![]() |
![]() |
รจนา ณ เจนีวา![]() |
...เมืองนี้เป็นสถานที่เที่ยวติดอันดับ บนแหลมริมชายฝั่ง ได้ชื่อว่า "ม็องท์ ซานต์ มิเชล" หรือ "ยอดเขาแห่งเซ้นท์ไมเคิล" (Mont St. Michel)...
ตอน : เยือนถิ่นเบรอตาญน์ (จบ)
เมืองสุดท้ายที่จะพาไปเที่ยวนี่อยู่ไกลจากลาโบลราว ๒๐๐ กิโลค่ะ เมืองนี้เป็นสถานที่เที่ยวติดอันดับ บนแหลมริมชายฝั่ง ได้ชื่อว่า "ม็องท์ ซานต์ มิเชล" หรือ "ยอดเขาแห่งเซ้นท์ไมเคิล" (Mont St. Michel)ยอดเขาเทียมหรือจะเรียกว่า อนุเสาวรีย์ก็ไม่น่าจะผิด นี้อยู่ทางชายฝั่งด้านเหนือของฝรั่งเศส อยู่ตรงชายขอบเบรอตาญน์ติดกับแคว้นนอร์มังดี เหตุที่เป็นเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ก็เพราะลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่น่าตื่นตะลึง ยอดเยี่ยม เหลือเชื่อ และเหมือน ๆ กับจะหยิ่งผยองนั่นเอง ดูเหมือนอยู่ ๆ ก็มีอนุเสาวรีย์ผุดขึ้นมาริมทะเลยังไงยังงั้น
การเดินทางไปเที่ยวนี่ต้องดูตอนน้ำขึ้นน้ำลงด้วยนะคะ หากน้ำขึ้นเต็มที่แล้วก็จะตัดขาดอนุเสาวรีย์นี้จากแผ่นดินใหญ่ ไกลถึง ๑ กิโล ตอนนั้นก็คงต้องงดเที่ยวไปก่อน หรือต้องเดินข้ามสะพานทางเท้าไป แต่หากน้ำลงแล้ว ก็จะกลายเป็นสันทราย เราเอารถไปจอดเกือบจะปากประตูได้ค่ะ ไม่ต้องเดินไกล (ยังไงก็อย่าลืมกลับก่อนน้ำขึ้นนะคะ ไม่งั้นรถจมหายไปกับน้ำแน่)
แต่เขาว่าไม่น่าจะเดินข้ามตอนน้ำขึ้นสูงค่ะ เพราะน้ำจะหนุนและเกิดคลื่นสูงถึงสิบกว่าเมตรได้ง่าย ๆ คลื่นขนาดนี้ หากกำลังเดินง่อน ๆ แง่น ๆ อยู่บนสะพาน มีหวังได้ว่ายน้ำทะเลเล่นแน่ (หากไม่จมหายไปกับน้ำเสียก่อน)
แล้วเขายังขู่ไว้อีกด้วยว่า ความที่คลื่นลมแรง ดินทรายถูกความปั่นป่วนของคลื่นบ่อย ๆ ทำให้เกิดทรายดูดเป็นหย่อม ๆ ใครที่เดินไม่ระวัง (ตอนน้ำลงแล้ว) อาจจะถูกดูดหายไปกับทรายได้ง่าย
เอ๊ะ พูดอย่างนี้จะชวนเที่ยวหรือชวนหนีกันแน่นะ
อย่าเพิ่งหนีค่ะ ทางเดินทางที่จอดรถไปที่เกาะนี้ปลอดภัยค่ะ รจนาไปมาแล้ว เขาทำถนนดูมั่นคงดีค่ะ
เกาะหรือวิหารซานต์มิเชล (ออกเสียงตามภาษาฝรั่งเศส) นี้มีความรัศมีประมาณ ๑ กิโลเมตร และสูงประมาณ ๘๐ เมตร ผุดขึ้นมาจากมหาสมุทรดังที่กล่าวไปแล้ว (ความจริงมีท่านบิชอปช่วยกันสร้าง ช่วยกันต่อเติมมาหลายยุคหลายสมัยค่ะ จนสุดท้ายรัฐบาลเป็นผู้ดูแล)
เขาว่ากันว่า รากฐานของอนุเสาวรีย์ซานต์มิเชลนี้เริ่มก่อในปี ค.ศ. ๑๐๒๐ โดยท่านเจ้าอาวาสฮิลเดแบร์ต์ ค่ะ คือแทนที่ท่านจะขนหินไปทิ้งทำให้เกิดพื้นราบ ท่านก็เอาอิฐเอาหินมาสร้างต่อขึ้นมาเสียเฉย ๆ อย่างนั้นแหละค่ะ เรียกว่ามีใจอุทิศมาก พอถึงปี ค.ศ. ๑๐๕๘ ก็สร้างโบสถ์ได้เสร็จ แล้วก็ต่อเติมกันมาเรื่อย ๆ อีกหลายสมัย ซึ่งจะไม่ขอเล่าละเอียดนะคะ (แหะ แหะ ไม่ค่อยจะเก่งประวัติศาสตร์น่ะค่ะ)
