอิร์ลเกรย์ที่เขาชงใส่กามาให้ค่ะ
พอส่งพ่อบ้านไปทำงานแล้ว รจนาก็คว้าแผนที่ ตั๋วรถเมล์ เป้สะพายกระเป๋า ใส่รองเท้าผ้าใบ แล้วก็เตรียมออกเที่ยว พบว่าโรงแรมอยู่ย่านใจกลางเมืองจริง ๆ เดินไปไหนมาไหนสะดวกมาก แทบไม่ต้องใช้ตั๋วรถที่เขาให้มาเลย จุดแรกรจนาเดินผ่านทะเลสาบอัลสเตอร์ (Alster) ซึ่งเป็นหัวใจหลักและจุดท่องเที่ยวของเมือง
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
จากนั้น เดินไปเดินไปก็เจอศาลาว่าการ City Hall หรือ ร้าทเฮ้าส์ Rathaus ในภาษาเยอรมัน ที่นี่ รจนาเคยมาเที่ยวแบบมีไก๊ด์พาชมเป็นภาษาอังกฤษ ประทับใจมากค่ะ
ร้าทเฮ้าส์อีกมุมนึง มีป้ายรถเมล์ชื่อเดียวกัน ตรงป้ายนี้ก็จะมีรถเมล์สองชั้น เปิดหลังคา (วันที่ฝนไม่ตก) ให้นักท่องเที่ยวนั่งค่ะ รู้สึกค่ารถจะประมาณ ๑๖ ยูโรหรือไงเนี่ย แต่รจนาไม่ได้นั่งเพราะอยากเดินดูเมืองให้ทั่วก่อน และเคยมาหลายรอบ ค่อนข้างรู้จักที่ทางอยู่บ้าง
ฮัมบูร์กเป็นเมืองท่าการค้านะคะ และท่าเรือคือหัวใจของเศรษฐกิจทีเดียว มาฮัมบูร์กทั้งทีก็ต้องไปเยี่ยมท่าเรือกันหน่อย รจนาได้ข่าวว่าเขามีเมืองใหม่ท่าเรือที่เรียกว่า ฮาเฟ่นซิตี้ ก็เลยเดินไปดูค่ะ จากโรงแรมที่พักก็ประมาณ ๑.๕ กิโล เดินไปชมเมืองไปเพลิน ๆ ค่ะ โชคดีวันแรกฝนไม่ตก อากาศไม่ร้อน เดินสบาย
โครงการฮาเฟ่นซิตี้ (Hafen แปลว่า ท่าเรือ) เป็นโครงการกำลังฮ็อต ตอนที่ไปเขากำลังก่อสร้างกันอยู่ ไม่มีอะไรให้ดูมากนัก รจนาเห็นมีนักท่องเที่ยวเดินไปดูกันหลายคน จากฮาเฟ่นซิตี้ รจนาก็เดินเลียบลำน้ำไปจนถึงท่าเรือใหญ่ แล้วก็เดินดูเรือ ดูคน ดูรถ ดูตึกรามบ้านช่อง
รจนาอยู่ที่นั่นห้าวัน ได้ใช้ประโยชน์จากเท้าของตนเองอย่างเต็มที่ และก็ได้นั่งรถชมเมืองด้วย ซึ่งฮัมบูร์กนี้ได้รับคำชมเชยว่าเป็นเมืองใหญ่ที่เขียวมาก ๆ เขียวไปทุกที่
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
วันหนึ่งรจนาไปทานไส้กรอกค่ะ เป็นการทานแบบยืนทานแบบที่เห็นคนงานเขายืนสุม ๆ กันนั่นแหละค่ะ ทานเสร็จแล้วก็ไปคุยกับพ่อบ้านว่า วันนี้ฉันได้ทานไส้กรอกเยอรมันกระทบไหล่กับชนชั้นแรงงานนะ รู้สึกดีจังเลย
รจนาสังเกตว่า คนทุกชนชั้นเขายืนทานปะปนกัน คนแต่งกายดี ๆ แบบนักธุรกิจก็ไปยืนทานไส้กรอกใกล้คนงานตัวเลอะเทอะสีหรือฝุ่นได้ ดูแล้วไม่มีชนชั้นดีค่ะ
และเนื่องจากร้านขายอาหารเป็นศูนย์อาหาร เขาก็ไปซื้อกาแฟจากอีกร้านหนึ่งมายืนทานกัน หรือเอาออกไปนั่งทานนอกตึก ตรงข้างถนน ทานไปสูบบุหรี่ไป ดูสุขใจกันดี
