![]() |
![]() |
อัญชา![]() |
... กลิ่นหอมจรุงใจทำให้รู้สึกผ่อนคลาย มาลาตีนึกครึ้มใจนึกอยากเขียนงานที่ค้างคาให้เสร็จแต่ก็อยากฟังเพลงคลอไปด้วย หญิงสาวเลือกแผ่นเพลงเปียโนบรรเลงของหนุ่มผมบลอนด์ชาวฝรั่งเศสผู้ที่ได้สมญาว่าเจ้าชายแห่งเพลงโรมานซ์
...
3....
พฤติกรรมแปลก ๆ ของนักดนตรีคนนี้ไม่อาจรอดพ้นสายของมาลาตีและสินีไปได้ ทั้งสองหันมามองหน้ากันด้วยความสงสัย
"นี หน้าเรามีอะไรผิดปกติเหรอ ตานั่นถึงได้ทำหน้ายังกะเห็นผี"
"สงสัยเค้าคิดว่าแกเป็นผีล่ะมั้ง"
"เธอนี่"
มาลาตีฟาดมือไปบนไหล่ของเพื่อนเกือบเต็มแรง
"โอ๊ย ชั้นพูดเล่นจ้ะแม่คุณคนสวย เชื่อชั้นเถอะ ถ้าเค้าคิดว่าเธอเป็นผีนะ เธอก็ต้องเป็นผีสาวที่สวยที่สุดที่เค้าเคยเห็นมานั่นแหละ"
"อีกสักทีดีมั้ย"
มาลาตียกมือทำท่าเหมือนจะฟาดไปบนไหล่ของเพื่อนรักอีกครั้ง สินีร้องเสียงหลง เป็นจังหวะเดียวกับที่หนุ่มนักดนตรีคนนั้นหันมา เมื่อมาลาตีจะหันไปชายหนุ่มก็รีบหันหน้ากลับอย่างรวดเร็ว
มาลาตีทำจมูกย่น "สงสัยจะจริงของเธอ หน้าเราคงจะเหมือนผีจริง ๆ ดูสิ ตะกี้พอหันมาเจอเรานะ เขาก็รีบหันหน้าหนีไปเลย"
สินีหัวเราะคิกชอบใจ ส่วนมาลาตีนั้นแทบจะไม่มีกระจิตกระใจจะนั่งอยู่ที่นั่นต่อไปแล้ว
"เรากลับกันเถอะ นักดนตรีกลัวเราซะขนาดนี้ แล้วจะมีสมาธิเล่นไหมนั่น"
"อะไรกันไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ แหม ยังไม่ทันได้ฟังเค้าเล่นเลยเธอนี่ จะรีบไปไหนกัน อยู่ต่ออีกหน่อยแล้วกันนะ คิดซะว่าอยู่เป็นเพื่อนชั้นก็แล้วกันนะ"
สินีพยายามโน้มน้าวจนมาลาตีใจอ่อนและยอมนั่งเป็นเพื่อนกับเธอในที่สุด แต่สีหน้าท่าทางของนักดนตรีหนุ่มคนนั้นทำให้มาลาตีไม่มีแก่ใจจะฟังเพลงมากนัก
ทั้งสองสาวนั่งฟังเพลงด้วยกันจนเวลาล่วงเข้าสู่นาทีแรกของวันใหม่ ความอ่อนล้าจากการเดินทางเริ่มปรากฏขึ้นที่สองตาของสินี หญิงสาวนั่งตาปรือ มือที่จับแก้วน้ำสีอำพันคล้ายไม่มีแรง มาลาตีเองก็รู้สึกง่วงไม่ต่างไปจากสินีนัก
"เราเหนื่อยจังเลยล่ะตี กลับกันดีกว่ามั้ย?"
