![]() |
![]() |
เปิดฟ้า ก้องหล้า![]() |
...ณ ห้องนอนของสมบัติและสมปราชญ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาคารหลังใหญ่ อยู่ชั้นบนห้องกว้าง มีเตียงขนาด 6 ฟุตอยู่ 2 เตียงสำหรับเด็กหนุ่มสองคน...
ณ ห้องนอนของสมบัติและสมปราชญ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาคารหลังใหญ่ อยู่ชั้นบนห้องกว้าง มีเตียงขนาด 6 ฟุตอยู่ 2 เตียงสำหรับเด็กหนุ่มสองคน ขณะสมปราชญ์ตื่นไปทำภารกิจตามหน้าที่แล้วสมบัติยังนอนซมอยู่ในเตียง "สมบัติ รีบตื่นเร็ว ๆ ไปฟังผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเร็ว ๆ เข้า" สมปราชย์ปลุกเพื่อน
"นอนก่อน ไม่ต้องไป คลิ๊กอินเทอรเนตก็ได้ เร็วกว่า ไม่เสียเวลา"
"ตื่นเถอะ ไปอาบน้ำเร็ว ๆ เราไปดูผลการสอบให้ถึงที่จะได้พบปะกับเพื่อนมาก ๆ จะได้เห็นอารมณ์และสภาพความรู้สึกของแต่ละคน มันสนุกน๊ะเพื่อน เร็ว ๆ เ ข้า"สมปราชญ์ขยั่นขยอ
"ไม่เอา นอนดีกว่า"
"ไม่ไปก็ไม่ว่า ฉันไปคนเดียวก็ได้"
"เออไปก็ไป"
บ้านพักของสมปราชญ์และสมบัติอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัย ประมาณ 200 เมตร แค่นั้นเอง เมื่อทั้งสองมายังมหาวิทยาลัย มีนิสิตนักศึกษาเต็มไปหมด แน่นทั่วบริเวณ ทำให้บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเล็กไปเยอะ ต่างนั่งกันเป็นกลุ่ม บางกลุ่มก็สนุกสนาน ส่งเสียงร้องเริงร่า หรือเชียรกันอย่างสนุกสนาน ในขณะนั้น มีบางคนแสดงอาการผะอืดผะอม จะพูดจะจาก็ติดขัดไปหมด อารมณ์ขุ่นหมอง และรีบปลีกตัวไปจากสังคมมหาวิทยาลัยทันที แต่มีบางคน ที่ไม่มีสิทธิ์เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ก็ยังไม่จากไปไหน ด้วยความรักและห่วงเพื่อน คิดถึงเพื่อน สนับสนุนเพื่อนและไม่ได้คิดถึงตนเองว่าจะบังคับให้ชีวิตล่องลอยไปอย่างไร
สมปราชญ์และสมบัติใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง กว่าจะแทรกเข้าไปถึงป้ายนิเทศบอกคะแนนและผลการสอบได้เรียนต่อในมหาลัยหรือไม่
จอโปรเจคเตอร์ในอาคารบอกรายชื่อผู้สอบได้ทยอยไปตามคณะที่เรียนและลำดับห้องเรียน ประกาศเฉพาะผู้ที่สามารถสอบผ่านและมีสิทธิ์ได้เรียนในมหาวิทยาลัยเท่านั้น
"สมบัติ เจอแล้ว ชื่อของฉัน ๆ สอบได้คณะวิศวกรรมไฟฟ้าฯ และคอมพิวเตอร์ ฉันดีใจมาก แต่ไม่อยากลืมตน หรือแสดงอาการดีอกดีใจมากนัก ยังแต่ผลการเรียนของเองต้องคอยไปก่อน อดทนหน่อยนะเพื่อน"สมปราชญ์พูดเบา ๆ