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ห้างอัลสเต้อร์เฮ้าส์ที่สุดหรู ขึ้นชื่อ มีศูนย์อาหารอยู่ชั้นบน เห็นวิวทะเลสาบ รจนาแอบขึ้นไปดู แต่ไม่ได้ทาน เพราะคนแน่น และยังไม่หิว แต่ของเขาก็สวย มีกระเป๋าหนังแสนนุ่มใบนึง (ผู้หญิงกับกระเป๋านี่ของคู่กัน)ไปยืนดูนานสองนาน แต่ตัดสินใจไม่ซื้อ เพราะที่มีก็ยังใช้ได้อยู่และยังใหม่อยู่ เรียกว่าต้องตัดใจจริง ๆ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
เพดานหลังคาของห้างสรรพสินค้าอีกแห่งหนึ่ง จะว่าเป็นห้างก็คงไม่ถูก ที่นี่เขาเรียกว่า Passage ค่ะ คือเป็นตึกเก่า ๆ สวย ๆ เพดานสูง พอเดินเข้าไปก็มีร้านรวงเรียงกันซ้ายขวา ตรงกลางมีที่ให้นั่งเล่นเป็นระยะ มีน้ำพุ มีสวนหย่อม หรือศิลปะตกแต่ง ทั้งร้านขายของและร้านอาหาร น่าดูน่าชมไปเสียทั้งนั้น
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
สวนสาธารณะใหญ่โต รจนาเดินได้นิดเดียว
ชาวเมืองฮัมบูร์กภูมิใจในความเขียวชะอุ่มของบ้านเมือง และจำนวนแม่น้ำลำคลองที่แตกสาขามากมาย กว่ากันว่าฮัมบูร์กมีลำคลองมากกว่าเวนีซกับอัมสเตอร์ดัมรวมกันค่ะ และมีสะพานข้ามคลองน้อยใหญ่ถึง ๑,๕๐๐ สะพาน แต่อย่าลืมว่าฮัมบูร์กเองก็มีขนาดใหญ่กว่าสองเมืองที่ว่านี้รวมกัน
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
เรือนำเที่ยวพานักท่องเที่ยวชม "ฮาเฟ่น" รจนาไม่ได้ลองนั่งเรือนี้ เพราะตั้งใจจะไปดูคลองฝรั่ง
ฮารัลด์แนะนำให้นั่งเรือเที่ยวคลอง รจนาก็เลยทำตามนั้น วันที่รจนานั่งเรือเที่ยว อากาศไม่ค่อยดีนักค่ะ ไม่ค่อยมีแดดเท่าไร ฝนตกนิด ๆ ด้วย เลยครึ้ม ๆ ไปหน่อย นั่งเรือเสร็จพาลจะเป็นหวัดไม่ค่อยสบาย เพราะเขาปิดหลังคาเรือ ไม่ค่อยจะมีอากาศหายใจ ครั้นจะไปนั่งท้ายเรือก็เหม็นควันจากเครื่องยนต์
ค่าเช่าเรือเที่ยวคลองเขาคิดคนละ ๑๓ ยูโร ใช้เวลาทั้งหมด ๒ ชั่วโมงไปช้า ๆ เที่ยวคลองก็เป็นอะไรที่เงียบ ๆ สงบ ๆ ดี เห็นต้นไม้เขียว ๆ และหน้าบ้านคหบดีต่าง ๆ
หากนั่งเรือเที่ยวท่าเรือ (ราคาพอ ๆ กัน) อาจจะน่าสนุกกว่าเพราะมีตึกรามและเรือสวย ๆ ให้ดู แต่ไม่เป็นไร เพราะรจนาเดินเที่ยวท่าเรือแล้ว
แล้วเขายังมีเรือเที่ยวตอนค่ำด้วย ตั้งแต่สองทุ่มถึงสี่ทุ่ม เพื่อดูแสงสีตามตึกรามบ้านเรือน รจนาก็อยากจะนั่งเหมือนกัน แต่พ่อบ้านไม่ว่างเลยสักเย็น ก็เลยทิ้งไว้ก่อน รอเที่ยวหลัง
