![]() |
![]() |
นกฟีนิกซ์![]() |
ในตอนนั้น.. โลกทั้งโลกเหมือนกับดับมืดสนิท ไม่มีแสงสว่างอีกแล้วตลอดกาล ความฝันที่ผมเคย วาดไว้ทั้งหมด มันพังครืนลงมาโดยไม่มีชิ้นดี
... ผมได้ตายไปแล้วนับตั้งแต่บัดนั้น...!
![]() |
![]() |
|
![]() |
||
![]() |
![]() |
![]() |
ผมรู้สึกทรมานเหลือเกิน ...รู้สึกกลัวเหลือเกิน
สองสามวันที่ผ่านไป ผมไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร พูดอะไรออกไป ทำอะไรลงไป ผมโมโหใส่แม่ หงุดหงิดใส่พี่พยาบาล ตอนนี้ผมอยากบอกว่า.. ทุกคนโปรดอย่าถือสา นั่นไม่ใช่ผม เพราะว่าผม ตัวจริงตายไปแล้ว.... !
แต่แล้วคืนวันหนึ่ง.... แม่พาผมไปนั่งรถเข็นที่นอกระเบียง ผมเห็นร่างของคนๆหนึ่ง ร่วงตกลงมาจากข้างบน ...มีคนกระโดดตึก ...ผมเห็นคนกระโดดตึก ต่อหน้าต่อตา ... คนๆนั้น กระโดดตึกต่อหน้าผม ... ฆ่าตัวตายต่อหน้าผม
แม่บอกว่าชายคนนั้นเป็นเอดส์ เขามีเรื่องน้อยใจญาติ จึงฆ่าตัวตาย แต่ว่าผมพอจะเข้าใจ ชายคนนั้นคงรู้ตัวว่า อยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน เขาคงไม่อยาก อยู่รอความตายอีกต่อไป การรอคอยนั้นมันทรมาน การรอคอยความตาย ยิ่งน่ากลัวกว่าอะไรทั้งหมด ในเมื่อไหนๆก็ต้องตาย ทำไมไม่ตายเสียเลย จะได้ไม่ต้องทรมานอะไรอีก
ชายคนนั้นตัดสินใจกระโดดตึกฆ่าตัวตาย ส่วนผมเอง ก็เหมือนชายคนนั้น ผมก็ตายแล้วเหมือนกัน เพียงแต่สำหรับผม
...เป็นการตายทั้งที่ยังมีลมหายใจ !!
คืนนั้นผมนอนไม่หลับ... ผมนอนลืมตาครุ่นคิด ..เห็นแต่ภาพร่างชายคนนั้น ที่ละลิ่วผ่านหน้า
ทำไมผมไม่เอาอย่างชายคนนั้น..
...ตายซะให้รู้แล้วรู้รอดไปตอนนี้.. จะได้ไม่ต้องทรมานต่อไปอีก..
พี่บิว..ซึ่งเป็นพี่พยาบาลที่ตึก โทรขอยานอนหลับ จากพี่หมอธันวาให้ผม ...แต่ผมก็ยังนอนไม่หลับ.. ผมแค่นอนปิดตาเฉยๆ
พี่หมอธันวาเปิดประตูเข้ามา ดูผมเงียบๆข้างเตียง เขาเหมือนรู้ว่า ผมยังนอนไม่หลับ เขาหันไปมองแม่ เห็นแม่หลับแล้ว จึงไม่ได้เปิดไฟกลางห้อง เพียงยกเก้าอี้มานั่งข้างๆเตียง เราคุยกันเบาๆในความมืด เขาจับมือผมแล้วบอกกับผม ...มีอยู่หลายประโยค ซึ่งถูกบันทึก อยู่ในความทรงจำของผม
" ต้นรู้มั้ย... ไม่มีใคร สามารถลิขิตชีวิตของเราได้ นอกจากตัวเราเอง แต่การตัดสินตนเอง ด้วยความตาย คือการปิดโอกาสของตัวเอง เหมือนชายคนนั้น อันที่จริง..ความตายอยู่สุดปลายทางของทุกคนอยู่แล้ว ..ไม่ว่าใครทุกคนล้วนต้องตาย ...คุณค่าในการชีวิตคนเรา.. ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคนๆนั้น จะมีชีวิต สั้นหรือยาว หากแต่ขึ้นอยู่กับว่า... คนๆนั้น จะค้นหาความความสุข จากช่วงเวลาที่เหลืออยู่ ได้แค่ไหนหรือเปล่าต่างหาก........"
