เรื่องของเรา: เด็กเสิร์ฟคนใหม่ |
 |
โดโรที
 |
... เราไม่เคยรู้เลยว่าการเป็นเด็กเสิร์ฟมันยากง่ายเพียงไร จนกระทั่งเรามาสัมผัส จึงได้เกิดการเรียนรู้นอกระบบการศึกษาว่า มันเป็นแบบนี้นี่เอง...
เรื่องของเรา: เด็กเสิร์ฟคนใหม่
ตั้งแต่คู่หูของเรากลับไป เราก็สามารถเดินทางไปมาคนเดียวได้เพราะเริ่มรู้จักสถานที่ต่างๆแล้ว เราโชคดีได้รับคำแนะนำจากพี่คนหนึ่งแกชื่อพี่ปิ๊ด พี่ปิ๊ดทำงานเกี่ยวกับการบริการการศึกษาให้กับนักเรียน ที่ใครๆเรียกกันว่า agent พอดีมีนิทรรศการการศึกษาจัดขึ้นที่บริษัทที่พี่แกทำงานอยู่เราก็เลยได้รู้จักกับพี่ปิ๊ดคนนี้ พี่ปิ๊ดได้ชื่อว่าเป็นพลเมืองของประเทศนี้เนื่องจากแกแต่งงานกับคนรักของแกที่นี่ แกเป็นคนที่มีมนุษสัมพันธ์ดีทำให้แกรู้จักคนมาก แกแนะนำให้เราไปสมัครงานที่ร้านอาหารไทยร้านหนึ่ง เราขอบคุณแก กลับมาถึงบ้านมานั่งคิดนอนคิดอยู่ 4 วันเต็มว่าจะไปสมัครดีไหม เพราะเราไม่ชอบระบบเส้นสาย เราไม่รู้ว่าสังคมที่นี่เป็นอย่างไร และเราก็ไม่อยากให้ใครมาเรียกว่าเด็กเส้น อีกอย่างหนึ่งคือกลัวทำไม่ดีก็จะเสียชื่อพี่ปิ๊ดแกด้วย แต่สุดท้ายเราก็โทรไปก็คนมันอยากได้เงินนี่ ขืนอยู่แบบนี้อดตายแน่ๆ ทางร้านให้เราไปกรอกใบสมัคร หลังจากนั้นไม่กี่วันเจ้าของร้านก็นัดแนะให้เราไปทำงาน อาทิตย์แรกของการทำงานเขาเรียกว่าช่วงทดลองงาน (มีการทดลองงานเหมือนบริษัทในไทย

...) เราเริ่มทำงานตั้งแต่ 4.30 pm ไปถึง 10.30 หรือ 11.30 pm ซึ่งเวลาไม่แน่นอนแต่สิ่งเดียวที่แน่นอนคือเงินจะเลิก 10.30 pm หรือ 11.30 pm คุณก็ได้ค่าแรงเท่าเดิม เขาให้ค่าแรงเป็นกะ จำนวนชั่วโมงของกะก็จะบวกลบไปหนึ่งถึงสองชั่วโมง ช่วงฝึกงานเราได้ 45$Aus เราพยายามคิดเป็นเงินไทยก็ 1350 บาท เอาล่ะลองลุยดู วันแรกที่ก้าวเข้าร้านก็เจอป้าๆที่เป็นเชฟ (Chief) เราเริ่มเรียนรู้งานจากการเป็นคนเตรียมของ ในชีวิตไม่เคยเข้าครัว หั่นหอม ผ่ามะนาว ให้มันถูกวิธีก็ทำไม่เป็น แต่มันก็ไม่ยากที่จะเรียนรู้ ระหว่างเรียนรู้งานการสัมภาษณ์นอกระบบก็เกิดขึ้น............

พี่อ้อย : นี่เราชื่ออะไรเนี่ย (พี่อ้อยเป็นสาวหน้าตาดีบุคลิกห้าวๆเพราะแกเป็นทอม)