"กันบอกแล้วว่านอนฟังที่บ้านสบายดีกว่า"
มองจากรายชื่อ จนหมดรายชื่อของวิชาเอกที่สมบัติเรียน แต่ไม่มีชื่อของสมบัติ ๆ รู้สึกหน้ามืดตาลาย เราต้องลำบากอีกแล้ว จะไปเรียนอะไร เรียนที่ไหน จึงจะได้พบกับเพื่อน ๆ ที่สนุกกันมาด้วย"
"ทำไมวะ เองสอบได้ แต่ข้าฯ สอบไม่ได้ แล้วข้าจะไปเรียนที่ไหนละ"
"เองจะเรียนที่ใดก็ได้ ถ้าเองชอบจะเรียน และเรียนตรงกับความต้องการของเอง"
"เราไม่เหมือนกันมาตั้งนานแล้วละ ตั้งแต่เด็ก ๆ โน้น"
"ไม่เหมือนกันอย่างไรวะ"
"ไม่เหมือนกันทั้งแต่สมัยเด็ก ๆ ทั้งรูปร่าง หน้าตา ความประพฤติ และสุขภาพ"
"อย่าพูดเลยเพื่อน ข้าฯไม่ชอบ พูดเรื่องอะไรก็ได้ที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนหนังสือ"
สมปราชญ์นั่งเฉย ไม่อยากขัดใจเพื่อน ไม่อยากทะเลาะกับเพื่อนจึงปิดปากเงียบ แต่สมองของสมปราชญ์ก็นึกย้อนไปถึงเรื่องราว และเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีตที่ผ่านมา
"พ่อแม่ของเราเป็นชาวสวนที่ทำนาด้วย เพราะอยู่ในสถานที่เหมาะสมที่จะปลูกยางพารา และทำนาไปพร้อม ๆ กัน มีลำ ธารไหลผ่าน พื้นที่ราบสวยงาม น้ำไม่แห้งขอดทุกฤดู เป็นความโชคดีอย่างยิ่งของตระกุลนี้"
"สมัยเด็ก ๆ เราเป็นคนขี้เกียจไม่อยากทำงาน อยากสบาย ไม่เหน็ดเหนื่อย แม่ยินดีที่จะบังคับให้เราทำงานอยู่เสมอ"
"ลูกกรุณาช่วยหยิบจานมาให้แม่หน่อย แม่จะล้างให้เอง เมื่อแม่ล้างมันสะอาดแล้ว ขอให้ลูกได้นำมันไปคว่ำให้เสด็จน้ำในภาชนะสำหรับกิจการนี้โดยตรง ตกลงไหมจ๊ะ"
"ตกลงจะแม่"
ขณะนั้นผมเรียนอยู่ในชั้นอนุบาล ยังเล็ก ๆ อยู่ ถ้าเราไม่ยอมไปทำงานให้ท่าน ท่านจะพูดเปรียบเทียบให้ฟังถึงผลดีผลเสียให้ฟังเสมอมาจนฉันเองรำคาญ เพื่อตัดความรำคาญ ฉันจึงต้องช่วยงานแม่ที่แม่ใช้ให้ทำ
"แต่สมบัติเป็นลูกคนเดียวของภารโรงในโรงเรียนที่อยู่ใกล้และเราทั้งสองก็เรียนอยู่ในโรงเรียนที่อยู่ใกล้ที่สุด"
"ไปหยิบแก้วน้ำมาให้แม่หน่อยลูก" แม่ของสมบัติใช้
"พี่สาวนั่งอยู่ใกล้ ๆ แก้ว กรุณาหยิบให้แม่ด้วย น้องกำลังง่วงนอนลืมตาไม่ขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง ขณะเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สมปราชญ์ต้องไปเก็บยาง เหยียบยาง รีดยาง ตากยาง และเก็บยางไว้ในโรงเรือน"
ถึงฤดูทำนา หลังจากเลิกเรียนแล้ว สมปราชญ์ก็ไปถอนกล้าให้แม่ โดยถอนต้นกล้าอ่อนกองไว้ จัดให้รากต้นกล้าเสมอกัน แล้วแม่ก็มัดกำกล้าให้กระผมเอง วันละ 4 -- 5 กำ ก่อนค่ำทุกวัน