" แต่สำหรับผม... ตอนนี้ไม่มีความสุขให้เหลืออีกแล้ว..." ผมแย้งพี่หมอเขาไป
มือของเขาบีบมือผมทีหนึ่ง เหมือนกระตุ้นให้ผมรู้สึกตัว
" ต้น..น้องมองดูแม่ของต้นสิ ต้นรักแม่มั้ยล่ะ ? "
ผมจึงหันไปมองแม่.. เห็นท่านอนของท่านแล้ว ก็รู้สึกใจหายและสงสาร
" รักครับ... แต่ผมทำให้แม่มีความทุกข์ ทำให้แม่ต้องลำบากมาเฝ้าผม ถ้าผมตายไปแม่คงหายเหนื่อย "
" แล้วถ้าหากต้นมีโอกาสสลับกับแม่ได้ ให้แม่เป็นคนป่วย..แล้วต้นเป็นคนเฝ้า ต้นยินดีจะเฝ้าแม่มั้ย "
" ยินดีสิครับ .. " ผมตอบไปเลยโดยไม่ต้องคิด " แม่ทำอะไรให้ผมมากมาย ผมก็เต็มใจ จะทำให้แม่ทุกอย่างเหมือนกัน..."
" ยินดีทั้งที่ใจเป็นทุกข์ เต็มใจทั้งที่ต้องลำบาก .. " เสียงของพี่หมอ บอกผมอย่างอ่อนโยน "..สิ่งๆนี้ คือความสุขในความทุกข์ เห็นมั้ย.. แม้กระทั่งในความทุกข์ ก็ยังมีความสุขให้ค้นพบ ตราบเท่าที่เรายังมีลมหายใจ.. เราสามารถค้นหาความสุขได้ตลอดเวลา ..เพียงแต่น้อง ไม่ลองมองหาดูเองเท่านั้น..."
คำพูดของพี่หมอธันวา ทำให้ผมรู้สึกตัว ตื่นขึ้นจากความตายในคืนนั้นเอง
...ผมฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง !!
จริงสินะ.. ถึงแม้เวลาผมเหลืออีกไม่มาก แต่ช่วงเวลาที่เหลือแม้น้อยนิดนี้ หากผมทำใจให้เป็นสุข มันจะ เป็นช่วงเวลาอันมีค่าสักเพียงไหน อันที่จริง.. ทุกคนล้วนต้องตาย และมีชีวิตอยู่เพื่อรอความตายกันทุกคน ..แล้วทำไม ผมต้องเสียเวลา นับวันรอมันด้วยเล่า.. ในเมื่อไหนๆ มันก็ต้องมาอยู่แล้ว ก็ปล่อยให้มันมา ผมไม่ควรจะไปสนใจมันอีกแล้ว
ว่าไปแล้ว... การที่ผมไม่สบายเป็นโรคนี้ ก็ทำให้ผม ได้รับโอกาสดีๆหลายอย่าง ซึ่งหากผมอยู่สุขสบายดี ผมอาจจะไม่ได้สัมผัสโอกาสเหล่านี้เลย ป่านนี้ ผมคงออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ออกไปเรียนหนังสือไกลๆ ทิ้งแม่ให้อยู่คนเดียวกับบ้าน ส่วนพ่อก็เอาแต่ทำงาน.. กลับมาก็เข้าไปดูสวน บางทีก็ไปประชุมที่ต่างจังหวัด น้อยครั้งเหลือเกิน ที่เราสามคนพ่อแม่ลูก จะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน
แต่เพราะผมไม่สบาย.. ผมจึงได้อยู่กับแม่ทั้งวันทั้งคืน ได้เห็นความรัก ความห่วงใยที่แม่มีต่อผม ส่วนพ่อก็ไม่ไปไหนไกลๆอีก ทุกวันศุกร์ พ่อจะมาเยี่ยมผม มานอนเฝ้าผมพร้อมกับแม่ ..ความอบอุ่นของครอบครัวแบบนี้.. ไม่เคยเกิดขึ้นได้เลย ในช่วงเวลาปกติแม้แต่สักครั้งเดียว
ผมยังพบว่า...แม่ยิ้มง่ายเหลือเกิน ...เพียงแค่ผมทานข้าวหมดครึ่งถ้วย แม่ก็ยิ้มอย่างดีอกดีใจเสียมากมาย ทั้งยังบอกอวดพี่พยาบาลทุกคน ที่เข้ามาเยี่ยมผมที่ในห้อง ...เพียงแค่ผมทานข้าวได้ครึ่งถ้วยเท่านั้น