"อื่อ..." มาลาตีพยักหน้ารับ
สินีกวักมือเรียกบริกรคนหนึ่งมาใกล้ ๆ หลังจากชำระค่าเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองจึงพากันกลับ
มาลาตีและสินีไม่ทันสังเกตว่ามีสายตาคู่หนึ่งแอบมองพวกเธออยู่โดยตลอด
หลังจากแวะส่งสินีแล้ว มาลาตีจึงนั่งรถกลับมาที่ห้องพักของตัวเองโดยไม่ลืมซื้อขนมติดไม้ติดมือมาด้วย
"กลับดึกนะครับคุณตี"
พนักงานรักษาความปลอดภัยทักทายหญิงสาว มาลาตียิ้มตอบ
ด้วยความเป็นกันเองของมาลาตี ทำให้เธอได้รับการต้อนรับที่ค่อนข้างดีจากคนทุกระดับ หากไม่นับใบหน้าเนียนสวยของเธอแล้ว กิริยามารยาทชวนมองของเธอก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เสริมบุคลิกของเธอให้น่าชื่นชมยิ่งขึ้น
"สวัสดีจ้ะ วันนี้มีขนมตาลมาฝาก เก็บเอาไว้ทานตอนหิวนะจ๊ะ"
มาลาตียิ้มให้กับหนุ่มพนักงานรักษาความปลอดภัยพร้อมกับส่งถุงขนมในมือให้เขา เด็กหนุ่มยกมือไหว้ขอบคุณและรับถุงขนมไปอย่างสุภาพอ่อนน้อม
"ขอบคุณมากครับคุณตี คุณตีใจดีจังนะครับ ซื้อขนมอร่อย ๆ มาฝากผมเรื่อยเลย"
เด็กหนุ่มบอกกับมาลาตีด้วยความซาบซึ้งมากกว่าแค่พูดเอาใจ
"ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เล็ก ๆ น้อย ๆ แค่คอยดูไม่ให้มีใครบุกขึ้นไปหาพี่ตอนดึกได้ก็พอละ"
มาลาตีพูดล้อ เด็กหนุ่มหัวเราะหน้าแดง
"แหม คุณตีก็ ถ้าผมปล่อยให้ใครบุกขึ้นไปง่าย ๆ เจ้านายได้ไล่ผมออกจากงานสิครับ"
มาลาตีหัวเราะขันกับความอารมณ์ดีของเขา
"โอเคจ้ะ พี่ง่วงแล้วล่ะ ขอตัวก่อนนะ"
"ครับ" พนักงานรักษาความปลอดภัยหนุ่มรับคำแข็งขัน
แล้วมาลาตีก็ต้องหัวเราะขันอีกครั้งเมื่อเด็กหนุ่มตะเบ๊ะมือทำความเคารพแบบทหารกับหญิงสาว
ความเป็นกันเองของทุกคนที่นี่ ทำให้มาลาตีมีความสุขกับการใช้ชีวิตเพียงลำพังในเมืองหลวง แม้ว่าเธออาจรู้สึกเหงาบ้างในครั้ง แต่ความอบอุ่นและมิตรภาพที่ได้รับจากคนรอบข้างก็ทำให้เธอลืมความรู้สึกโดดเดี่ยวเช่นนั้นได้จนหมดสิ้น
มาลาตีไขกุญแจเข้าไปยังห้องพักที่อยู่ ณ มุมขวาสุดบนชั้นที่ 11 ของอาคารสูง 20 ชั้น ภายในห้องพักขนาดกว้างพอเหมาะสำหรับการพักอาศัยเพียงคนเดียว หญิงสาวเดินไปเปิดม่านริมหน้าต่างปล่อยให้แสงจากภายนอกสาดส่องเข้ามา พระจันทร์ดวงโตลอยเด่นอยู่เหนือม่านฟ้ายามราตรี ขับแสงนวลแข่งกับแสงสีของมหานคร
หญิงสาวเดินออกไปรับลมเย็นของคืนค่ำอย่างมีความสุข เธอมองเห็น "เมือง" เกือบทั้งหมดได้จากระเบียงห้องพัก แสงไฟหลากสีจากอาคารใหญ่น้อยเริ่มหรี่แสงลง แต่บนถนนสายหลักของเมืองยังคงความมีชีวิตชีวาด้วยยวดยานขนาดต่าง ๆ กัน
ภาพแสงไฟจากรถยนต์ที่วิ่งต่อเนื่องกันไม่ขาดระยะ ทำให้มาลาตีนึกไปถึงภาพเส้นแสงยาว ๆ ที่ปรากฏในภาพถ่ายกลางคืนหลายใบที่เธอเคยเห็นผ่านตา เส้นสีที่เป็นริ้วลายเหล่านั้น มองดูราวกับเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงนครแห่งราตรีมิให้หลับใหล