เรา: ด๊าคค่ะ

พี่อ้อย: แล้วมาทำงานที่นี่ได้ไง

เรา: มีคนแนะนำมาค่ะ

พี่อ้อย: แล้วมาอยู่นานยัง อายุเท่าไหร่ มาทำอะไร มาเรียนอะไร พักที่ไหน จบมาจากไหน จบอะไรมา ????...........โอย.....พี่แกถามเยอะแยะมากมาย.....เราไม่อยากจะเชื่อว่าคำถามนี้เกิดขึ้นในวันแรกที่เราไปทำงานและเกิดขึ้นทันทีที่เราเจอหน้าพี่อ้อยขี้สงสัยคนนี้ เราพยายามยิ้มและตอบคำถามแกไปทั้งที่ในใจนั้นแสนหงุดหงิด นึกไปถึงตอนขอวีซ่าเราไม่ถูกสัมภาษณ์เลยแม้แต่คำถามเดียว คงจะเป็นบุคลิกของคนไทยที่มี มนุษย์สัมพันธ์ดีกระมัง เราพยายามบอกตัวเองให้รู้สึกดีดีเข้าไว้ ที่ร้านนี้มีพนักงานเยอะโดยเฉพาะเด็กเสิร์ฟ เราในฐานะสมาชิกใหม่ก็กลายเป็นที่สนใจของร้านไปโดยปริยาย ชีวประวัติของเราได้รับการเผยแพร่โดยพี่อ้อย เราคิดในใจว่าก็ดีเราจะได้ไม่ต้องคอยตอบคำถามทุกคน เราถูกฝึกให้เตรียมของอยู่สองวัน เจ้าของร้านก็ให้เรามาฝึกเสิร์ฟ ผู้จัดการร้านแกชื่อพี่จ้อ พี่จ้อเป็นคนสอนงานที่ดีแต่บางทีแกก็หงุดหงิดบ้างซึ่งก็เป็นไปตามธรรมชาติของอารมณ์คน แกมาใช้ชีวิตที่นี่นานพอสมควรตอนนี้แกกำลังสมัครเป็น PR (Permanent Residence) ที่นี่ เราก็ภาวนาเอาใจช่วยให้แกได้เป็นสมใจ ส่วนใหญ่คนไทยเมื่อมาต่างประเทศก็จะมีชื่อฝรั่ง เพื่อให้เรียกง่ายขึ้น พี่แกก็มีชื่อฝรั่งเหมือนกันแต่กันดันไปเอาชื่อเดือนมาตั้งเป็นชื่อแกว่า "August" มีอยู่วันหนึ่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น

เด็กเสิร์ฟ: Hello, This is...........Thai Restaurant. May I help you ?

ลูกค้า: Are you August?
ด้วยความที่น้องคนรับโทรศัพท์พึ่งจะมาฝึกรับได้ไม่นานการฟังก็เลยผิดเพี้ยนไป น้องแกสวนกลับไปยังลูกค้าด้วยถ้อยความชัดถ้อยชัดคำว่า..........

เด็กเสิร์ฟ: Sorry Sir, This is July. It is not August
ลูกค้าเลยวางโทรศัพท์แล้วเดินมาหาพี่จ้อที่ร้านพร้อมกับเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง

.........
สำหรับการเป็นเด็กเสิร์ฟของเราก็มีเรื่องผิดพลาดเหมือนกัน เริ่มตั้งแต่....

เสิร์ฟอาหารผิดโต๊ะเนื่องจากโต๊ะมันเยอะแล้วเราก็ยังจำไม่ได้ วันแรกนี่นาใครจะไปเรียนรู้ได้หมด

เก็บบิลผิดโต๊ะ ก็มันงงอะ...........

ทอนเงินผิดโต๊ะ สับสนอีกแล้ว......

ทำจุกไม้คอร์กหักคาขวดไวน์ ทางร้านต้องมาช่วยกันงัดเอาออกมา แต่อันนี้สุดท้ายก็ทำชำนาญเนื่องจากลูกค้าเรียกไปสอนเทคนิคในการเปิดขวด
ทุกครั้งที่เราทำผิดเราก็กลายเป็นตลกจำเป็นเรียกเสียงหัวเราะจากลูกค้า แล้วก็กลับมาฟังเสียงสวดจากพี่จ้อเป็นการตบท้ายอีกระลอกหนึ่ง

มาดูเรื่องอาหารอาหารไทยที่นี่หน้าตามันจะไม่เหมือนกับอาหารที่ประเทศไทย อย่างผัดกระเพราเราเล็งตั้งนานก็ไม่สามารถหากระเพราเจอ เพราะกระเพราที่นี่มันแพงจริงๆ เขาก็เลยใช้ใบโหระพาแทนกระเพราซึ่งก็ถือว่าเป็นตัวแทนกันได้ เราต้องเอาเมนูรายการอาหารมาศึกษาลักษณะของอาหารแต่ละชนิด ต้องมาเรียนรู้ว่าอันไหนเผ็ดมากเผ็ดน้อย เพื่อที่จะได้ให้รายละเอียดกับลูกค้าได้ อาหารบางอย่างมีแต่เนื้ออย่างเดียว อย่างเช่น แกงมัสมัน เวลารับ order ลูกค้ามักจะสั่งอาหารเรียกน้ำย่อยก่อนที่เขาเรียกว่า อองเทร "Entrée" ตอนเราไปใหม่ๆเราอ่าน เอนทรี่ "En-tree" ....เชยสะบัด

..... ทุกครั้งที่เราเสิร์ฟอองเทรน้ำย่อยของเราก็ซึมออกมาด้วยเช่นกัน เพราะกลิ่นหอมของ Curry Pup, Spring role (ปอเปี๊ยะทอด) รวมทั้งไก่สะเต๊ะ มันช่างหอมเตะจมูกเราจริงๆ เขียนมาถึงตอนนี้เราก็จะชักจะหิวแล้ว ขอตัวไปหาอะไรใส่ท้องก่อนนะ แล้วมาเจอกันใหม่ในเด็กเสิร์ฟภาคสอง..........................

เมื่อวันที่ : 03 มี.ค. 2548, 08.00 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...