![]() |
![]() |
pilgrim![]() |
ตอน : จากขึ้นโรงพักจนมาได้เป็นดารา (1)
จั่วหัวเล่นให้ดูตื่นเต้นค่ะ เรื่องของเรื่อง คือ พิลมีเหตุต้องไปเจรจากับตำรวจนิดหน่อย แล้วจากนั้น ก็มีคนมาชวนไปเล่นหนังค่ะอย่างที่แสนรักเคยเกริ่นๆให้ฟังนั่นแหละค่ะ ตอนนี้ พอมีเวลาว่างเลยขอนำประสบการณ์จากการได้มาอยู่กับคนต่างที่ต่างถิ่นมาเล่าให้ฟังนะคะ
เมืองที่พิลอยู่เป็นเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ เล็กจนดูเหมือนหมู่บ้าน ไม่ใช่เมือง

![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
แต่สิ่งที่ทำให้เมืองนี้ใหญ่ขึ้น ก็คือ มหาวิทยาลัย คือ เมืองนี้มีมหาวิทยาลัยที่ค่อนข้างใหญ่ค่ะ
นั่นทำให้มีนักศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศมุ่งหน้ามาเรียน มาอยู่ในเมืองนี้กันมากมาย
ด้วยความขึ้นชื่อเรื่องสาขาวิชาบางด้าน ทำให้นักศึกษาต่างชาติหลั่งไหลมาเรียนเมืองนี้กันมากเหมือนกันค่ะ โดยเฉพาะนักศึกษาจีนที่แทรกไปแทบทุกที่ (เพราะประชากรเขาเยอะเนอะ)

ชาวบ้านที่เคยอยู่กันสงบสุขก็เริ่มต้องทำใจรับกับสภาพผู้คนอันคึกคักวุ่นวาย ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยนักศึกษาเต็มไปหมด

แต่ก็คงมีชาวบ้านบางกลุ่มที่ทำใจไม่ได้ และไม่อยากทำใจ ก็เลยเริ่มรู้สึกเกลียดชังนักศึกษา โดยเฉพาะนักศึกษาต่างชาติ อันความรู้สึกเหยียดผิวนี่มันคงฝังรากลึกมานานค่ะ

เรื่องความเกลียดชังคนต่างชาตินี้ ดูเหมือนผู้ใหญ่ก็จะปลูกฝังให้เด็กๆ ลูกๆหลานๆด้วยเช่นกัน

เคยมีลูกของเพื่อนที่เป็นคนต่างชาติ มาถามพิลว่า ยูมาจากเมืองไทยนี่ คนไทยกินหมาเป็นอาหารประจำวันใช่ไหม
พิลก็ถามว่า ยูรู้ได้ไง
เด็กบอกว่า ที่โรงเรียนครูสอนเรื่องอาหารประจำชาติของประเทศต่างๆทั่วโลก แล้วก็สอนว่า คนตะวันตกกินขนมปัง คนจีนกินก๋วยเตี๋ยว แล้วก็คนไทยกินหมา

ได้ฟังก็อึ้งไปเหมือนกัน ว่าครูเขาสอนอย่างนี้ได้ยังไง เลยทำให้รู้สึกว่า การเป็นครูนี่ต้อง
ระวังเหมือนกันนะ ว่าจะถ่ายทอดปลูกฝังอะไรให้เด็ก
เด็กก็บอกค่ะว่า ครูก็ดูมาจากสารคดีที่เข้ามาถ่ายทำในเมืองไทย คาดว่าคงจะเป็นแถวบางท้องที่ที่การกินหมา ถือเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับคนอังกฤษแล้ว เขาถือว่าเป็นเรื่อง"ช็อค" เพราะเขารักหมายิ่งกว่าเมีย(บางที อิๆๆ)

ข้อมูลที่เราได้รับผิดๆบางด้าน หรือวัฒนธรรมที่ต่างกันก็ทำให้เราเกิดอคติ ความชิงชังต่อ
กันได้ง่ายๆค่ะ
แต่สำหรับผู้คนในเมืองของพิล กลุ่มคนที่ก้าวร้าวต่อนักศึกษาต่างชาติมากที่สุด เห็นจะ
ได้แก่เด็กวัยรุ่นค่ะ บางทีก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าพวกเราไปทำอะไรให้เขาไม่ชอบเราได้ถึงขนาดนี้ เราก็ไม่ได้เคยไปเดินเหยียบตาปลาพวกเขาสักกะที

