![]() |
![]() |
รจนา ณ เจนีวา![]() |
ตอน : อันเนื่องมาจากไปย่ำลอนดอน (ภาครวมหลายรส)
สองตอนก่อน รจนาเขียนเรื่องเที่ยวลอนดอนกับพิลกริม ตอนนี้จะว่าด้วยเรื่องต่อเนื่องภาคพิศดาร รวมหลายรส ทั้งท่องเที่ยวและตกระกำลำบากค่ะคือ พ่อบ้านของรจนาเป็นคนรักรถ จะว่าบ้ารถก็คงไม่ผิดเท่าไร โดยเฉพาะเรื่องตกแต่งเครื่องยนต์นี่ถนัดนัก
วันดีคืนดีก็อยากจะเอารถจิ๋วของเขาไปจูนเครื่องให้มันวิ่งเร็วขึ้นแรงขึ้น ร้านที่รับจูนก็มีทั้งในเยอรมนีกับอังกฤษ พ่อบ้านเลยคิดว่า ไปอังกฤษดีกว่า ได้ไปเยี่ยมเพื่อนด้วย บังเอิญร้านจูนเครื่องรถสมาร์ทอยู่แถวนั้นพอดี
พวกเราก็เลยระหกระเหินกับรถยนต์คันน้อย เดินทางกว่าพันกิโลเมตร ข้ามประเทศฝรั่งเศส ข้ามช่องแคบอังกฤษไปค่ะ ปกติหากบินจากเจนีวาไปลอนดอนด้วยสายการบินราคาถูกก็คงเสียเงินน้อยกว่าค่าน้ำมันเป็นไหน ๆ
จึงเป็นที่มาของการได้ไปพบพิลกริมกับคุณไหมหนันและน้องต้นหอมด้วย
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ดอกมัสตาร์ดกำลังงามเต็มทุ่งที่เมืองดิจ็อง (เมืองมัสตาร์ด) ค่ะ
วันแรกออกเดินทางจากเจนีวาก็เกือบจะทุ่มแล้ว เราตกลงขับรถกันสามชั่วโมง ถึงที่ไหนนอนที่นั่น เราก็ไปหาโรงแรมแบบใช้บัตรรูดค่ะ คือเป็นโรงแรมของนักเดินทาง สิงห์รถบรรทุก หรือเซลล์แมนน์ มักจะอยู่ใกล้ ๆ ทางออกทางด่วน วิธีเข้าพักก็ง่ายมาก มีเครื่องคล้ายเอทีเอ็มให้เช็คห้องว่างค่ะ มีให้เลือกว่าจะทานอาหารเช้าด้วยหรือไม่ ก็เพิ่มเงินไป หากมีห้องและราคาถูกใจ ก็เอาบัตรเครดิตใส่เข้าไป เครื่องก็หักเงิน แล้วก็ป้อนบัตรกระดาษแข็ง พร้อมเบอร์ห้องให้เราไปรูดเข้าห้องเอง
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
เมืองบูโลญน์ที่เราไปขึ้นเรืออยู่ฝั่งฝรั่งเศส
รจนากับพ่อบ้านก็ไปพักแบบนี้แหละค่ะ ข้อสะดวกคือไปถึงตอนไหนก็ได้ (แต่ต้องเสี่ยงว่าจะมีห้องว่างหรือเปล่า) ส่วนคุณภาพห้องไม่ต้องหวังมากเรื่องความสวยงามค่ะ สี่เหลี่ยม มีแต่เตียงกับผ้าเช็ดตัว อ้อ สบู่เหลวแบบกดจากเครื่องติดฝาผนังค่ะ ห้องแคบแมวดิ้นตาย แต่ผ้าปูที่นอนถือว่าสะอาดใช้ได้ ไม่เหม็นสาบ เพียงแต่อาจมีกลิ่นบุหรี่เล็กน้อย
พวกเราเจอโรงแรมที่ว่า ก็ลองพยายามจองเองอัตโนมัติเหมือนใช้เครื่องเอทีเอ็ม แต่โชคไม่อำนวย เครื่องไม่ยอมรับบัตรเครดิตของเราค่ะ ร้อนถึงเจ้าหน้าที่โรงแรมใกล้ ๆ กัน (เครือเดียวกัน คุณภาพดีกว่า แต่ห้องเต็ม) ต้องมาช่วยรูดให้ แล้วให้เราจ่ายกับโรงแรมเขาแทน กว่าจะเสร็จก็เกือบเที่ยงคืน นอนไม่ค่อยจะเต็มอิ่มก็ต้องตื่นแต่เช้า
