![]() |
![]() |
![]() |
ใกล้จะหมดไตรมาสที่สามของปีอีกแล้วนะครับ พักหลังนี้ผมมักจะครุ่นคิดถึงชีวิตบ่อย ๆ และรู้สึกอย่างเป็นจริงเป็นจังว่าชีวิตเป็นเรื่องยากเหลือเกิน คนที่ผ่านชีวิตมามากพอ ย่อมจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากกันทุกคน ปีนี้นับเป็นปีที่ยากลำบากอีกปีหนึ่งของผม ช่วงเวลาที่แย่ ๆ ของชีวิต มักจะทำให้ผมได้เรียนรู้อยู่เสมอ เป็นความจริงที่ว่าเวลาที่คุณท่วมท้นไปด้วยความสุข หัวใจจะเบิกบานจนไม่มีเวลาเหลือให้กับการเรียนรู้ใด ๆ
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
สิ่งที่อยากจะชวนคุยวันนี้ คือการเรียนรู้ที่ผ่านมาครับ ผมพบว่าหากไม่อยากเสียใจจงอย่าเชื่อใจอะไร เพราะสิ่งที่ทำร้ายใจเราได้มากที่สุด คือการพบว่าสิ่งที่เราเชื่อถือมาตลอดนั้นมันไม่จริง ลองใคร่ครวญดูนะครับ เราเสียใจมากี่หนแล้วเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจ ... พูดแบบนี้คุณผู้อ่านคงจะมีเสียงค้านดังขึ้นในใจ แต่ลองใคร่ครวญดูจริง ๆ อย่างตรงไปตรงมาเถิด
มิได้ประสงค์ให้มองโลกในแง่ร้ายนะครับ เพราะสิ่งที่พูดออกมาในย่อหน้าก่อนนี้ เป็นเพียงส่วนเดียวของการเรียนรู้ของผม ผมยังเรียนรู้สิ่งสำคัญอีกอย่าง คือผมพบว่าหากต้องการมีความ(สงบ)สุขในชีวิต เราจำเป็นต้องไว้เนื้อเชื่อใจต่อผู้คน มีแต่ความไว้วางใจกันเท่านั้น ที่ทำให้โลกใบนี้งดงาม ต้นไม้แห่งมิตรภาพและรอยยิ้ม มีความไว้วางใจเป็นปุ๋ย
การเรียนรู้สองอย่างนี้แหละ ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตเป็นเรื่องยาก
มันยากเพราะความไว้วางใจ คือ จุดเริ่มต้นของมิตรภาพ(ความสุข) ในขณะเดียวกัน มันยังเปิดช่องให้เราพบการหลอกลวง(ความเสียใจ)อีกด้วย
เมื่อวนเวียนกับเรื่องซ้ำ ๆ แบบนี้หลายครั้งเข้า ผมก็พบว่า ความเสียใจมันก็ไม่เท่าไร มันเป็นเพียงสภาวะอย่างหนึ่งเท่านั้น เราต้องเผชิญความเสียใจที่จะเกิดขึ้นอย่างสงบ เราต้องยอมรับโดยดุษฏีว่า ความเสียใจเป็นธรรมดาโลก
อย่าไปเติมเชื้อความสำคัญต่อความเสียใจที่เกิดขึ้นให้มากนัก เพียงไม่นานก็ผ่านไป แล้วเราจะกล้าที่จะเชื่อใจผู้คนได้อีก เมื่อนั้น ความสุขในชีวิตอย่างถาวรจึงจะเกิดขึ้นได้
ลองพิจารณา Flow Chart ง่าย ๆ ต่อไปนี้


ถ้าช่วงใดชีวิตพบกับแบบ A ชีวิตก็มีความสุข ถ้าช่วงใดชีวิตพบแต่แบบ B ความไว้วางใจต่อมนุษย์ก็ลดลง และอย่างที่เราทราบนะครับ โลกเราทุกวันนี้หาคนไว้วางใจต่อกันยากขึ้นทุกที เพราะต่างก็เคยเผชิญกับความเสียใจกันมากบ้างน้อยบ้าง
คำตอบที่พบคือ ต้องเอาความเข้าใจธรรมชาติของชีวิตที่มีความเสียใจเป็นธรรมดา มาเป็นตัวเชื่อม เพื่อให้ A + B = C

คีย์สำคัญคือความเข้าใจธรรมชาติของชีวิต ที่มีความเสียใจเป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องลดความสำคัญมันลง ก่อนที่ความเสียใจจะทำลายชีวิตเรา
เขียนถึงบรรทัดนี้ ผมรู้สึกเลยว่า นี่คืองานเขียนที่แข็งทื่อที่สุดชิ้นหนึ่งเท่าที่เคยเขียนมา

ขอบคุณที่อ่านจนจบ
จากใจ..บรรณาธิการ,
๓๐ สิงหาคม ๒๕๔๘
![]() | |
![]() | |
editorial | นิตยสารรายสะดวก |
เมื่อวันที่ : 30 ส.ค. 2548, 19.38 น.
ขอขานรับท่านบรรณาธิการโดยพลัน
แรกสุด รจนาคิดว่า บทบรรณาธิการ นี่ไม่แข็งเลย แต่เต็มไปด้วยความจริงของชีวิตที่เรามักมองข้าม เต็มไปด้วยบทเรียนที่ผู้เขียนยอมรับอย่างจริงใจกับตนเอง
ขอบคุณที่ช่วยให้ข้อคิดดี ๆ แก่พวกเราเสมอ แม้บางครั้งต้องนำตัวเองมาเป็น "กรณีศึกษา"
สำหรับสูตรทั้งสองที่ท่านบรรณาธิการกล่างถึงนั้น ในสูตรที่หนึ่ง (เอ) รจนาว่า เราต้องเติม "ความไม่ยึดติด" ลงไปด้วย
กล่าวคือ
A. ความไว้เนื้อเชื่อใจ + ความไม่ยึดมั่นถือมั่น -> มิตรภาพ -> ความอบอุ่นใจ -> รอยยิ้ม -> ความสุข
ส่วนสูตรที่สอง (บี) เราเติม "ความยึดมั่นถือมั่น" ลงไปก็จะได้ผลดังนี้
B. ความไว้เนื้อเชื่อใจ + ความยึดมั่นถือมั่น -> การหลอกลวง/หักหลัง -> ความผิดหวังเสียใจ -> สิ้นศรัทธาต่อโลก -> ความไม่ไว้ใจสิ่งใด -> ความโดดเดี่ยว -> เผชิญโลกตามลำพัง -> ความทุกข์
ทั้งนี้ รจนาเพิ่งฟังพระเทศน์มาเมื่ออาทิตย์ก่อน ท่านให้สูตรสำหรับแปลคำว่า "ความทุกข์" ไว้ดังนี้
ปริมาณของความทุกข์ = ความเจ็บปวด x การต่อต้าน
นั่นคือ ยิ่งต่อต้านหรือยึดมั่นถือมั่นความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นก็ยิ่งทุกข์มาก
และ หากปล่อยวางความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น โดยการไม่ต่อต้านเลยหรือต่อต้านน้อยมาก ก็ทุกข์น้อยลงเท่านั้น
อ่านแล้วอย่าเพิ่งเชื่อตามนี้นะคะ ต้องลองพิจารณาดูเองว่า จริงหรือไม่