"บางครั้งกระผมเองต้องหาบต้นกล้าที่มัดไว้ เป็นกำ ๆ ประมาณหาบละ 8 -- 10 กำ"
"วันนี้ผมเจ็บบ่า เมื่อยไปทั้งตัว จะนอนก็ไม่หลับ ตั้งแขนนิ่งไม่ได้ มันเมื่อยทันที ต้องพลิกกายไปมามันสุดทรมานอย่างยิ่ง"
" แม่ครับ ทำไมมันเจ็บอย่างนี้ละครับ"
"มิได้เจ็บหรอกนะลูก มันปวดเมื่อย เป็นธรรมดาของการทำงาน มันจะหายไปเองไม่ต้องรักษาหาแพทย์หรอกนะลูก"
"ลูกกลับจากโรงเรียนแล้ว ทานอะไรบ้างหรือยัง"
"ยังครับ ผมยังไม่หิว องุ่นมีลูกจะเอาไหม"
"ไม่หรอกครับ แม่"
"วันนี้ตอนเช้าครูสอนวิชาอะไรลูก ชั่วโมงแรกเลยนะ"
"วิชาวิทยาศาสตร์ครับ"
"ครูพูดเรื่องอะไรบ้าง"
"เรื่องการแบ่งเซลของพืชและสัตว์เซลเดียวครับแม่"
"วิธีการขยายพันธ์ของมันเป็นอย่างไร"
"จำได้หมดทุกขั้นตอนครับแม่ ไม่ต้องอธิบายหรอกแม่ก็รู้"
"ชั่วโมงที่สอง ลูกเรียนวิชาอะไร"
"ครูสอบวิชาภาษาอังกฤษครับแม่"
"ครูสอนเรื่องอะไร"
"เรื่องประโยคธรรมดา"
"ชั่วโมงต่อมาละ"
"วิชาคณิตศาสตร์ครับแม่"
"ทำไมครูจึงสอนกลางวันไม่เบือหรือ"
"ไม่ครับแม่ จะเรียนตอนเช้า ตอนกลางวัน ตอนบ่าย ก็เหมือนกันครับแม่ คุณครูท่านจัดกิจกรรม จัดกระบวนการให้เราได้สนุกกัน ได้ร่วมกันทำงานเป็นกลุ่ม ๆ เราช่วยกันคิด ช่วยกันทำและช่วยกันสรุป คะแนนของเราก็ไม่ต่างกันมากนัก ถ้ากลุ่มใดทำได้ดีก็ได้คะแนนดีเท่ากันทุกคน"
"แม่ไม่ต้องถามอีกนะแม่ หลังจากปฏิบัติกันแล้วก็จะจำได้ทุกวิชา"
หลังจากเลิกเรียนสมปราชญ์ก็ไปช่วยเหลืองานคุณแม่ในนา
"ลงมาลูก มาช่วยดำนาแม่ ลงมาเร็ว ๆ เข้า" แม่แบ่งกำกล้าที่ถืออยู่เป็นสองส่วน ส่งให้สมปราชญ์ครึ่งหนึ่ง สมปราชญ์รับกล้าไปวางบนแขนข้างซ้าย หันหน้าแขนขึ้น ใส่ส่วนหนึ่งของต้นกล้าอยู่ในกำมือ ใช้มือขวาแบ่งต้นกล้า 3 -- 4 ต้นออกไป ด้วยมือขวา ใช้หัวแม่มือจัดให้โคนต้นเสมอกันและปักดำลงในดินเหลวเป็นเทือก ใช้หัวแม่มือกับกับนิ้วชี้ดันดินให้แยกออก ดันกอกล้าที่เตรียมไว้ลงไปแทนแล้วใช้นิ้วบีบที่โคนให้ดินแน่น เพื่อป้องกันมิให้ต้นกล้าล้ม"
"กระผมปักกล้าข้างหน้าโดยก้มตัวต่ำลง เอื้อมมือปักเป็นแถวจากซ้ายไปขวามือแถวละ 4กอ ห่างกันกอละ 1 ฟุต จึงเดินถอยหลังไป 1 ก้าว แล้วเริ่มปักดำกล้าจากซ้ายสุดถึงขวาสุดตามลำดับ จำนวน 4 ต้นเท่ากัน แล้วถอยหลังไปอีก 1 ก้าว คือแถวห่างออกไป 1 ก้าว ๆ ละ 1 ฟุต ปักจากซ้ายไปขวาเป็นแถวเสมอกัน และให้แถวที่ถอยไปตรงกับด้วย ที่ผมทำได้เพราะสังเกตคุณแม่ปักดำต้นกล้าให้เห็นเสมอ จนตะวันโพล้เพล้ กระผมปักดำได้เกือบสามกำกล้า"