พิลเคยเดินไปกับเพื่อน มีเด็กรุ่นสาวสองคนเดินผ่านมา ทันใดนั้น เธอก็เอามือมาลูบหัว
เพื่อนแล้วก็หัวเราะกันกิ๊กกั๊ก พิลก็ถามเพื่อนว่า รู้จักกันเหรอ เพื่อนบอกเปล่า
น้องคนไทยคนหนึ่ง เดินมาเรียนทุกวัน กลางทางจะมีเด็กมาดักคอยขว้างกิ่งไม้ใส่ โยน
ก้อนกรวดใส่
น้องคนนั้น(ผู้หญิง) เลือดร้อน เคยวิ่งไล่ตามเด็กเกเร แต่ก็วิ่งไม่ทันมันหรอกค่ะ มันก็วิ่งหนีไปหัวเราะกันครื้นเครง ที่ทำให้พวกเราหัวปั่นได้
เขาเล่าว่า นักศึกษาจีนบางคน เคยถูกเด็กเอาซอสมะเขือเทศมาบีบใส่ (พุ่งมาจากการบีบ
ขวดพลาสติกค่ะ)
น้องคนนั้น หนักๆเข้าเขาทนไม่ไหว เลยไปแจ้งตำรวจ แล้วเหตุการณ์ก็สงบไป เพราะ
ตำรวจตามจับเด็กได้
เพื่อนแอฟริกันผิวดำบางคน เคยโดนเด็กๆตะโกนใส่หน้าว่า "Black beast" แปลได้
ประมาณว่าคุณสัตว์ดำ
หรือบางทีถีบจักรยานกลับบ้าน ก็มีเด็กวัยรุ่นผิวขาวมากันเป็นกลุ่ม มารุมล้อมแล้วผลัก
จักรยานให้ล้ม
เพื่อนคนนี้ ชื่อเวม่าค่ะ แกมีลูกสองคน วันหนึ่ง แกพาลูกชายไปเล่นม้าหมุนที่มาตั้งที่ตลาด ให้พ่อแม่พาลูกๆมาเล่น (แบบเสียเงินเป็นรอบๆน่ะค่ะ)
แกบอกว่า พอแกอุ้มลูกขึ้นไปนั่งบนม้าหมุน เด็กต่างๆ ที่นั่งรออยู่แล้วก็ลุกกันหมด พ่อแม่ก็มาพาลูกของตัวออกไป
คนเก็บเงินก็มาว่าเวม่า ว่าเป็นเพราะยู ทำให้ลูกค้าเขาหายหมด ให้รีบออกไป อย่ามาเล่น
ลูกชายของเวม่า ยังเป็นหนูน้อยในวัยไร้เดียงสา ก็ถามพ่อว่า ทำไมเขาไม่เล่นกันล่ะครับพ่อ เขาไปไหนกันหมดแล้ว
ได้ยินเวม่าเล่าแล้วก็สะเทือนใจเลยค่ะ เวม่าเล่าว่า บางที พาลูกไปเล่นตามสวนสาธารณะที่เขามีเครื่องเล่น เช่นชิงช้า กระดานหกให้เด็กเล่น พอลูกปีนขึ้นไปเล่นอันไหน เด็กคนขาวก็จะหนีหมด ลูกของเวม่าก็จะมองอย่างไม่เข้าใจ เพราะเขาเป็นเด็กๆ เขาก็มีหัวใจอยากจะเล่นกับเด็กๆด้วยกัน