ใครอยากไปเที่ยวฮัมบูร์กก็พิจารณาดูนะคะว่า อยากเที่ยวเมืองแบบไหน แต่รจนาแนะนำว่า การเดินเที่ยวดีที่สุด ได้เห็นจุดสำคัญได้เกือบทั้งหมด มิวเซียมต่าง ๆ ก็อยู่ไม่ไกลสถานีรถไฟหลัก (หัวลำโพง)
ก่อนวันสุดท้าย รจนาตั้งใจเข้ามิวเซียมหนึ่งแห่ง น้องสาวของพ่อบ้าน คือ มาเรน แนะนำว่าน่าจะไปมิวเซียมศิลปะวัฒนธรรมของเขา เขาบอกว่า มีของแสดงหลากหลาย ทั้งแนวที่อยู่อาศัย งานกระเบื้อง แฟชั่นเสื้อผ้า ของสะสะทางประวัติศาสตร์
เราก็ว่าตามนั้นค่ะ นั่งรถเมล์ไปแจกโรงแรมประมาณ ๒ ป้าย (วันหลัง ๆ เริ่มเหนื่อย เดินน้อยลง) ไปถึงตั้งแต่ตอนเขาเปิดมิวเซียม คนยังน้อย อากาศดี ซื้อตั๋วแล้วก็สงสัยว่า ทำไมเขาคิดเงินแค่ ๖ ยูโร ในเมื่อป้ายบอกราคาเขียนว่า ๘ ยูโร เขาให้ใบปลิวมาด้วย ก็เลยถึงบางอ้อ ว่าเขาปิดบางส่วนซ่อมแซม โดยเฉพาะส่วนที่เราอยากดูเสียด้วยสิ
เขามีหูฟัง (หน้าตาเหมือนโทรศัพท์มือถือรุ่นโบราณ) ให้เราติดตัวไปเปิดฟังได้ฟรี มีช่องภาษาอังกฤษให้เลือก พอเราไปดูจุดไหนที่เขามีเครื่องหมายบอกว่า เปิดหูฟังได้ (ไม่ได้มีทุกจุด) เราก็เลือกเปิดและยืนฟังประวัติความเป็นมาของของชิ้นนั้น ๆ พอเราจะออกจากมิวเซียมก็เอาไปคืนเขา เขาไม่ได้คิดค่ามัดจำ
แต่ไหน ๆ ก็มาแล้ว ก็ช่างมันเถอะ ที่จริงเขาห้ามถ่ายรูป แต่รจนาลืมถาม และมองไม่เห็นป้ายห้ามถ่าย พอเข้าไปดูห้องแรก ๆ ก็เลยถ่ายไปสองสามรูป พอไปถามเจ้าหน้าที่ (เขาไม่เห็นตอนเราถ่าย) เขาบอกว่า หากจะถ่ายรูปต้องซื้อตั๋วถ่ายรูป เราก็เลยถึงบางอ้อ ไม่ได้ถ่ายต่อหลังจากนั้น เกรงใจเขา
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
เปียโนโบราณค่ะ วันนั้น เขาชดเชยให้กับนักท่องเที่ยว มีการนำเสนอเครื่องดนตรีรุ่นเก๋าคุณภาพชั้นครูที่เคยรับใช้ในงานแสดงเอก ๆ ในอดีตมากมายละลานตาไปหมด
แต่ที่ชอบคือ สำหรับเปียโนหลายตัว เขาจะมีเสียงให้เปิดฟังประวัติความเป็นมาว่า ใครสร้าง ปีไหน สร้างให้ใคร นำไปใช้ในงานไหน และมีตัวอย่างเสียงเปียโนเครื่องนั้น ๆ ด้วย เยี่ยมจริง ๆ
ออกจากเที่ยวมิวเซียมแล้ว ฮารัลด์ก็พาไปเที่ยวบลังคาเนเซ่ (Blankenese) ซึ่งอยู่ริมน้ำ เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยราคาแพง จุดท่องเที่ยวสำคัญสำหรับคนอยากเห็นบ้านเรือนสวยงามและแม่น้ำ กับเรือสินค้าที่ผ่านไปมา คนที่นี่เขารักเรือกันจริง ๆ
เราดื่มน้ำเย็น ๆ กันแล้วก็ชมเรือที่ผ่านไปมา ฮารัลด์กับรจนาอายุรุ่นเดียวกัน ก็เลยคุยกันสนุกแบบเพื่อน
