![]() |
![]() |
pilgrim![]() |




3 มีนาคม 2005 วันนี้ ที่ Loughborough ท้องฟ้าแจ่มใส ด้วยแสงตะวันที่ส่องเจิดจ้า หลังจากที่หิมะตกมาหลายวัน วันนี้เป็นวันพิเศษอีกวันหนึ่งที่ เราเฝ้ารอมานาน เพราะเป็นวันครบรอบการก่อตั้ง Social Relief Society ของโบสถ์ The Church of Jesus Christ of Latter-Day Saints ซึ่ง เป็นกลุ่มสตรีที่รวมตัวกันระหว่างสมาชิกของโบสถ์เพื่อศึกษาพระคัมภีร์และคำสอนร่วมกัน และคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันในหมู่สมาชิก เขาเลยจัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์โดยการไปเยี่ยมคนแก่สตรีที่บ้านพักคนชรา เพื่อนที่โบสถ์ขับรถมารับเราที่บ้านตอนสาย จากนั้นก็ไปรวมตัวกันที่โบสถ์ เพราะส่วนใหญ่ไม่มีใครรู้ทางไป เลยต้องไปตั้งต้นกันที่โบสถ์ก่อน จากนั้นก็ขับรถตามกันไปเป็นหาง
บ้านพักคนชราที่นี่ดีมากๆเลย เป็นแฟลตหลายชั้น สะอาดสะอ้าน เมื่อเข้าไปภายในมีห้องนั่งเล่นที่กว้างขวาง มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งเล่นเกมส์ อ่านหนังสือ และมีโซฟาสำหรับใช้รับแขก ส่วนหนึ่งจัดเป็นห้องอาหาร มีโต๊ะอาหารจัดเรียงไว้ประมาณสิบโต๊ะให้นั่งรับประทานอาหารร่วมกันประมาณโต๊ะละสี่คนบ้าง หกคนบ้าง แปดคนบ้าง กลุ่มพวกเราติดต่อเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลประจำบ้านพัก เพื่อยืนยันว่าเรามาแล้ว และพร้อมจะร่วมกิจกรรมกับผู้ชราสตรีทั้งหลายแล้วแต่ คุณยายเหล่านั้นปรารถนาที่จะทำ เช่น ถ้าใครอยากไปนั่งรถเที่ยว พวกเราที่มีรถก็จะขับพาท่านเหล่านั้นไป หรือใครอยากไปจ่ายตลาดก็จะขับรถพาไป หรือใครไม่อยากไปไหน สมัครใจอยากนั่งคุยกัน ก็จะมีกลุ่มหนึ่งคอยอยู่เจ๊าะแจ๊ะกับคุณยายเหล่านั้น
ผู้ดูแลใช้เครื่องอินเตอร์คอมภายใน กดเรียกไปตามห้องต่างๆที่ลงชื่อแสดงความจำนงไว้ ว่าต้องการจะทำอะไร ปรากฏว่าการติดต่อกับคุณยายตามห้องต่างๆสร้างความสนุกสนานกับพวกเราพอสมควร เพราะบางท่านก็ลืม (เป็นไปตามวัย) ว่าพวกเราจะมา ก็เลยยังไม่ได้แต่งตัว จึงบอกให้พวกเรารอให้ท่านแต่งตัวเสร็จก่อน บางท่านก็บอกเลิกเสียเฉยๆ ว่าวันนี้ ไม่อยากไปไหนทั้งนั้น มีคุณยายสองคนไปโรงพยาบาล ทำให้ไม่สามารถมาปรากฏตัวให้เราบำเพ็ญประโยชน์กับท่านได้ บางท่านก็ลืม ถามแล้วถามอีกว่าใครจะมา แล้วมาทำอะไร ทั้งๆที่ท่านลงชื่อไว้แล้ว เรื่องนี้ เราไม่ว่ากันนะคะคุณยายขา ใครไม่แก่บ้างก็ให้มันรู้ไป