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
วัดอมราวดีในอังกฤษค่ะ
เราไปทานอาหารเช้าที่โรงแรมที่ช่วยเรารูดบัตร อาหารแพงกว่าหน่อยแต่ดีกว่ามาก ห้องทานข้าวก็ใหญ่โตโปร่งกว่า ที่รจนาชอบใจคือมีส้มสีทองตั้งทิ้งไว้ให้เราคั้นน้ำทานกันเองสด ๆ มีครัวซองต์อบมาใหม่ ๆ ร้อน ๆ (อืมม์) ขนมปังฝรั่งเศสหนานุ่ม ขนมปังหวาน กาแฟ ชา (มีเอิร์ลเกรย์ด้วย เยี่ยมเยี่ยม) แยมหลายรส น้ำผึ้ง เนย ชีส โยเกิร์ต คอร์นเฟลค มูสลี่ ฟรุตสลัด นมร้อน นมเย็น น้ำผลไม้สำเร็จรูป เรียกว่าอบอุ่นกว่าอาหารเช้าฝรั่งเศสตามปกติ (ไม่มีไข่หรือเบค่อน) คงเ็ป็นเพราะนักเดินทางหลากหลายชาติใช้บริการโรงแรมแบบนี้
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
กระจกแกะสลักภาพพระพุทธองค์ปางพุทธไสยาสน์ ฝีมือแม่ชีเรณู โอสถานุเคราะห์
ทานข้าวเสร็จ เราก็ลุยไปถึงเมืองบูลอญน์ซึ่งเป็นเืมืองท่าของฝรั่งเศสอยู่ด้านเหนือใกล้กับเมืองโดเวอร์ของอังกฤษ เราเอารถขึ้นเฟร์รี่ไปข้ามช่องแคบที่นั่นค่ะ ปกติเราสามารถข้ามช่องแคบโดยรถยนต์ได้สองทางคือ ทางผิวน้ำ โดยเรือขนานยนต์แบบธรรมดาและแบบด่วน (เวลาต่างกันสักชั่วโมง) หรือทางอุโมงค์ใต้น้ำ โดยนำรถยนต์ขึ้นรถไฟที่ปิดมิดชิดและลอดอุโมงค์ใต้ทะเลไป (มองไม่เห็นทะเลหรอกค่ะ มีแต่อุโมงค์) รจนาเลือกแบบเรือเร็วเพราะเช็คราคาแ้ล้วถูกที่สุด แต่มาคิดอีกทีค ไปทางอุโมงค์จะใช้เวลาน้อยกว่ากันมาก นี่แหละค่ะเสียน้อยเสียยาก
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ภายในโบสถ์วัดอมราวดี และเบาะรองนั่งสมาธิ โบสถ์เขาสร้างน่ารักจริง ๆ ค่ะ เหมือนตึกรีสอร์ตเพราะต้องปรับให้เข้ากับดินฟ้าอากาศด้วย
เรือเร็วของเราใช้เวลาชั่วโมงเดียว คลื่นลมสงบ แต่กระนั้นก็รู้สึกว่าเรือโคลงพอสมควร ที่นั่งในเรือคล้าย ๆ กับที่นั่งบนเครื่องบินค่ะ สะดวกสบาย มีร้านขายกาแฟของกินเล่นและขายของปลอดภาษีซึ่งไม่มีให้เลือกกี่อย่าง รจนานั่งใกล้ร้านปลอดภาษีนี่แหละ ทำเอาจะเป็นลมเพราะกลิ่นน้ำหอมสารพัดที่กระจายออกมาจากร้าน รจนาแพ้พวกกลิ่นน้ำหอมค่ะ
พอลงเรือที่โดเวอร์ เราก็เฆี่ยนต่อไปเมืองเฮเมลเฮมป์สเต็ด ซึ่งอยู่ทางเหนือของลอนดอน ระยะทางประมาณ ๒๐๐ กิโลเมตร
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
เมืองด็อคแลนด์ส์ (Docklands) ที่พ่อบ้านเฝ้าตามหาค่ะ เป็นท่าเรือเก่าที่แปลงมาเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยราคาแพง
รจนามีภารกิจไปรับหนังสือวินัยปิฎกให้กับพระสงฆ์ที่เมืองสวิตฯ โดยจะต้องไปรับที่วัดอมราวดีซึ่งไม่ไกลจากเมืองเฮเมลฯที่เราจะไปพัก งานนี้พ่อบ้านก็ช่วยขับพาไปวัด แต่ก็หลงวนเวียนจนเหนื่อย จนถึงวัดในที่สุดท่ามกลางฝนพรำ พ่อบ้านขอตัวไม่เข้าวัด แต่ขอนอนงีบเพราะขับมาไกลไม่ได้พักเลย สิริรวมแล้วก็เกือบสิบชั่วโมง รจนาก็เข้าไปพบคุณกระติกคนไทยที่เป็นผู้จัดการทั่วไป ซึ่งเตรียมหนังสือไว้ให้เรียบร้อยแล้ว พร้อมพารจนาเยี่ยมชมวัดอย่างรวดเร็ว ถือโอกาสนำภาพวัดไทยใน(ขอบ)ลอนดอนมาฝากด้วยค่ะ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
เมืองด็อคแลนส์อีกมุมนึงค่ะ
ระหว่างอยู่เมืองอังกฤษ รจนาก็ได้ไปเจอ ไปเที่ยว และไปลุยกับพิลกริมดังที่เล่าไปแล้วสองตอนนะคะ คืนสุดท้ายได้มีโอกาสทานฟิชแอนด์ชิปอันขึ้นชื่อของเมืองโบวิงดั้นที่เราไปพัก เจ้าของบ้านเขาคุยไว้ว่าปลาทอดในเมืองของเขาอร่อย เราก็เลยฉลองศรัทธาเสียเลย อร่อยจริง ๆ ด้วยค่ะ เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปไว้ หิวมาก ๆ เลยรีบหม่ำก่อนจะคว้ากล้องทัน
วันเสาร์เราเดินทางออกจากเฮเมลฯเพื่อไปลงเรือเฟร์รี่ที่ท่าโดเวอร์ เราเห็นว่าเป็นวันเสาร์ก็เลยขับรถทะลุกลางเมืองลอนดอน (ยังไม่ได้เล่าให้พิลฯฟัง) สะดวกโยธินค่ะ รถไม่ติดเลย วันธรรมดา เราไม่ควรเข้าเมืองโดยใช้รถเด็ดขาด เพราะเขามีโซนเก็บเงินค่ะ ไม่รู้เขาตั้งด่านตรงไหนหรือเก็บเงินอย่างไร ตอนเราเข้าเมืองวันเสาร์ เราจะเห็นป้ายเป็นระยะ ๆ ว่าวันจันทร์ถึงศุกร์หากใครขับรถผ่านโซนนี้ตอนเวลาเร่งด่วนจะต้องเสียเงินค่าผ่านทาง เราไปวันหยุดก็เลยรอดตัวไป
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
รจนาเห็นคาเฟ่สวย ๆ มีสีสันก็อดถ่ายภาพเก็บไว้ไม่ได้
พ่อบ้านอยากไปดูท่าเรือเก่าของลอนดอนที่ตอนนี้กลายมาเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยราคาแพง (ริมน้ำ สงบ กว้างขวาง) ชื่อว่า ด็อคแลนด์ส์ (Docklands) พวกเราก็ลุยกันจนเจอโดยพ่อบ้าน(แสนเก่ง)ดูแผนที่ ชี้ให้รจนาดูจุดหนึ่งของแม่น้ำเทมส์ บอกว่า ลักษณะริมตลิ่งแม่น้ำ(เป็นหยัก ๆ) อย่างนี้ต้องเป็นท่าเรือเก่าแน่นอน ไปทางนี้แหละ ทั้ง ๆ ที่ในแผนที่ก็ไม่ได้บอกชื่อเอาไว้ ไปแล้วก็เจอจริง ๆ ต้องชมเชยฝรั่งที่เกิดมากับการอ่านแผนที่จริง ๆ รจนาน่ะ อ่านบอกทางได้ แต่จะหัวไม่ค่อยไวเรื่องทิศเหนือใต้ออกตกเมื่อเทียบกับรถที่กำลังวิ่งเท่าไร