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
แนวตึกรามบ้านเรือนริมน้ำใกล้ท่าเรือ ส่วนใหญ่สมัยก่อนเป็นโกดังที่โหลดสินค้า โดยเฉพาะพวกชา กาแฟ เครื่องเทศ เป็นจุดที่สวยงามน่าชมอีกแห่งหนึ่ง จุดนี้รจนาเคยไปดูมิวเซียมเครื่องเทศของเขามาหลายปีก่อน น่าสนใจค่ะ
พูดเรื่องเที่ยวเยอรมนี จำได้ว่าเคยคุยกับพิลกริมว่า ที่ประเทศนี้ ห้องน้ำส่วนใหญ่จะมีคนคอยเก็บเงิน โดยเฉพาะคนหน้าแขก ๆ
เหตุนี้เป็นเพราะแต่ก่อนเยอรมนีขาดแคลนแรงงานชั้นล่าง เขาอ้าแขนรับคนเตอรกิชเข้ามาทำงานจำนวนมาก แต่พอตอนนี้คนเยอรมันเองตกงานกันมากขึ้น ก็ชักจะรังเกียจรังงอนคนเตอรกิชมากขึ้น ส่วนหนึ่งก็เพราะชาวเตอรกิชเองมาอยู่บ้านเขาก็ไม่ได้พยายามปรับตัวให้กลมกลืน ยังคงกินอาหาร นับถือศาสนา สั่งสอนลูกหลานในแบบของตน (ที่จริงก็สิทธิของเขานิ) แต่มันก็คงมีจุดที่เป็นปัญหาอยู่บ้าง
จะว่าไปคนเยอรมันแท้ ๆ เองก็ไม่อยากทำงานที่คนเตอรกิช (หรือชาติยากจนอื่น ๆ) ทำ เพราะเป็นงานใช้แรงเช่น ก่อสร้าง ทำความสะอาด เป็นงานรายได้น้อย ต้องใช้แรงมาก ไม่มีโอกาสก้าวหน้า
เมื่อมีปัญหาคนตกงานมากขึ้นก็ต้องหางานให้คนได้ทำ ส่วนหนึ่งก็ได้คนเตอรกิชเหล่านี้ทำความสะอาดห้องน้ำ และแทนที่จะให้ค่าแรง หรือเงินเดือน (หรือให้ก็นิดเดียว) ก็อนุญาตให้คนเหล่านี้เก็บเงินจากคนเข้าห้องน้ำ แลกกับความสะอาดและบริการต่าง ๆ ในห้องน้ำไป ถือเป็นรายได้พิเศษและช่วยให้คนไร้ฝีมือมีงานทำ
ด้วยเหตุนี้ จึงมีห้องน้ำน้อยกว่าน้อยที่เยอรมนีที่จะไม่มีคนเฝ้าหน้าตาดุ ๆ แม้แต่ในร้านอาหารแบบที่เป็นศูนย์อาหารก็จะมี ยกเว้นร้านอาหารที่เช่าเป็นบ้านเป็นตึกเปิดขายอาหารเท่านั้นที่จะไม่มีคนเฝ้าคอยเก็บเงิน คนเหล่านี้ทำความสะอาดห้องน้ำโดยไม่จำเป็นต้องเป็นลูกจ้างของร้านค้าเลย ถือว่าเป็นบริการพิเศษที่มีลูกค้าเป็นผู้รับภาระ
แม้ว่า เขาจะไม่กำหนดโจ่งแจ้งว่าเราต้องจ่าย เขาก็จะวางจานมีเงินเหรียญไว้ให้เรารู้เป็นนัย ๆ หากเราไม่ให้จริง ๆ เขาก็ไม่ว่า แต่จะมองเคือง ๆ มีน้อยแห่งที่จะขึ้นป้ายจริง ๆ ว่า ต้องจ่ายเงินนะ ส่วนใหญ่สถานที่เหล่านี้จะชัดเจน เช่น ห้องน้ำในพระราชวังโบราณ สถานีรถไฟ ปั๊มน้ำมัน เป็นต้น
คนทำความสะอาดห้องน้ำเหล่านี้ยังชีวิตอยู่ได้ก็จากเงินทิปของเรา ที่จริงเขาไม่มีสิทธิจะมาบังคับให้เราจ่าย เพราะห้องน้ำนั้นถือว่าเป็นสถานที่สาธารณะ (พ่อบ้านยืนยันว่า เราสามารถเดินเข้าห้องน้ำในร้านอาหารหรือผับที่ไหนก็ได้ในเยอรมนี แม้เราจะไม่ได้เป็นลูกค้า ซึ่งที่จริงเราก็ไม่ค่อยจะกล้าเท่าไร)
