![]() |
![]() |
โดโรที![]() |
... ใครจะคาดคิดได้ว่าเวลาเพียง 8 ชั่วโมงกว่าบนนกเหล็กได้สร้างมิตรภาพอันหนึ่งขึ้นมา...
เรื่องของเรา : มิตรภาพกับการเดินทางในที่สุดวันที่จะต้องเดินทางไกลก็มาถึง วันนั้นเป็นที่รู้สึกตื่นเต้นและหวาดกลัวปนกันไป ในชีวิตไม่เคยเลยที่จะต้องเดินทางข้ามท้องฟ้าจากแผ่นดินเกิดไปยังแผ่นดินใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน แต่อะไรก็คงไม่รู้สึกเลวร้ายเท่ากับการที่ต้องเดินทางคนเดียว ที่สนามบินพ่อ แม่ น้อง ญาติ และเพื่อนๆ ต่างมารวมตัวกันเพื่อที่จะส่งเรา ความรู้สึกตอนนั้นคือรู้สึกใจหายชอบกลที่ต้องห่างไกลจากบุพการี น้องและเพื่อนพ้อง แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อมันมีความจำเป็นที่จะต้องไป เริ่มตั้งแต่ตอน check in ปัญหาก็เริ่มเกิดขึ้น เนื่องจากน้ำหนักกระเป๋าที่มากเกินไป เนื่องจากต้องไปอยู่หลายปีก็เลยบรรจุเยอะไปหน่อย ชั่งออกมาเป็น 40 กิโลเศษๆ พนักงานสาวสวยก็เริ่มอาการหน้าหงิก สำแดงบทกริ้วออกมา







เธอหันมากริ้วใส่เราต่อ "ครั้งนี้ให้ไปครั้งหน้าไม่ได้แล้วนะ"........

เหมือนพี่คนสวยจะใจเย็นลง แกยกมือไหว้ตอบเรา ก็ยังดีถึงพี่เขาจะดุดันและอุณหภูมิของอารมณ์สูงไปหน่อยแต่ก็ยังช่วยเรา ทั้งที่เราก็ผิด ดังนั้นใครก็ตามก่อนเดินทางเช็คเรื่องน้ำหนักให้ดีหรือไม่ก็ไปทำเรื่องขอเพิ่มให้เรียบร้อยจะได้ไม่ต้องมาเจอปัญหาแบบเรา...............
ตอนเดินขึ้นเครื่องก็กังวลสารพัด พนักงานต้อนรับชี้ทางไปนั่ง แต่เราก็ดูที่นั่งไม่เป็น ก็คนมันไม่เคย เดินวนไปมาหาที่นั่งอยู่ 5 นาที โชคดีที่พนักงาน ต้อนรับเห็นเราแกก็เลยพามาส่งถึงที่ พี่สาวสวยตอน check in จัดให้เรานั่งริมหน้าต่างแต่มันเป็นหน้าต่างแบบครึ่งเดียว ก็ยังดีเห็นวิวครึ่งหนึ่ง ระหว่างนั้นเราก็มาลุ้นต่อว่าใครจะมานั่งกับเรา หนุ่มหน้าจีนแต่เป็นคนไทยเดินมานั่งริมทางเดิน เราคิดในใจค่อยยังชั่วหน่อยสัญชาติเดียวกันมีอะไรสงสัยคงถามกันได้ ระหว่างนั้นสมาชิกที่ 3 ที่ต้องนั่งกลางก็ปรากฏตัวขึ้นเราและหนุ่มหน้าจีนมองหน้ากันทันทีเหมือนรู้ความในใจซึ่งกันและกัน ......เพราะต่างคิดเหมือนกันว่าจะต้องนั่งปิดจมูกไปตลอดการเดินทางหรือเปล่า....โชคดีเป็นของเราทั้งสองที่หนุ่มใหญ่ หน้าแขกคนนี้ไม่มีกลิ่นที่เราไม่ต้องการ......
หลังจากเครื่อง take off การสนทนาก็เริ่มเกิดขึ้น เรานำขนมมาแจกจ่ายเพื่อนร่วมแถวนั่งเพื่อเป็นการสร้างมิตรภาพที่ดีต่อกัน เวลาผ่านไปหนุ่มลูกครึ่งไทยจีนก็หลับเหลือแต่เรากับเพื่อนใหม่ต่างสัญชาติที่ยังคุยกันต่อไป ภาษาอังกฤษเราก็ยังไม่คล่อง ของเขาก็ฟังยากเพราะมันรัวและเร็วไปหมดกระดาษกับปากกาเริ่มเข้ามาเป็นสื่อของการสนทนาระหว่างเรา ใครจะคาดคิดได้ว่ามิตรภาพดีดีได้เกิดขึ้นจากการเดินทางเพียง 8 ชั่วโมงกว่าๆบนนกเหล็กตัวนี้ เมื่อถึงจุดหมายเรากล่าวอำลาหนุ่มหน้าจีน ส่วนหนุ่มแขกยังคอยช่วยเหลือเราตลอด ก่อนแยกย้ายจากกันก็แลกเปลี่ยนที่ติดต่อกันเพื่อคงไว้ซึ่งความเป็นเพื่อนต่อไป หนุ่มแขกคนนั้นก็ยังติดต่อเราเรื่อยมา เขาต้องเดินทางต่อไป London ก็ยังไม่ลืมที่จะโทรหาเรา วันเวลาผ่านไป 2 เดือนเต็มๆ เราได้รับ message ทุกวัน เข้าเดือนที่ 3 เนื้อความใน message เริ่มเปลี่ยนไป อ่านดูแล้วเหมือนกับมิตรภาพนั้นมันจะถลำลึกเกินไป เนื้อความใน message ออกเป็นแนว romantic มากขึ้น และแล้ววันที่เราไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดก็เกิดขึ้น เย็นวันหนึ่งเรานั่งทำรายงานอยู่เวลา 6 โมงเย็น ระหว่างที่ลมหนาวพัดมาในห้อง โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เราไปรับคิดในใจพ่อกับแม่โทรมาแน่นอน





หลังจากวันนั้นเราได้รับคำถามเดิมจากเพื่อนคนนี้อีกทาง message เราพยายามบอกให้เขาคงไว้ซึ่งมิตรภาพของความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่เขายังพยายามที่จะเป็นมากกว่าเพื่อน เราจึงตัดสินใจบอกให้ยุติการพูดคุยกันไปเลย เราไม่รู้ว่าเราทำถูกหรือไม่ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเราก็สูญเสียเพื่อนคนนี้ไป มิตรภาพระหว่างเรานั้นขาดลง ไม่มีแม้แต่คำอำลาซึ่งกันและกัน เราเสียใจที่เราเสียเพื่อนคนหนึ่งที่ดีไป แต่เราดีใจที่เราไม่ได้ทำให้ใครอีกคนหนึ่งที่ดูแลเรา มาเป็นเวลา 6 ปีกว่า ต้องผิดหวังในตัวเรา ......................ถ้าเป็นคุณ คุณจะทำแบบเราไหม?........................................................
เมื่อวันที่ : 02 มี.ค. 2548, 19.02 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...