"ตอนเช้าแม่มอบหมายให้กระผมตักน้ำใส่ตุ่มทุกวัน วันละ 1 ตุ่ม แล้วจึงไปอาบน้ำกินข้าวไปโรงเรียน"
"เมื่อถึงโรงเรียนกระผมก็ได้ช่วยกวาดขยะให้กับเพื่อน ๆ ในห้องเรียนในวันที่เป็นเวรประจำวันในชั้นเรียน ผมทำความสะอาด เมื่อกะดิ่ง สัญญาณเตือนเข้าแถว กระผมกับเพื่อน ๆ ไปเก็บใบไม้บนถนน และขอบสนาม ซึ่งมีต้นไม้อยู่มาก สำหรับสมบัตินั้นเขาจะเดินดูเพื่อน ๆ หยอกล้อเพื่อน ๆ และใช้เพื่อนให้ทำงาน โดยตนไม่ได้ทำงาน"
"ช่วยเก็บ เพื่อนบ้างซิ สมบัติ อย่าเอาเปรียบเพื่อนจนเกินไป"สุดาทิพย์
"อย่ายุ่งนะ เธอไปเถอะ ดีแล้วละ"
"ผมเก็บขยะหมดแล้วพาไปทิ้งหลุมขยะ แล้วทำความสะอาดมือ ชั่วครูหนึ่ง สัญญาณกระดิ่งครั้งที่สอง เตือนให้นักเรียนหยุดกิจกรรม ต่าง ๆ ไว้แล้วไปเข้าแถวเตรียมเคารพธงชาติ ผมก็ไปเข้าแถวทันที กระผมทำหน้าที่หัวหน้าชั้น ต้องดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับระเบียบแถว ผลเป็นที่พอใจของครูที่ปรึกษาด้วยดีเสมอมา"
"ตอนเย็นคุณแม่เข้าไปในสวนตัดเครือกล้วยน้ำว้า แล้วใช้มีดตัดหวีกล้วยแยกออก กระผมจึงใช้ตะกร้าใส่กล้วยจนเต็มบนรถเข็น แล้วจึงเข็นรถกลับบ้าน ผมกลับถึงบ้านจึงยกกล้วยครั้งละ 2 หวี นำกล้วยไปวางบนพื้นใกล้ ๆ ลอมข้าว ผมได้นำเอาฟางข้าวมาปูรองพื้นไว้แล้ว ผมจึงไปเอาหวีกล้วยที่เหลือ ผมขนกล้วยมาอีก 2 เที่ยว ถึงเวลาค่ำผมก็เอาฟางกลบปิดกล้วยไว้ ให้หนากว่าที่รองพื้นไว้"
"วันเสาร์ แม่ไปดายหญ้า ในร่องยาง ซึ่งปลูกใหม่ ผมก็แบกจอบตามหลังแม่ไปดายหญ้าด้วย ดายจนเหนื่อย ฝ่ามือปวด ๆ ฟองน้ำขึ้นเป็นเม็ดโต ผมก็ต้องทนเจ็บ และ ถางหรือถากต่อไปจนหมด และปล่อยทิ้งไว้ให้หญ้างอกอีกต่อไป"
"ผมเบื่อจะตายอยู่แล้วบ้านนี้ คิดแต่ใช้งานเท่านั้น ผมไม่อยากทำ ทำแล้วมันก็เหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง และไม่มีความสนุกสนานเลย" สมบัติบ่นพึมพำอย่างอารมณ์เสีย
"ลูกจ๋า ไปช่วยพี่รดน้ำตนไม้หน่อยเถอะ" แม่ใช้สมบัติ
"แม่ครับ ผมจะอ่านหนังสือ ให้พี่เขารดน้ำไปเถอะ" สมบัติปฏิเสธทันที
"ช่วยพี่บ้างนะสมบัติ" แม่บอก
"ให้ผมโตสักนิด ผมจะช่วยทำทุกอย่าง"สมบัติบ่ายเบี่ยงไปเรื่อยอย่างไร้รับผิดชอบ
"อย่าผลัดวันประกันพรุ่งเลยลูก จงทำเดียวนี้อย่าคอยพรุ่งนี้" แม่แนะนำ
"ขอให้แม่เชื่อใจผม ผมจะช่วยพี่เขาจริง ๆ ไม่โกหกหรอกแม่" สมบัติพยายามใช้อุบายหลีกเลี่ยง