![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ของพิลเองที่เคยเจอ ก็เดินๆอยู่ พวกเด็กคนขาวก็จะมาร้องทักแบบล้อเลียนว่า "หนีห่าว"
ซึ่งภาษาจีนกลางหมายถึง สบายดีไหม
หรือบางคนก็พูดลอยๆว่า ชิงกี้ Chinky ซึ่งเป็นคำเรียกคนจีนอย่างหยาบๆดูถูก
คือคนขาวเขาก็แยกไม่ออกหรอกค่ะ ว่าเราเป็นชาติไหน ในสายตาของพวกเขา คนเอเชียก็หน้าตาคล้ายๆกันไปหมด คือ หน้าแบน หน้าดำ หน้าเหลือง และไร้ดั้ง(อิๆๆๆ)
เหมือนเราก็แยกไม่ค่อยถูกเหมือนกันว่า หน้าตาอย่างนี้คือฝรั่งชาติไหน
แต่พิลก็เฉยซะค่ะ เพราะคิดว่า อยากพูดก็พูดไป ให้มันลอยไปตามลม
แต่ที่เด็ดๆ มีอยู่สองทีค่ะ ตอนนั้นเป็นปีแรกที่เดินทางมาอยู่อังกฤษ เดินผ่านเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ไอ้หนูก็พูดขึ้นลอยๆว่า
"you want to smack my bum?" แปลตรงๆได้ประมาณว่า "เธออยากมาลูบ (หรือตี)ตูด
ฉันไหมจ๊ะ"
ตอนแรก หูยังไม่กระดิกค่ะ ยังหันไปถามมันว่า "อะไรนะ พูดใหม่ซิ"
มันก็ดีค่ะ พูดใหม่ให้ฟังอีกหน อิๆๆๆ คราวนี้ฟังออก ก็ตกใจ บอกมันได้คำเดียวว่า โน แล้วรีบเดินหนีมันเลย
อีกคราวที่เจอ คราวนี้ ไอ้หนูยิ้มให้มาแต่ไกลเลยค่ะ (จำไม่ได้หรอกค่ะว่าคนเดียวกันหรือ
เปล่า แต่บริเวณที่เจอคือบริเวณเดียวกัน คือใกล้ๆมหาวิทยาลัย)
ตอนแรก พิลก็ไม่รู้ว่าใคร เพราะมองไกลไม่ค่อยเห็น ไม่ได้ใส่แว่น ก็นึกว่าเป็นเพื่อน ก็เลยยิ้มตอบมันไป
พอมันเดินเข้ามาใกล้ ก็รู้ว่า เอ นี่เราไม่ได้รู้จักมันนี่หว่า ไม่ใช่เพื่อนเราสักหน่อย
ไอ้หนูนั่นก็เอื้อนเอ่ยเลยว่า "You're so sexy." ฮ่าๆๆ ขอบคุณที่ชม
เราก็ก้มดูตัวเอง มันเซ็กซี่ตรงไหนฟะ ก็แต่งตัวธรรมดา ใส่เสื้อยืด กางเกงยีนส์หลวมๆ ไม่ได้ฟิตเปรี๊ยะสักหน่อย เสื้อแสงก็คอปิดลึก ไม่ได้เห็นใจน้องแต่ประการใด
แถมวัยเราก็นะ แก่พอจะเป็นแม่มันได้ เหอๆๆๆ
ก็นึกในใจ แกนะทะลึ่งจริงๆ ไม่รู้จัก E แก่ซะแล้ว แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้มันหรอกค่ะ ก็เดินผ่านกันไป
อาจจะเป็นเพราะพิลเป็นคนตัวเล็ก เตี้ยเหมือนเด็กๆวัยรุ่นที่นี่ มันก็เลยนึกว่าเรารุ่นเดียวกับมัน อีกอย่าง เราคงหน้าเป็น เดินเป็นแป๊ะยิ้มแบบรับแขกด้วย เด็กมันเลยสับสน หลงผิดคิดว่ายังเอ๊าะ เหอๆๆๆ
เล่ามาตั้งยาว ยังไปไม่ถึงไหนเลย เอาไว้ตอนหน้าค่อยเข้าเรื่องนะคะ ว่าไปพัวพันกับคุณตำรวจได้ยังไง

เมื่อวันที่ : ๒๑ มิ.ย. ๒๕๔๙, ๒๑.๑๐ น.
อืม...อ่านตอนแรก สะท้อนใจจังเลยค่ะ
เสียดาย ที่เค้ามองแค่ภายนอกแบบนั้น แล้วก็ ฮือๆ แอบงอนแทนลูกของเพื่อนพี่พิลด้วยค่ะ น้องเค้ายังใสอยู่เลย
พออ่านตอนท้าย เริ่มยิ้มขึ้นมาได้หน่อย
พี่พิลต้องหน้าเด็กมากแน่เลย นี่พันนที คิดๆๆๆ จินตนาการใหญ่เลยจ้ะ
แล้วจะรออ่านนะคะ นี่แสดงว่าพันนทีรู้จักกับดาราแล้ว เย้ๆ เดี๋ยวจะขอลายเซนต์นะคะ
รักษาสุขภาพนะคะ พี่สาวคนเก่ง คิดถึงนะคะ