ข้อดีก็คือ ห้องน้ำเหล่านี้จะสะอาด มีกระดาษชำระเต็มอยู่เสมอ (คงมีที่สกปรกบ้างหรอก) และเราเป็นผู้หญิงไปเที่ยวคนเดียวก็อาจจะสบายใจได้ว่า มีคนเฝ้าหน้าห้อง (หรือจะกลัวคนเฝ้าเสียเองก็อีกเรื่องนึง เพราะบางทีก็เป็นผู้ชายมาเฝ้า)
เวลารจนาไปไหนในเยอรมนีก็จะลุ้นว่าจะเจอคนเก็บเงินในห้องน้ำไหม โอกาสนี้ต้องชมมิวเซียมศิลปะวัฒนธรรมที่ไปดู เพราะเขามีห้องน้ำเยอะ ทุกชั้น สะอาด โปร่ง แสงสว่างเยอะ แม้จะเก่า และไม่มีคนเก็บเงิน (ก็เราจ่ายค่าเข้าชมแล้วนิ) สังเกตว่า ร้านอาหารใหญ่ ๆ แห่งไหนที่คนกินตรึม ห้องน้ำจะมีคนเก็บเงินชัวร์ค่ะ
จึงนำความรู้เรื่องห้องน้ำเยอรมันมาฝากดังนี้
ส่งท้ายเที่ยวฮัมบูร์กด้วยภาพชุดกลางคืนค่ะ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
บริเวณหน้าทะเลสาบอัลสเต้อร์ ที่เห็นกรอบสีน้ำเงินคือควันหลงเวิร์ลดคัพค่ะ เขาทำเป็นกรอบประตูไว้ให้เห็นทุกหนทุกแห่ง กลางน้ำ บนหลังคาตึก ในสวนสาธารณะ
ขออภัยภาพคงไหวไปหน่อยนะคะ ถือว่าได้เห็นครบทั้งกลางวันและกลางคืนก็แล้วกันค่ะ พร้อมด้วยความประทับใจของตัวรจนาเองที่ได้ไปเห็น ไปดู ไปรู้ ไปชิม ไปสัมผัสอะไรหลาย ๆ อย่างที่ต่างไปจากชีวิตประจำวัน
ท่องเที่ยวเยอรมนีเดือนสิงหาคมก็จบลงด้วยประการฉะนี้ค่ะ หากว่ามีเที่ยวเยอรมนีอีกเมื่อไร (อยู่ใกล้ ๆ สวิตฯแค่นี้เอง) ก็จะนำเรื่องราวพร้อมรูปภาพมาฝากนะคะ
ที่ติดตามชมและอ่านมาถึงจุดนี้ ขอให้เพื่อน ๆ ทุกคนสุขกายสบายใจกันทั่วหน้านะคะ
เมื่อวันที่ : ๒๕ ก.ย. ๒๕๔๙, ๐๒.๒๔ น.
ตามมาอ่านปิดท้ายจ้ะ เรื่องห้องน้ำนั้นเห็นจริงด้วย ตอนนั้นพี่ที่ไปด้วยกัน ลองมานั่งคำนวณราคาทิปที่จ่ายให้คนเข้าห้องน้ำแล้ว ไปเที่ยวสิบวัน หมดเงินค่าห้องน้ำไปราวๆพันบาททีเดียว เพราะพี่เขามีอายุหน่อย ก็จะเข้าห้องน้ำถี่หน่อย
ขนาดเราไปเบอร์ลิน ไปนั่งกินเบอเกอร์ในแม็ค ก็เสียค่าเข้าห้องน้ำ
ร้านอาหารริมออโต้บาห์น ที่ไม่ใช่ service break ดูใหญ่โตเหมือนสวนอาหารบ้านเรา ก็มีคนเฝ้าเก็บตังค์จ้ะ
เพิ่งเข้าใจนี่เอง ว่าทำไมเขาถึงได้เก็บเงินไปทุกแห่ง ผิดกับที่อังกฤษจ้ะ ห้องน้ำดีและสะอาดเป็นส่วนใหญ่ มีทิชชูพร้อม สบู่ล้างมือ ที่เป่ามือให้แห้ง แต่ไม่เก็บเงินเลย
จะมีที่เก็บเงินก็ตามสถานีรถไฟต่างๆ แต่เราเคยได้เข้าฟรีกันที่ยูสตันไง จำได้ไหมจ๊ะ อิๆๆๆ