มาลาตีละสายตาจากภาพเหล่านั้น แล้วเร้นกายหายเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูผืนใหญ่พันรอบกาย กลิ่นอ่อน ๆ ของเทียนหอมภายในห้องกรุ่นอวล แสงไฟจากเปลวเทียนไหวระริก มาลาตีหยิบชุดผ้าแพรสีเงินมาสวมใส่ ในคืนที่มีพระจันทร์ดวงโตประดับ ณ ราวฟ้าแบบนี้ ทำให้เธอไม่อยากเปิดโคมไฟที่หัวเตียง แต่เธอมีความสุขกับการได้ชื่นชมความงามของพระจันทร์และสูดดมกลิ่นหอมของเทียนหอมรูปดอกลั่นทมในอ่างแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงมากกว่า
กลิ่นหอมจรุงใจทำให้รู้สึกผ่อนคลาย มาลาตีนึกครึ้มใจนึกอยากเขียนงานที่ค้างคาให้เสร็จแต่ก็อยากฟังเพลงคลอไปด้วย หญิงสาวเลือกแผ่นเพลงเปียโนบรรเลงของหนุ่มผมบลอนด์ชาวฝรั่งเศสผู้ที่ได้สมญาว่าเจ้าชายแห่งเพลงโรมานซ์
เปียโนหวานแผ่วพลิ้ว ความสุนทรีย์ที่ได้รับทำให้มาลาตีมีสมาธิในการเขียนงานมากกว่าที่เคย ชั่วเวลาเพียงสองชั่วโมงเศษ เธอก็สามารถเขียนงานที่ค้างไว้ได้จนจบสมบูรณ์ ต้นฉบับนิยายความยาวกว่า 300 หน้าเรียงตัวซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบ
มาลาตีลุกขึ้นจากโต๊ะทำงานแล้วเดินแวะไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง เสียงเปียโนที่แว่วมาจากเครื่องเล่นซีดี ทำให้เธออดนึกถึงท่าทางแปลก ๆ ของนักดนตรีหนุ่มคนนั้นไม่ได้
"คนบ้าอะไรก็ไม่รู้ ทำท่ายังกับเห็นผี" มาลาตีบ่นอุบอิบ
อากาศปลอดโปร่งของท้องฟ้ายามค่ำคืนในยามนี้ กลับเริ่มทำให้เธอรู้สึกรำคาญใจขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
อยู่ ๆ วศินก็จามออกมาฟืดใหญ่ ชายหนุ่มสะบัดศีรษะชุ่มน้ำไปมา มือข้างหนึ่งคว้าผ้าขนหนูมาขยี้เบา ๆ ก่อนจะจับผ้าขนหนูผืนเดิมคล้องคอไว้ทั้งชื้น ๆ อย่างนั้น
จากระเบียงห้องบนชั้น 8 ของอาคาร เขามองเห็นความเงียบสงบของถนนสายหลักที่ตอนกลางวันคลาคล่ำไปด้วยยวดยานพาหนะมากมายจนแทบไม่มีที่เว้นว่างให้เหยียบย่าง หากแต่ในขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาคือความว่างเปล่า นาน ๆ จึงจะมีรถยนต์แล่นผ่านมาสักคัน ดูผิดกันราวกับถนนคนละเส้นที่อยู่กันคนละที่
ชายหนุ่มมองตามรถสีบรอนซ์คันหนึ่งที่แล่นผ่านไปจนลับสายตา ขนาดที่รถบุโรทั่งอีกคันหนึ่งจอดสงบนิ่งอยู่กับที่
วศินนึกถึงชีวิตของตัวเอง เขาเคยได้ยินคำเปรียบเทียบถึงเรื่องความรักอยู่เรื่องหนึ่งที่คิดว่าเข้าท่ามากทีเดียว คำกล่าวนั้นพูดเปรียบความรักเสมือนการรอรถโดยสารประจำทาง ธรรมชาติของมนุษย์ล้วนต้องการสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับตัวเอง เมื่อเห็นอะไรที่คิดว่า "ไม่ใช่" ก็ทำให้เราปล่อยโอกาสให้หลุดมือไปเสียหลายต่อหลายครั้ง แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตารอโอกาสครั้งใหม่อยู่ร่ำไป คำพูดง่าย ๆ ที่ทำให้เขาเห็นจริงเห็นจังขึ้นมาในบางครั้ง