"แม่ไม่เชื่อ" แม่ตอบอย่างรู้ทัน
"ก็ไม่เป็นไร ผมไม่ว่าแม่แม้นิดเดียว"
"สมบัติ ไปช่วยพี่โดยตักน้ำให้วัวดื่มหน่อยเถอะนะ" แม่มอบหมายให้สมบัติไปช่วยพี่
"ยังทำการบ้านไม่เสร็จจ้าแม่" สมบัติยังปฏิเสธเรื่อย ๆ
"วันอาทิตย์ผ่านมา คุณพ่อไปวิดปลาที่หนองน้ำหลังบ้าน ซึ่งมีน้ำลึกแค่เข่า น้ำไม่ค่อยแห้ง พ่อบอกว่ามีตาน้ำ คือช่องที่น้ำไหลมาลงในหนองน้ำนั้น เราต้องวิดกันอย่างหนัก เพราะน้ำมันออกมามาก ไม่สามารถอุดด้วยดินได้ วิดเท่าไรไม่แห้ง ผมจึงไปเอากะละมังมาช่วยวิดน้ำด้วย ผมอยากจะให้น้ำแห้งเร็ว ๆ จะได้จับปลา จนกระทั้งค่ำ ผมหิวจึงหยุดกินข้าวซึ่งคุณแม่กับคุณป้าและน้าสาวได้นำมาวางไว้ที่ใต้ตนไม้ใกล้ ๆ หนองน้ำ กินเสร็จผมก็ไปวิดน้ำต่ออีก"
"สมปราชญ์หยุดก่อนลูก กินข้าวใหม่ ๆ ไม่ควรทำงานหนัก โบราณว่า ต้องให้ข้าวเรียงเม็ดเสียก่อน คือให้กระเพาะมันย่อยอาหารก่อน จึงค่อยทำงาน เพราะถ้าทำงานตอนนี้ จะทำให้ร่างกายทำงานหนัก คือเลือดส่วนหนึ่งใช้ในการย่อยอาหาร อีกส่วนหนึ่งใช้ในการออกแรงวิดน้ำ มันจึงไม่เหมาะสม"
"วันหนึ่งผมขี่จักรยานยนต์มาคนเดียว เครื่องรถดับก่อนกลับถึงบ้านระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตร ระหว่างทางไม่มีร้านซ่อมรถ หรือสถานที่รับประยางเลย เวลาใกล้ค่ำ ผมก็ต้องจูงรถจักรยานยนต์กลับบ้าน จนกระทั่งค่ำ คุณพ่อคุณแม่คอย ๆ จนไม่สามารถทนรอต่อไปอีกได้แล้ว จึงออกตามหา แต่ไปคนละเส้นทางที่ผมจูงรถมา ท่านเลยไปไกล และเมื่อตามหาไม่เจอ ท่านก็เหนื่อยแสนเหนื่อยจากากรทำงานบ้าน จากการหากระผมไม่เจอบ้าง ท่านจึงตัดสินใจกลับบ้าน"
"อ้าว ลูกอยู่นี้เอง ทำไมละ เหตุใดจึงต้องจูงรถ" พ่อถามด้วยความเป็นห่วง
"เครื่องดับครับ"
"ใกล้จะถึงแล้ว พ่อไม่ต้องเป็นห่วง จะเลี้ยวเข้าบ้านอยู่แล้ว พ่อขี่รถไปก่อนเถอะ" สมปราชญ์อธิบายและแนะนำพ่อ
"จ้า"
"ผมกลับถึงบ้าน สุดแสนเหนื่อย ดื่มน้ำนิดหนึ่งนั่งลง และเอนหลังนอนกับเสื่อ เพียงไม่นานผมก็หลับกรนเสียงดังลั่น"
"ลูก ๆ ตื่น เถอะ ไปอาบน้ำกินข้าว" แม่ปลุกลูก
"ผมตื่นขึ้นมาเกือบ 21 นาฬิกาแล้ว ถ้ามีวิทยุสื่อสาร หรือ โทรศัพท์ ก็จะได้โทรฯบอกให้ไปรับ แต่ อนิจจา กลางป่า อย่างนี้จะใช้อะไรแทน ผมจึงต้องจูงรถตั้งนาน"
"ผมอาบน้ำ กินข้าว และหลับต่อจนเกือบสว่าง"
"ผมตื่นขึ้นมาเป็นเวลาเกือบตีห้า ยังรู้สึกอ่อนล้า เมื่อยขา เมื่อยแข้ง เจ็บปวดปานจะขาดใจ แต่ก็ต้องอดทน ไม่ทนไม่ได้"