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ได้ข้ามสะพานลอนดอนอันขึ้นชื่อวันฝนฉ่ำด้วยค่ะ ดีที่รถเราเปิดประทุนได้ ก็เลยเก็บภาพจากมุมนี้ได้ งานนี้รจนายอมเปียกฝนไปสองสามหยดค่ะ (พิลจ๋า ที่รจนาเรียกสะพานลอนดอนนี่ใช่หรือเปล่า รจรู้สึกจะจำสับสนกับทาวเวอร์บริดจส์ รู้แล้วโปรดช่วยแก้ไขด้วย)
ดูลอนดอนในสายฝนจนพอใจแล้ว พวกเราก็มุ่งหน้าไปโดเวอร์เพื่อขึ้นเรือข้ามกลับแผ่นดินใหญ่ ปรากฏว่าเดินทางได้ ๑๐๐ กว่ากิโล เครื่องเทอร์โบฯเกิดอาการขัดข้อง ยังขับได้อยู่ แต่ไม่มีแรงเทอร์โบ ร้อนถึงพ่อบ้านต้องขับกลับไปซ่อมอีก เพราะอย่างน้อยก็ยังอยู่ในประเทศอังกฤษ เสียเวลาซ่อมแป๊บเดียวแต่ต้องขับรถไปกลับสามสี่ชั่วโมง ทำให้เราต้องโทรเลื่อนตั๋วเดินทาง เสียค่าปรับ สุดท้ายพอไปถึงท่าเรือจริง ๆ ทางบริษัทเรือกลับบอกเราเฉยเลยว่า ออกเรือไม่ได้เพราะคลื่นลมแรง ทำเอาเราแห้วไปเลย เหนื่อยแทบล้มประดาตาย
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ที่นั่งในเรือเฟร์รี่ สะดวกสบาย สีสันสดใส น่านั่งนาน ๆ จริง ๆ หากไม่กลัวเมาคลื่นเสียก่อน
หันหน้ามาปรึกษากัน ก็เลยตกลงกับพ่อบ้านว่าเปลี่ยนบริษัทเรือ ไปเรือใหญ่กว่า พอไปเช็คก็ปรากฎว่าเขามีเรือข้ามฟากจริง ๆ แต่ตั๋วแพงมาก ก็ต้องกัดฟันซื้อสินะ ส่วนตั๋วบริษัทแรกนั่นเขาบอกจะคืนเงินให้ผ่านบัตรเครดิต พอซื้อตั๋วแล้วพ่อบ้านก็มาเห็นว่ามีน้ำมันเหลือติดรถแค่ลิตรเดียว ก็รีบประคองรถไปหาปั๊มน้ำมัน โชคดีหาเจอก่อนน้ำมันหมด เราเติมน้ำมันแค่หกปอนด์ค่ะ เรียกว่ากวาดทุกบาททุกสตางค์ เอ๊ย ทุกปอนด์ทุกเพ็นนีที่มี พ่อบ้านไม่ยอมเิติมมากกว่านั้น บอกว่า เราแค่ขับรถขึ้นเรือแล้วก็ขับลงเรือ น้ำมันที่อังกฤษแพงกว่าที่ฝรั่งเศสมาก ๆ ไปเติมที่ฝรั่งเศสดีกว่า...นี่เห็นไหม พ่อบ้านยอดประหยัด(เสียไม่มี)ของรจนา
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ผับสวย ๆ เก๋า ๆ เอามาฝากกันดูค่ะ
เราได้ลงเรือในที่สุด การเดินทางราบรื่นดี ภายในเรือใหญ่โตโอ่อ่าสวยงาม เหมือนล้อบบี้โรงแรม แต่ก็กระเด้งกระดอนตามคลื่นลมพอสมควร รจนาชวนพ่อบ้านไปทานฟิชแอนด์ชิปในเรือส่งท้าย รสชาติก็งั้น ๆ ค่ะ ตามประสาอาหารในเรือ ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงกว่า ๆ แล้วก็ไปติดเท้งเต้งอยู่หน้าท่าเมืองคาร์เล่ส์ เพราะต้องรอเรือเล็กมานำร่องเข้าไปเทียบท่า แค่รอเรือลากนี่ก็เกือบชั่วโมงค่ะ