น่าแปลกเหลือเกิน.. ทำไมพอผมคิดถึงแต่เรื่องดีๆ ใจผมก็บังเกิดความสุขขึ้นมา อย่างบอกไม่ถูก ...ความสุขความพึงพอใจ มันเกิดขึ้นง่ายๆ เพียงแค่นี้เองหรือ ทุกคนรอบข้าง.. ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ พี่หมอและพี่พยาบาลทุกคน ล้วนดีกับผมทั้งนั้น นี่ถ้าผมไม่ได้ป่วยครั้งนี้... ผมจะได้พบกับสิ่งดีๆเหล่านี้หรือ
ขอบคุณนะครับทุกๆคน ที่มอบสิ่งดีๆเหล่านี้ให้กับผม ขอบคุณนะครับพี่หมอธันวา ที่ทำให้ผมตื่นจากความท้อแท้ มีชีวิตใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง ถึงแม้ชีวิตใหม่นี้จะสั้น.. แต่มันก็มีคุณค่ามากมาย ในความรู้สึกของผมแล้วครับ
...ชีวิตเป็นสิ่งมีค่า ยิ่งรู้ว่าเวลาเหลือน้อย ยิ่งต้องทนุถนอมวันเวลาเหล่านั้น ใช้มันให้อย่างคุ้มค่าที่สุด คนที่ท้อแม้หมดอาลัยตายอยาก จะต่างอะไรกับคนที่ตายทั้งซึ่งยังมีลมหายใจ
ผมน่ะ.. ต่อไปนี้จะไม่ยอมแพ้อย่างเด็ดขาด ผมจะไม่ปิดโอกาสตนเอง เหมือนผู้ชายคนนั้นอีก.. ผมขอให้สัญญากับทุกคนนะครับ ว่าผมจะไม่กลัว จะไม่ท้อแท้อีกแล้ว ... แต่จะขอมีชีวิตอยู่ จนถึงลมหายใจสุดท้าย.. และ..ทุกคนก็ต้องพยายามอย่างผมนะครับ
...สู้ต่อไปใจอย่าท้อ
อย่านอนรอความพ่ายแพ้
แม้ล้มจงลุกขึ้นอย่าอ่อนแอ
อย่ารอแต่โชคชะตามาบงการ
....................................................
คำสารภาพถึงทุกคนครับ...!!
* พี่เต้ยครับ ผมขอโทษ.. วันนั้น ถ้าผมไม่บอกว่าอยากกินบะหมี่ พี่คงไม่แอบขโมยรถมอเตอร์ไซด์ของพ่อ ขับออกไป จนถูกรถยนต์คันนั้นชนจนเสียชีวิต ความผิดนี้ถ ูกเก็บอยู่ในใจผมมานาน ผมไม่กล้าบอกพ่อกับแม่ แต่วันนี้ ผมขอสารภาพผิดแล้วครับ
* พ่อครับ .... เครื่องคอมของพ่อที่โดนไวรัสวันก่อน จนลบข้อมูลทิ้งทั้งฮาร์ดดิสก์ ทำให้งานที่พ่อพิมพ์ไว้ ต้องพิมพ์ใหม่ทั้งหมด เป็นเพราะผม แอบเอาเกมส์ไปอินสตอลใส่น่ะครับ ผมไม่รู้ว่าเกมส์มันมีไวรัส ผมขอโทษนะครับ...
* แม่ครับ ... ผมรู้ว่า แม่พยายามทำอะไรให้ผมมากมาย แต่วันก่อน ที่แม่คะยั้นคะยอให้ผมทานข้าว ผมกลับตวาดใส่แม่ ผมขอโทษนะครับ
* พี่มิ้นต์ครับ ..ผมรู้ว่าพี่ไม่อยากให้ผมเจ็บหรอกนะ แต่เส้นของผมมันแทงยากเหลือเกิน ผมไม่น่าหงุดหงิดใส่พี่เลย ผมขอโทษครับ......
*...... ฯลฯ..........
คนเราก็แปลกนะครับ ชีวิตผ่านมายืดยาวไม่เคยคิดอะไรได้ แต่ครั้นเหลือเวลาน้อยนิด จึงค่อยได้คิดขึ้นมามากมาย... มีเพียงช่วงเวลาแบบนี้ จึงค่อยอยากทำโน่น อยากทำนี่.. สุดท้ายนี้ ผมจึงอยากจะขอโทษตัวเองครับ ที่ผมกลับปล่อยเวลา ที่ผ่านมาทั้งชีวิต ทำอะไรหลายอย่างที่ ไร้สาระเหลือเกิน
แต่เสียดายนะ.. ผมคงไม่มีเวลา จะกลับไปแก้ไขใหม่ได้อีกแล้ว.....!!!
เมื่อวันที่ : 03 เม.ย. 2546, 06.53 น.
เรื่องดีดี อย่างนี้ ทำไมจึงขยำทิ้งซะล่ะคะ ไม่สามารถอ่านให้จบที่ทำงานได้ค่ะ น้ำตาซึม อิอิ
จะคอยอ่านเรื่องต่อ ๆ ไปค่ะ