ขณะกำลังรอ คุณยายคนหนึ่งเป็นสมาชิกอยู่ที่โบสถ์ ซึ่งมาอยู่ที่บ้านพักคนชราที่นี่ด้วย ก็พาไปดูห้องที่คุณยายพักอยู่กับสามีของคุณยาย ทำให้เรารู้ว่า ที่บ้านพักแห่งนี้ นอกจากจะอยู่แบบเดี่ยวๆ ใครยังมีคู่ จะมาอยู่กันสองคนตายายก็ได้ ภายในห้องของคุณยายเป็นลักษณะแนวกว้าง ผิดกับแฟลตหรือคอนโดของบ้านเรา ที่เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะเป็นแนวลึกยาวเข้าไป แต่ห้องพักที่นี่ เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปจะเป็นห้องเล็กๆ ที่ใช้แขวนเสื้อโค้ต หรือเก็บรองเท้า ห้องนี้จะเป็นเหมือนห้องเล็กๆตรงกลาง จากนั้น เมื่อเปิดประตูด้านซ้ายจะเป็นห้องนั่งเล่นกับห้องครัวเล็กๆอยู่ในบริเวณเดียวกัน ภายในห้องนั่งเล่นก็มีเก้าอี้โซฟากับทีวี ส่วนตรงที่จัดเป็นครัวนั้น คุณยายบอกว่า ปกติผู้ดูแลเขามีอาหารให้สามมื้อ แต่เขาก็จัดตู้เย็น เตาไฟฟ้า และไมโครเวฟไว้ให้ เผื่อคุณตา คุณยายท่านไหนจะอยากทำอะไรเล็กๆน้อยๆรับประทานเอง เมื่อเปิดประตูด้านขวาจะเป็นห้องนอน ส่วนประตูตรงกลางเป็นห้องน้ำขนาดกว้างใหญ่ มีที่นั่งอาบน้ำใต้ฝักบัวให้ด้วย เหมาะสำหรับผู้ชราเพราะยืนนานๆไม่ค่อยไหว ทุกคนที่ไปต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า น่าอยู่นะ เป็นที่ที่ดีมากๆเลย
หลังจากรอกันชั่วครู่หนึ่ง คุณยายก็แต่งตัวทยอยกันลงมา ส่วนใหญ่ท่านอยู่ในวัย 80 ขึ้นไปทั้งนั้นเลย นั่งรถเข็นลงลิฟต์มาบ้าง เดินถือไม้เท้ากระย่องกระแย่งมาบ้าง บางท่านก็ใช้อุปกรณ์ช่วยเดินแบบมีล้อเลื่อน แต่ละท่านแต่งตัวกันสวยงาม ผู้นำของเราจึงจัดกลุ่มทำกิจกรรม เนื่องจากเรามีรถมา 3 คัน ดังนั้น พวกเราส่วนหนึ่งจึงติดรถพาคุณยายไปนั่งรถเที่ยวชมวิว ส่วนเรากับเพื่อนอีกสองคนถูกจัดให้นั่งคุยกับคุณยายสองสามท่านที่ลงมานั่งคุยที่ห้องนั่งเล่น คุณยายที่ไม่ไปนั่งรถเที่ยวตะโกนแซวเพื่อนที่ไปอย่างน่ารักว่า "Enjoy yourself while youre still alive." แล้วท่านก็หันมากระซิบกระซาบว่า คุณยายคนที่ถูกแซวนั่น อายุตั้ง 95 แล้วนะ จะไปวันไหนก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็ให้เขามีความสุขที่สุดแล้วกัน