เอาเป็นว่า อนุเสาวรีย์อันยิ่งใหญ่นี้ก็อยู่ยั้งยืนยงผ่านกาลเวลา ความเปลี่ยนแปลง การปฏิวัติฝรั่งเศสมาให้เราได้ชมเป็นขวัญตา จะว่าอยู่ "เย้ยฟ้าท้าดิน" ก็คงไม่ผิด แล้วสุดท้ายรัฐก็เข้ามาบูรณะปฏิสังขรณ์จนเห็นหน้าตาอย่างทุกวันนี้ กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทำเงินมหาศาล และไม่ได้ใช้การในด้านศาสนาอีกต่อไป ชาวบ้านที่อยู่อาศัยที่นี่ก็ปลูกสร้างบ้านเรือนตามขายชอบวิหารไป มีโรงแรมเล็ก ๆ ด้วยค่ะ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ภาพแรกให้ชมความอลังการยิ่งใหญ่ของสถานที่ก่อน นี่เห็นแต่ไกล ห่างออกมาเกือบ ๑๐ กิโลนะคะ ด้วยเหตุนี้วิหารเซ้นต์ไมเคิ้ลจึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวท็อปฮิตแห่งหนึ่งของฝรั่งเศส
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ตัวยอดเขา(พระ)วิหารเมื่อขับรถเข้ามาใกล้ ๆ ค่ะ เห็นแล้วตื่นตาตื่นใจดีค่ะ ที่บ้านรจนามีภาพสเก็ตช์ของมหาวิหารอยู่ เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พอมาเห็นของจริงก็ปลื้มดีค่ะ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
พอผ่านเข้าประตูเมืองไป อุแม่เจ้า คนเยอะแยะยุ่บยั่บเลยค่ะ ทางเดินก็แคบ ๆ เป็นบันไดไต่ขึ้นไปเรื่อย ๆ มีร้านขายของสวยงามทั้งสองข้าง (ชวนเสียเงิน) และร้านอาหารด้วย อยากจะแวะดูของสักหน่อย พ่อบ้านก็มาเร่ง ก็เลยอดชอปฯ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
แต่พอหลบออกข้างทาง ก็ได้เจอกับทางเดินเลียบริมเมืองด้านนอกค่ะ ได้ชมทะเล (แห้ง ๆ) ไปด้วย คนเดินน้อยหน่อย เพราะส่วนใหญ่จะเดินกันด้านใน
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
มหาวิหารในอีกมุมหนึ่งค่ะ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ตอนนี้เป็นช่วงน้ำลง จึงเห็นพื้นทะแลแห้งสุดลูกหูลูกตา ช่วงนี้แหละค่ะ นักท่องเที่ยวที่แข็งแรงและไม่กลัวร้อนกลัวเมื่อย ก็จะพากันเดินไปเที่ยวเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ (สัก ๒-๓ กิโล) แล้วต้องรีบเดินกลับให้ทันก่อนน้ำทะเลหนุน
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
บันไดที่ไม่ชันมากนัก แต่จำนวนขั้นก็ไม่น้อยทีเดียว ค่อย ๆ เดินไป พักร่มไป เดี๋ยวก็ถึงค่ะ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
พวกเราซื้อทัวร์ชมวิหารคนละ ๘ ยูโร (เอื๊อก) มีไกด์สาวน้อยน่ารักอธิบายให้ได้ความรู้เป็นภาษาอังกฤษ ก็พาเดินเข้าห้องโน้นออกห้องนี้ ได้ความรู้ติดตัวกลับมา (แต่ส่งคืนไกด์ไป ๙๐ เปอร์เซ็นต์)ไกด์สาวฝรั่งเศสของเรา ชื่อว่า "แองเจลิค" น่ารัก พูดจาคล่องแคล่ว มีความรู้ดีเพราะเรียนประวัติศาสตร์ศิลป์ แต่โดนพวกเราแอบแซวว่า เธอชอบพูดคำว่า "โอเค้?" ต่อท้ายเกือบจะทุกประโยค
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
สวนภายในมหาวิหารค่ะ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
เตาทำอาหารขนาดยักษ์ค่ะ หน้าตาเหมือนเตาผิง คงจะเอาวัว แกะ หมูเข้าไปอบได้ทั้งตัว รจนาถ่ายรูปเปรียบเทียบกับภาพนักท่องเที่ยวค่ะ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
โปสการ์ดภาพอนุเสาวรีย์มีขายเพียบ แต่ไม่ได้แอ้มเงินรจนา เพราะไปถ่ายภาพของจริงมาเองเลยค่ะ (ไม่สวยเท่าเขานิ)