"ลูก แม่หุงอาหารเรียบร้อยแล้ว แม่ต้องไปส่งพ่อไปกรีดยางอีก"
"แม่ครับ แม่ไม่ต้องไปหรอก ผมไปส่งพ่อเองครับแม่"
"ลูกเหนื่อยมามากแล้ว นอนต่อเถอะลูก"
"แม่ไปเอง ลูกไม่ต้องไปหรอก แม่ขอร้อง ลูกอย่าดื้อนะ"
"ครับ"
"ผมนึกถึงคุณพ่อ คุณแม่ที่ท่านทำงานด้วยความเหน็ดเหนื่อยมาก ๆ เพื่อให้พวกเราได้กินได้อยู่ได้ซื้อของใช้ ได้ไปโรงเรียน ไปเที่ยว และอีกจิปาถะ"
"นี่เพราะแม่ไม่ได้บังคับให้ผมทำงานตั้งแต่เล็ก ๆ ผมก็ขี้เกียจเช่นกัน แต่ทุกวันนี้ผมทำงานจนเคยชินแล้ว ผมเหนื่อย ผมหิว ผมต้องอดทน ความพยายามทำให้งานสำเร็จ ผมคิดว่า ผมเหนื่อยอย่างนี้ แล้วคุณพ่อ คุณแม่ละที่ท่านทำงานทั้งวัน ไม่ได้เว้นมาเป็นเวลาหลายปีที่ผมจำได้ คุณพ่อคุณแม่ก็เหนื่อยเช่นเดียวกับเรา ท่านทำมากกว่า นานกว่า ท่านย่อมเหนื่อยมาก ๆ ท่านทำงานมาก เป็น 20 -- 30 เท่า ของกระผม ทำงานวันแล้ววันเล่า เป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี และหลาย ๆ ปีติดต่อกัน จนลูกโตปานนี้ ผมสงสารท่าน ทำให้ผมเห็นได้อย่างชัดเจนว่า คุณพ่อคุณแม่ยอมเหนื่อยเพื่อลูก ท่านรักลูก ท่านทำเพื่อลูก"
" ทำให้กระผมเห็นถึงเจตนาของความรักที่คุณพ่อคุณแม่มีต่อ ลูก ๆ ท่านเสียสละทุกอย่างเพื่อลูก ๆ มิเคยคิดถึงว่าท่านเหนื่อย ท่านตรากตรำ ไม่เคยคิดค่าแรง แม้ลูกจะเอาเงินไปจ่ายสักเท่าไร ท่านมิเคยเสียดาย ท่านยินดีสละให้ลูก เพื่อลูก จึงทำให้กระผมรักคุณพ่อ คุณแม่ สงสารท่านทั้งสอง ผมจึงพยายามตอบแทนบุญคุณของท่าน ด้วยการเชื่อฟังท่าน เรียนหนังสือเพื่อท่าน ผมคิดว่าสิ่งที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ มันน้อยกว่าที่คุณพ่อคุณแม่มีให้แก่ลูก ๆเป็นร้อยเท่าพันเท่า"
"กระผมรักคุณพ่อ คุณแม่ผมจึงตั้งใจและพยายามเรียนเพื่อท่านทั้งสอง มิเคยคิดเหนื่อยหน่าย และสมหวังในวันนี้ เมื่อผมได้ทราบว่า ผมสามารถสอบผ่านเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยดังที่คุณพ่อคุณแม่ปรารถนาได้"
"สมบัติ...ก็เป็นไปตามกรรมของเขา เป็นการยุติธรรมดีแล้ว พระเจ้ามิได้หูหนวกตาบอด"
เมื่อวันที่ : 06 ส.ค. 2558, 10.58 น.
ผู้อ่านที่รัก,
นิตยสารรายสะดวก และผู้เขียนยินดีรับฟังความคิดเห็นต่อข้อเขียนชิ้นนี้
เชิญคลิกแสดงความเห็นได้โดยอิสระ ขอขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ในการมีส่วนร่วมของท่านในครั้งนี้...