ภายในห้องนั่งเล่น เป็นห้องกระจกบานใหญ่ ตกแต่งสวยงาม มองออกไปภายนอกเป็นสวนขนาดกว้าง ตอนหน้าร้อน ที่อากาศกำลังสบายๆ คุณตาคุณยายสามารถออกไปเดินเล่นได้ แต่ตอนนี้หน้าหนาวเยือก พวกเราจึงสมัครใจนั่งคุยกันข้างในดีกว่า จากนั้น เจ้าหน้าที่ก็นำชากับน้ำหวานมาเลี้ยง เราก็เลยรับอาสาชงชากับรินน้ำหวานแจกทุกคน เพราะในที่นั้น มีเราเด็กที่สุด แล้วเราก็นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ คุณยายถามว่าเมืองไทยเป็นยังไง เราเคยเดินทางไปไหนมาบ้าง แล้วคุณยายก็เล่าว่า คุณยายก็เดินทางมาเยอะ เคยไปอยู่เยอรมนีมากับสามีที่เป็นทหาร ตอนนี้สามีเสียไปแล้ว แล้วคุณยายก็เล่าว่าเพราะเหตุใดถึงมาอยู่ที่บ้านพักคนชรา คุณยายบอกว่า หลังจากสามีตาย ตอนแรกก็อยู่กับครอบครัวของลูกสาวคุณยาย แต่ต่อมา คุณยายป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับกระดูกทำให้เดินไม่ค่อยไหวและต้องมีคนดูแล คุณยายเลยตัดสินใจมาอยู่นี่ดีกว่า เพราะ "I didnt want to ruin their lives." เป็นคำพูดที่น่าสะเทือนใจมาก ลองนึกถึงความรู้สึกของคนเป็นแม่ที่สุขภาพไม่ดี ก็เลยต้องมาอยู่บ้านพักคนชราอย่างโดดเดี่ยว เพราะไม่อยากให้เป็นภาระของลูก ทำให้ชีวิตของลูกพลอยไม่เป็นสุขไปด้วย สำหรับวัฒนธรรมแบบตัวใครตัวมันของฝรั่ง เราไม่รู้ว่าเขารู้สึกกันอย่างไร แต่กับคนไทยอย่างเรา บอกได้คำเดียวว่าซึมไปเลย คนเป็นแม่ถึงอย่างไรก็มีใจรักลูกเสมอ ยอมเสียสละเพื่อลูกได้ทุกอย่าง แต่ลูกๆดูเหมือนจะไม่ค่อยรู้สึกกัน คุณยายก็คงรู้สึกเงียบเหงาอยู่เหมือนกัน ยิ่งเป็นคนแก่ ยิ่งต้องการคนดูแล แต่ความที่อยากให้ลูกมีความสุข ท่านก็ต้องปลีกตัวออกมาอยู่ตามลำพัง...มาอยู่กับคนแปลกหน้า
พวกเรานั่งคุยกับคุณยายอย่างเพลิดเพลิน ยิ่งใกล้เที่ยงคุณตาคุณยายก็ยิ่งมาปรากฏตัวกันเยอะแยะ เพราะใกล้มื้ออาหารกลางวัน สังเกตดูผู้ชราที่นี่ จะมีปัญหาเรื่องความจำกันทั้งนั้น คือ หลงๆลืมๆกันเป็นส่วนใหญ่ บางท่านก็หาของทั้งวัน เดี๋ยวนั่นหาย เดี๋ยวนี่หาย คนเป็นผู้ดูแลคงต้องใจเย็นและใจดีมากๆเลย เพราะคุณตาคุณยายเหล่านี้ ท่านก็เป็นไปตามวัยคือ งกๆเงิ่นๆ หลงๆลืมๆ บางทีก็พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง เช่น บอกให้ทำอะไร ก็ไม่ทำเสียอย่างนั้นแหละ แบบไม่มีเหตุผลเสียด้วย ประมาณว่าข้าไม่อยากทำเสียอย่าง อย่ามาบังคับนะ คุณยายคนหนึ่ง ชื่อ Betty เห็นคุณยายคนอื่นๆหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา ท่านก็เปิดกระเป๋าถือของท่านบ้าง