พอขึ้นฝั่งได้เราก็รีบไปเติมน้ำมันทันที แล้วก็ไปหาที่พัก ได้บีบี (Bread and Breakfast) แห่งหนึ่งที่เคยไปพักเมื่อสี่ปีที่แล้ว ยังติดใจอยู่ เจ้าของบ้านก็จำเราได้ เราก็พักห้องเดิม เตียงเดิม ตอนเช้าเขาก็หาครัวซองต์อันใหญ่มาให้เราทานกับกาแฟกัน พวกเรารีบออกเดินทางแต่เช้าเพราะอีก ๙๐๐ กิโลกว่าจะถึงบ้าน
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
เมืองราม์ส์ด้านหนึ่ง
เราเดินทางจากบีบีมามาได้สัก ๒๐๐ กิโล รจนาหลับ ๆ ตื่น ๆ ในรถเพราะเพลียมาหลายวัน ปรากฏว่าเครื่องยนต์ดับไปเสียเฉย ๆ ตอนกำลังจะขึ้นเนินค่ะ พ่อบ้านประคองรถไปได้หน่อยนึงก็ไม่สามารถแล่นไปได้อีกต่อไป ทีนี้ก็ต้องลงเข็นสิคะ เข็นขึ้นเนิน ไม่ชันมากแต่ก็ไม่สนุกเลย ดีว่ารถเล็กและเบามาก ไม่อย่างนั้นคงเข็นไม่ไหวแน่ พ่อบ้านสุภาพบุรุษให้รจนานั่งกำกับพวงมาลัย ส่วนตัวเองไปเข็น เข็นได้สัก ๑๐๐ เมตรก็ต้องนั่งพักหอบฮัก ๆ น่าสงสาร ท่าทางเหมือนจะเป็นลมเอา พอหายเหนื่อยก็เข็นต่อ เข็นไปได้เกือบกิโลก็ถึงที่พักข้างทางค่ะ รจนาช่วยเข็นตอนสุดท้าย ก็ลิ้นห้อยเหมือนกันค่ะ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
มุมขายของที่ระลึกเล็ก ๆ น่ารักในเมืองราม์ส์
ตรงจุดพักข้างทาง มีห้องน้ำ มีโทรศัพท์ด่วนให้เรียกรถยกมาช่วย เรารอรถยกไม่นานจริง ๆ ก็มาถึง มีช่างมาด้วยสองคน ช่างก็ถามอาการ พ่อบ้านก็บอกอาการ พอเห็นช่างท่าทางลูกทุ่งมุ่งหน้าจะมาเปิดท้ายรถ (เครื่องยนต์อยู่ท้าย) ก็ไม่ยอมให้เปิดค่ะ เพราะไม่ไว้ใจ ขอให้เขาช่วยแค่ขับยกรถเราไปทิ้งไว้ที่อู่สมาร์ทเท่านั้น วันนี้เป็นวันอาทิตย์จึงไม่มีอู่ไหนเปิด
ช่างสองคนก็ดูจะไม่พอใจหน่อย ๆ พยายามจะชวนให้ไปซ่อมที่อู่เขา พ่อบ้านก็ไม่เอาด้วยค่ะ เพราะเธอรู้เรื่องเครื่องยนต์ดี และรู้ว่ารถเราเป็นรถเทคโนโลยี ใช้ชิปคอมพิวเตอร์ในการควบคุมการทำงาน ช่างธรรมดา ขาดเครื่องมือ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์จะซ่อมรถเราไม่ได้ค่ะ ยกเว้นจะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับกลไกอิเล็กโทรนิกส์ควบคุมการขับเคลื่อน
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
เมืองราม์ส์กับฟ้าสีคราม