เพราะเขาเองก็เคยปล่อยให้โอกาสดี ๆ หลุดมือไป
ดวงฤดีคือหญิงสาวที่อยู่ในความทรงจำของเขามาเนิ่นนาน นัยน์ตากลมโตของเธอดูมีเสน่ห์ ผมหน้าม้าดำขลับ เน้นดวงหน้าขาวผ่องให้ทวีความงามยามอยู่กลางแสงตะวัน ดวงฤดีคือหญิงสาวที่เขาเคยคิดจะใช้ชีวิตด้วย เขาบอกเธอว่าขอเวลาสร้างเนื้อสร้างให้ปึกแผ่นมั่นคงแล้วจะไปขอเธอแต่งงาน แต่ระยะเวลากว่า 4 ปี คงนานเกินกว่าที่เธอก็ทนรอไหว
ในที่สุด ดวงฤดีจึงตอบตกลงแต่งงานกับหนุ่มไฮโซตระกูลดังคนหนึ่งที่คอยตามรับตามส่งเธออยู่แทบทุกวัน ผิดกับเขาที่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำงาน จนลืมดูแลเอาใจใส่เธอในฐานะคนรักที่ดี นั่นเอง จึงเป็นช่องว่างให้ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเข้ามาคว้าตัวเธอไป
วศินพยายามสลัดภาพของดวงฤดีออกไปจากห้วงความคิด ดวงฤดีคืออดีตที่งดงามของเขา เธอมีชีวิตที่ดีและกำลังมีความสุขกับครอบครัวเล็ก ๆ ที่แสนจะอบอุ่นของเธอ เขาไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเข้าไปสอดแทรกในความสัมพันธ์อันสวยงามนั้น
บางครั้งการยืนดูอยู่เฉย ๆ อาจดีกว่าการก้าวล่วงเข้าไปจนเกินงาม
ช่วงเวลาของวันหยุดพักผ่อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว มาลาตีใช้เวลาทั้งสองวันนั้นอ่านทวนต้นฉบับนิยายที่เธอกำลังจะส่งไปยังสำนักพิมพ์เจ้าประจำที่เกือบจะพูดได้เต็มปากว่าเป็นต้นสังกัดของเธอ หากแต่ทั้งมาลาตีและทางสำนักพิมพ์ไม่ได้มีสัญญาผูกมัดระหว่างกัน แต่อาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นที่ตั้ง จึงทำให้เธอมีผลงานตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์แห่งนี้อย่างสม่ำเสมอ
"ส่งเรื่องนี้แล้วอย่าลืมหาพล๊อตเขียนเรื่องใหม่ส่งมาให้พี่เลยนะ อ้อ นิยายที่ตีส่งมาให้พี่เดือนที่แล้วตอนนี้พิมพ์ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ คิดว่าคงจะทันปลายเดือนนี้แน่นอนจ้ะ"
บรรณาธิการสาวที่มาลาตีเคารพนับถือ บอกกล่าวเรื่องความคืบหน้าของนิยายที่กำลังตีพิมพ์ของเธอเสร็จสรรพ
"สิ้นเดือนนี้หรือคะ เร็วจัง ทันใจจังเลย" มาลาตีทำเสียงออดอ้อน
"แน่นอนสิจ๊ะ นิยายของตีขายดีจะตายไป แฟน ๆ ติดกันงอมแงม ขืนไม่รีบออกหนังสือใหม่ มีหวังพี่โดนโทร.ตามจิกที่สำนักพิมพ์ทุกวันเลยล่ะ"
"ขนาดนั้นเลยหรือคะพี่?" มาลาตีทำเหมือนไม่เชื่อหู
"ไม่ใช่ถึงขนาดนั้นหรอก พี่ก็พูดให้มันเว่อร์ไปอย่างนั้นแหละ แต่วันดีคืนดีก็มีแฟนหนังสือของตีโทร.มาถามที่สำนักพิมพ์นะ น้องที่รับก็จะบอกว่า รอก่อนนะคะ ใกล้แล้วค่ะ กำลังพิมพ์อยู่ค่ะ มีโทร.มาถามแบบนี้ทุกอาทิตย์แหละ พี่เลยตัดปัญหา รีบ ๆ พิมพ์ของตีก่อนเลย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะโดนวางระเบิดสำนักงานโทษฐานทำให้รอนาน"
มาลาตีหัวเราะคิก
"ว่าแต่คราวนี้จะใช้นามปากกาว่าอะไรจ๊ะ?"