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ทางเดินคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว รจนาชอบค่ะ มีสีสันดี น่าสนุก และที่ดีคือวันที่ไปนั้นอากาศไม่ร้อนมาก ค่อนข้างจะหนาวหน่อย ๆ ด้วยซ้ำ (ตอนไม่มีแดด) ทำให้ไม่หงุดหงิดเวลาเดินเบียดคน
แต่ตอนที่กลับมาคุยกับเพื่อนชาวฝรั่งเศสที่สำนักงาน เขาบอกว่า จะให้ดีที่สุดต้องไปประมาณเดือนพฤษภาคม เพราะตอนนั้นจะยังไม่มีนักท่องเที่ยวเท่าไร เดินสบาย พวกเราไปตอนต้นเดือนกรกฎาคม กำลังเป็น "ไฮไทม์" หรือช่วงเทศกาล พ่อบ้านเองก็มาบอกว่า อยากไปเที่ยวแล้วเช่าโรงแรมพักสักคืนบนเกาะ เพราะอยากชมความงามของอนุเสาวรีย์ตอนที่ไม่มีคนยุ่บยั่บแบบนี้
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
จากด้านบนเห็นคุ้งน้ำที่ขดตัวไหลออกมาจากแผ่นดินใหญ่ จะเห็นที่จอดรถกว้างขวางยาวเป็นกิโล จำนวนรถที่จอดก็ไม่น้อย เป็นเครื่องชี้วัดความ "ป๊อบปูล่า" ของจุดท่องเที่ยวแห่งนี้ได้ดีทีเดียวค่ะ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
แว้บกลับเข้าไปในตัววิหาร แค่จะให้ดูว่ากำแพงที่เขาสร้างนั้นหนาขนาดไหน ต้องชมฝีมือช่างสมัยโบราณจริง ๆ ว่า "ทำได้ยังไงเนี่ย" หินก้อนใหญ่ ๆ ทั้งนั้น หากไม่มีศรัทธา แรงงาน และเครื่องทุ่นแรงที่ดีคงจะไม่ออกมาอย่างนี้ (ช่างก่อสร้างปิระมิดที่อียิปต์คงยักไหล่แล้วบอกว่า จิ๊บจ๊อย)
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
พื้นทางเดินหินสะกัดค่ะ ที่อยากให้เห็นคือ "ลายเซ็น" ของบริษัททำหิน เอ๊ย ช่างทำหินค่ะ สมัยก่อนเขาก็ต้องแบ่งงานให้โรงสะกัดหินหลายเจ้าอยู่เหมือนกัน และคงเป็นการจ่ายแบบเครดิต คือส่งของก่อนแล้วจ่ายเงินทีหลัง (ไม่รู้มีเบี้ยวไหม) วิธีการนับจำนวนหินว่าของใครเป็นของใครก็เท่ดี คือ แต่ละบริษัทก็สะกัดชื่อย่อของตัวเองไว้เป็นหลักฐานบนก้อนหินเสียเลย อย่างนี้ไม่มีการโมเมว่าของใครเป็นของใคร เพราะหินก็หน้าตาเหมือน ๆ กัน และกลายเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เผื่อมีลูกหลานของโรงตัดหินมาเที่ยวจะได้คุยได้ว่า ปู่ของปู่เป็นคนทำหินก้อนนี้
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
วิวยอดวิหาร ถ่ายจากร้านอาหารริมระเบียงเห็นวิวทะเล
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
บรรยากาศร้านขายของที่ระลึก
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ส่งท้ายด้วยมองต์ซานต์มเชลยามค่ำค่ะ ภาพนี้รจนาไปถ่ายมาจากโปสเตอร์ที่เขาประดับร้านขายของที่ระลึกไว้อีกทีนึง
เฮ้อ ในที่สุดพาเที่ยวเบรอตาญน์ก็มาถึงกาลอวสานด้วยประการฉะนี้นะคะ คนเขียนก็ชักเหนื่อยเหมือนกัน
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามด้วยความอดทน และดูภาพกันจนตาลาย (ลุงเปี๊ยกจะค้อนเราหรือเปล่าเนี่ย มาใช้พื้นที่โพสต์ภาพมากมาย)
แล้วพบกับเรื่องเล่าจากเจนีวาเรื่องอื่น ๆ ต่อไปนะคะ
เมื่อวันที่ : ๐๗ ส.ค. ๒๕๔๙, ๑๕.๓๖ น.
จบแล้วเหรอ กำลังเพลินเลยจ้ะ
ขอบคุณมากๆเลย ที่ขยันถ่ายภาพสวยๆมาให้พวกเราได้ดูจ้ะ