แต่คนขับรถยกทั้งสองก็พาเราไปส่งที่อู่แต่โดยดีค่ะ ขับไปแค่ ๒๕ กิโลเมตรก็ถึง รถเราเป็นสมาชิกของบริการรถยกและซ่อมฉุกเฉินทั่วยุโรป (ประเทศใหญ่ ๆ) ก็เลยไม่ต้องเสียเงินพิเศษ พ่อบ้านก็ยุ่งกับการโทรศัพท์แจ้งประกัน แจ้งศูนย์บริการ ดีว่ายังมีสายด่วนทุกวันทุกเวลา ไม่งั้นก็คงไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายเราก็ต้องทิ้งรถไว้ที่ศูนย์รถสมาร์ท ซึ่งอยู่ในทำเลที่ปลอดภัยดี ไม่ต้องกลัวใครมาขโมย (ก็อู่เขายังจอดรถของเขาทิ้งไว้เลย)
ดีที่อยู่ใกล้ร้านอาหารและโรงแรมหลายแห่งมากเลย เราก็เลยเดินไปดูโรงแรมก่อน แล้วก็จองห้องพัก จากนั้นจึงเดินกลับมาทานอาหารกัน ทานเสร็จก็ให้ทางร้านช่วยเรียกแท้กซี่ให้ เราไปเอากระเป๋าที่รถ แล้วก็ให้แท้กซี่พาไปโรงแรม ระยะทางประมาณ ๒-๓ กิโลไม่ถึงดี แค่นี้ก็ ๑๕ ยูโรค่ะ เฮ้อ ลมจะจับ

![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
เมืองราม์ส์กับน้ำพุสวย ๆ
ไหน ๆ ก็เสียเวลาทำอะไรไม่ได้แล้ว พวกเราก็เลยนอนพักเอาแรง ก่อนจะออกไปเที่ยวเมืองราม์ส์ (Reims) ที่มีมหาวิหารสวยงามเป็นที่ปราบดาภิเษกกษัตริย์ฝรั่งเศสหลายพระองค์ เป็นที่เซ็นสัญญาสงบสงครามโลกครั้งที่สองระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี ถือเป็นการท่องเที่ยวไปในตัว
เดินดูํเมืองเหงา ๆ (วันอาทิตย์ร้านขายของไม่เปิด) แต่ยังมีถนนคนเดินเล่น มีน้ำพุ มีร้านอาหารสวย ๆ หลายแห่ง ก็พอได้เพลิดเพลินบ้างค่ะ ไปทานอาหารเย็นอร่อย ๆ ที่ร้านชื่อว่า กร็องด์คาเฟ่ เรานั่งทานข้างนอก อากาศไม่เย็นจนเกินไป บริกรทำหน้าที่ดีมาก พอเราเดินเข้าไปในร้านเพื่อไปเข้าห้องน้ำ จึงเห็นว่าข้างในใหญ่โตโอ่โถง ตกแต่งแบบยุคซิกซ์ตี้ เท่น่านั่งมากเชียวค่ะ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ภายนอกอาคารที่ทำการของ "การท่องเที่ยวแห่งเมืองราม์ส์" ค่ะ มีแต่อิฐแต่หิน ทำให้นึกถึงอยุธยาบ้านเรา
คืนนั้น พวกเรานอนหลับสบายใช้ได้ วันรุ่งขึ้น พ่อบ้านรีบทานอาหารเช้าแล้วเดินไปที่อู่ (ประมาณ ๒ กิโล) บอกให้รจนาตามไปตอนไหนก็ได้ พอสาย ๆ รจนาก็เลยรีบตามไปด้วยความเป็นห่วง ปรากฏว่า ช่างเขายังไม่มาทำงานจนกว่าจะ ๑๐ โมงค่ะ ก็เลยร้องเพลงรอกันต่อไป สุดท้ายช่างมา ตรวจอาการ แล้วส่ายหัวว่า "ซ่อมบ่ได้ เครื่องพังแล้ว" พ่อบ้านก็เจรจาอยู่พักใหญ่ โทรศัพท์ประสานงาน แต่ก็สรุปว่า เราต้องทิ้งรถไว้ที่นี่ แล้วให้เขาลากไปส่งศูนย์สมาร์ทที่เจนีวา (อีก ๗๐๐ กิโล) ในวันหลัง ทางอู่เขาก็ให้ช่างคนหนึ่งหน้าดีรับแขกดีช่วยขับรถมาส่งพวกเราที่โรงแรม ช่างก็ดีใจหาย รอให้เราเก็บกระเป๋า เช็คเอ้าท์ แล้วก็พาไปส่งที่สถานีรถไฟโดยปลอดภัย ที่นี่เราค่อยมาเลือกเอาว่าจะไปรถไฟหรือเช่ารถขับกลับบ้าน