แล้วก็หยิบเอาของในกระเป๋าออกมา ปรากฏว่ามีเสื้อยกทรงหนึ่งตัวกับกระเป๋าสตางค์ ทำเอาเรานึกฉงนปนขำว่าคุณยายแกจะพกเสื้อยกทรงมาทำไม (แต่ทรงคุณยายก็สวยจริงๆ ท่านเป็นคนรูปร่างดี สูงเพรียว เรายังนึกแอบชมในใจตอนเห็นท่านเป็นครั้งแรก) คุณยายคนอื่นบอกว่า คุณยาย Betty ความจำไม่ค่อยดีแล้ว หลงๆลืมๆแบบนี้เป็นประจำ เพราะอายุตั้ง 88 แล้ว แต่คุณยาย Betty ก็ทำให้เราประทับใจ เพราะท่านมาทรุดกายนั่งข้างเรา ยื่นมือมาจัดผ้าพันคอให้เรา แล้วชมว่าผ้าพันคอลายสก็อตของเราสวย เราเลยบอกคุณยายว่า เราซื้อมาจากสก็อตแลนด์ตอนที่ไปเที่ยวที่นั่น คุณยายก็ยิ้มแบบใจดีแล้วพูดทวนช้าๆแบบไม่ค่อยรับรู้ว่า "Oh, Scotland!" กับอีกตอนหนึ่ง พอดีเราเพิ่งหายป่วยจากไข้หวัดแต่ยังมีอาการไออยู่ พอเราเริ่มไอ คุณยาย Betty ก็มาลูบหลังให้เรา แล้วถามอย่างเป็นห่วงว่า เราเป็นอะไรหรือเปล่า ทำเอาเราซาบซึ้ง โธ่ จะมาดูแลคุณยาย กลับมานั่งไอให้คุณยายดูแล้ว เราหนอเรา...
ใกล้เที่ยง กลุ่มที่ไปนั่งรถเที่ยวก็กลับมา เพราะต้องพาคุณยายทั้งหลายกลับมารับประทานมื้อกลางวัน เพื่อนในกลุ่มที่พาคุณยายออกไปนั่งรถเข้ามาถามว่า เป็นไง คุยกันสนุกไหม เราบอกว่า สนุก คุยกันเพลินดี เพื่อนบอกว่า ดีแล้วละ เพราะคุณยายทั้งหลายที่นี่ วันๆ ก็ไม่ค่อยมีใครมาคุยด้วยเท่าไหร่ นอกจากคุยกันเอง ยิ่งออกไปข้างนอก ถ้าลูกหลานไม่มารับออกไป ยิ่งไม่ได้ออกไปไหนใหญ่ วันนี้ จึงเป็นวันที่คุณยายเหล่านี้มีความสุขมาก เราก็เลยบอกเพื่อนว่า เราก็มีความสุขมากเหมือนกันที่ได้มาในวันนี้ เป็นช่วงเวลาที่มีค่าในชีวิตมากเลย
เราออกมาจากบ้านพักด้วยความรู้สึกที่อิ่มใจ และเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ความรู้สึกหนึ่งที่แวบขึ้นมา คือ อันตัวเรานี้ก็คงแก่ไม่เบา (เอาเป็นว่าเริ่มแก่แล้วกันนะ) ทำไมถึงได้คุยเรื่องความหลังครั้งเก่าก่อนกับคุณยายได้อย่างมีความสุขก็ไม่รู้ คงจริงกระมังที่เขาว่า คนแก่มักจะชอบคุยเรื่องเก่าแก่ที่ผ่านมาแล้ว แต่คำถามหนึ่งที่เราแอบถามตัวเองในใจ คือ บ้านพักคนชรานี้ถึงดูจากสภาพแวดล้อมจะน่าอยู่ ตกแต่งสวยงาม สะดวกสบายเพียงใด แต่ถ้าเลือกได้ จะมีคุณตา คุณยายสักกี่คนหนอที่ใจจริงแล้ว อยากมาอยู่ที่นี่...




เมื่อวันที่ : 07 มี.ค. 2548, 23.06 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...