"ใช้ชื่อเดิมแหละค่ะพี่ ตีชอบชื่อนั้น"
"แล้วไม่คิดจะใช้ชื่อจริงบ้างหรือ?" เสียงปลายสายถามย้ำ
"ไม่ดีกว่าค่ะพี่ ตีใช้นามปากกาอย่างเดิมนี่แหละค่ะ ดีแล้ว"
มาลาตีตอบด้วยความมั่นใจ
ความจริงแล้วหญิงสาวอยากรักษาความเป็นส่วนตัวเอาไว้มากกว่า การเปิดเผยตัวตนและโฉมหน้าที่แท้จริง บางครั้ง ก็ทำให้เธอสูญเสียอิสรภาพบางอย่างไป อีกทั้งคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ได้รับก็อาจจะผิดเพี้ยนไปด้วย
ก่อนหน้าที่จะเธอจะเปิดเผยตัวกับเพื่อน ๆ หลายคน มาลาตีจะได้รับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ตรงไปตรงมา ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนางานของเธอทั้งสิ้น แต่เมื่อเธอเปิดเผยตัวตนออกไป ผลที่ได้รับก็แตกต่างกันไปด้วย เพื่อนหลายคนดูจะออมคำเพื่อรักษาน้ำใจ ซึ่งนั่นถือว่าเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากสำหรับชีวิตนักเขียนของมาลาตี เพราะเธอไม่อาจหาจุดบกพร่องของตัวเองได้จากคำชมเหล่านั้น
"อื้ม โอเคจ้ะ แต่อย่าลืมหาพล๊อตใหม่นะ แล้วลงมือเขียนได้เลยอย่าช้าล่ะ"
"ค่ะพี่ ขอบคุณมากนะคะ อ้อ แล้วช่วงนี้พี่อยากได้เรื่องแนวไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ?"
มาลาตีถามเพื่อดูแนวโน้มความสนใจของตลาดในช่วงนี้
"ถ้าถามพี่นะ ตอนนี้พี่อยากได้เรื่องแนว ๆ ชีวิตกลางคืนบ้างนะ เอาแบบไม่ต้องเน้นมากก็ได้ แค่ให้มีภาพฉากชีวิตของคนกลุ่มนี้ในด้านที่เราไม่ค่อยได้เห็นบ้างเท่านั้นเอง"
"ชีวิตกลางคืน?"
"เฮ่ย ไม่ต้องคิดไปถึงอาชีพพิเศษนะ พี่ไม่ได้อยากได้อะไรแบบนั้น"
"ค่อยยังชั่ว" มาลาตีถอนหายใจด้วยความโล่งอก
"เออน่ะ ไปหา ๆ ดูก็แล้วกันนะ พี่อยากได้อะไรแบบนี้บ้างน่ะ เอามาสลับกับนิยายย้อนยุคที่กำลังจะออกตามหลังหนังสือของเธอนั่นแหละ"
"ค่ะพี่ แล้วตีจะเขียนส่งไปนะคะ ขอบคุณมากค่ะ"
หลังจากวางสายไปแล้ว มาลาตีถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่
"ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะเอาเรื่องอาชีพพิเศษ มีหวังมาลาตีไม่รอดแน่"
เมื่อวันที่ : 23 ม.ค. 2548, 23.19 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...