เราสองคนปรึกษากัน มองดูของที่พะรุงพะรังแล้วก็ตัดสินใจว่าเช่ารถดีกว่า ก็เลยเดินเข้าไปหาแถว ๆ นั้น เช่าได้รถยนต์ขนาดกลางคันหนึ่ง เครื่องยนต์ดีเซลประหยัดน้ำมัน นั่นแหละค่ะ พาหนะที่เราใช้ขับกลับบ้าน เดินทางกันประมาณเจ็ดชั่วโมง มาถึงสักเจนีวาสักสองทุ่มได้ แล้วเราก็เอารถไปคืนที่สนามบิน ข้อดีของยุโรปพรมแดนเปิดค่ะ เช่าจากที่นึงก็ไปคืนอีกที่นึงได้้
กว่าจะรื้อกระเป๋า จัดการจุก ๆ จิก ๆ ก็ได้เข้านอนกว่าเที่ยงคืน วันรุ่งขึ้นก็ไปทำงานตามปกติ
ที่เล่ามาเสียอย่างยืดยาวไม่ใช่จะมาบ่นเรื่องความยากลำบากหรอกค่ะ แต่อยากเล่าถึงบริการต่าง ๆ ตามเส้นทางในยุโรปที่ถือว่าช่วยเราได้มาก หากไม่มีที่พัก(รถเสีย)ริมทางก็คงลำบาก หากไม่มีบริการรถยกก็คงยุ่งน่าดู หากไม่มีศูนย์รถสมาร์ทในเมืองใหญ่ พวกเราก็คงไม่รู้จะเอารถไปไว้ที่ไหน และแค่มีบัตรเครดิตบัตรเดียวก็สบายไปแปดอย่าง (หลังจากลำบากมาสิบอย่าง) แหะ แหะ การพูดภาษาฝรั่งเศสได้ก็ช่วยเราไว้ได้เยอะเหมือนกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องยกความดีไว้ให้คุณพ่อบ้านเรื่องภาษาค่ะ
จึีงเล่าการเดินทางภาคพิศดารหลากรสวุ่นวายเหน็ดเหนื่อยมาด้วยประการฉะนี้ เฮ้อ แถมด้วยภาพอีกนิดหน่อยค่ะ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
จตุรัสนักท่องเที่ยวเมืองราม์ส์ยามค่ำคืน ที่เห็นป้ายไกล ๆ สีแดงกับเหลืองนั่น คือป้ายโฆษณาหอยแมลงภู่กับมันฝรั่งทอด (เฟรชฟรายด์) ค่ะ เพราะเป็นของกินคู่กัน และเป็นของกินขึ้นชื่อของเมืองบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม แต่ที่ฝรั่งเศสก็นิยมไม่แพ้กันโดยเฉพาะในแถบทะเล
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ถนนหนทางและตึกรามบ้านช่องในเมืองราม์ส์ในแสงนีออน
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
และมหาวิหารแห่งเมืองราม์ส์ในยามค่ำคืนค่ะ มหาวิหารแห่งนี้ได้รับการยกให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ค่ะ
เมื่อวันที่ : ๐๙ มิ.ย. ๒๕๔๙, ๐๓.๓๔ น.
เป็นการเดินทางที่ต้องผจญภัยน่าดู
อ่านถึงตอนที่พี่เหนื่อย ยังเหนื่อยตามไปด้วย
แต่คิดว่าคงเป็นการเดินทางที่อบอุ่นและมีความสุขมากๆเลยนะคะ
รูปสวยมากค่ะ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจในทุกครั้งนะคะพี่รจนา
พันเองก็อยากทำดี...กำลังเรียนรู้และหาตรงกลางอยู่
และ แหะๆ สับสนทุกทีเลยค่ะ กับ ป้าหมูรจนา